Home / รักโบราณ / โศลกเพลิงผลาญใจ /  ตอนที่6 หลินอวี่เหยา

Share

 ตอนที่6 หลินอวี่เหยา

last update Last Updated: 2025-07-12 14:52:30

          “คุณหลินนี่สุดยอดไปเลยครับ สมแล้วกับที่เป็นลูกศิษย์ของศาสตราจารย์หลินเฉินอี้”

            “ทำไมเหรอคะ”

            “ก็เก่งทั้งบุ๋นทั้งบู๊ยังไงครับ ฮะฮ่า คุณหลินเดินป่าขึ้นเขาชำนาญมากพอๆกับพวกผมเลยนะครับ ได้ยินว่า ศาสตราจารย์หลินเองก็เก่งกาจไม่ใช่ศาสตราจารย์ที่นั่งทำงานในห้องแลป แต่ชอบลงพื้นที่ตามหาพันธุ์ไม้หายากต่างๆ ด้วยตนเอง”

            หลิวอวี่เหยาได้แต่ยิ้มแล้วหยิบกระติกน้ำของตนออกมาดื่ม เธอหยุดแล้วเหลียวมองรอบตัว ต้นไม้ใหญ่ขึ้นสูงตระหง่านราวกับจะบดบังไม่ให้เห็นท้องฟ้า คนที่เดินป่าในภูเขาลักษณะนี้ต้องใช้ความชำนาญอย่างสูง

            “ตระกูลเยี่ยร่ำรวยขนาดครอบครองภูเขาทั้งลูกได้ ถ้าเขารวยจริงทำไมไม่มอบให้เป็นรัฐไปเสียล่ะคะ”

            “จุ๊ๆ คุณหลินอย่าเสียดังไป”  ผู้ช่วยที่ทำหน้าที่ผู้นำทางเอ่ยขึ้นแล้วเหลียวมองไปยังคณะเดินทางคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างกันไม่กี่ก้าว “ตระกูลเยี่ยมีอิทธิพลในเมืองนี้มาก ความร่ำรวยของพวกเขาไม่ได้มาเล่นๆ ซ้ำยังระดับมหาเศรษฐี ไม่สิ ต้องเรียกอภิมหาเศรษฐี”

            “ก็แล้วยังไงล่ะคะ ยิ่งรวยก็ไม่น่าจะขี้เหนียวแค่ภูเขาลูกเดียวยกให้ทางการไปเถอะค่ะ  นี่จะเข้าจะออกต้องทำหนังสือขออนุญาต ถ้าเกิดเราค้นพบกล้วยไม้บรรพกาลจริง เขาไม่บอกว่าเป็นของเขารึไง”

            “ที่ภูเขาลูกนี้ยังอุดมสมบูรณ์ก็เพราะตระกูลเยี่ยครอบครองนี่แหละครับ คนอื่นเลยไม่กล้าเข้ามาหาผลประโยชน์ แต่ชาวบ้านก็เข้ามาหาของป่าได้ปกติครับ ภายใต้เงือนไขที่ต้องไม่ทำลายสภาพแวดล้อม อ้อ! วันนั้นเราคุยกันเรื่องขลุ่ยซุน เอาไว้ลงเขาแล้ว ผมพาคุณหลินไปเยี่ยมชมการทำขลุ่ยนะครับ”

            “ขอบคุณค่ะ”

            หลินอวี่เหยาลงหลังมือขึ้นเช็ดเหงื่อ แล้วเก็บกระติกน้ำเตรียมตัวเดินเท้าต่อ เธอก็เป็นนักพฤษศาสตร์ที่ไม่ชอบอยู่ห้องแลปเช่นเดียวกับคุณปู่หลิน  แต่ก็ไม่ปฏิเสธความก้าวหน้าในสายอาชีพของตน แต่เพราะเธอรู้ดีว่าลับหลังเธอนั้นก็ถูกนำไปนินทาต่างๆนานา เธอเป็นศิษย์รักคนโปรดของปู่หลิน มีหลายบริษัทชั้นนำติดต่อให้เธอร่วมงานด้วย โดยเฉพาะด้านสมุนไพรจีนซึ่งตอนนี้เป็นที่นิยมของตลาดโลก  สูตรยาโบราณแพร่กระจายไปในโลกโซเซียลซึ่งยังไม่ได้รับการตรวจสอบ เธอซึ่งเป็นนักพฤษศาตร์ หรือก็คือนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพืช รวมถึงโครงสร้าง การเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ การทำงาน การจำแนกประเภท วิวัฒนาการ และความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม พวกเขาทำงานวิจัยและศึกษาพืชหลากหลายชนิด ตั้งแต่สาหร่าย เห็ดรา ไปจนถึงต้นไม้ใหญ่ จึงถูกทาบทามเข้าร่วมงานวิจัยอยู่บ่อยครั้ง   ชื่อเสียงที่เธอมีได้มาจากความสามารถแต่ก็แน่นอนว่าถูกนินทาว่าร้ายว่าได้เพราะเป็นคนโปรดของปู่หลินและหน้าตาดี

เกิดมาสวยก็มีความผิดด้วยนะ  หลิวอวี่เหยาส่ายหน้าไปมา เธอไม่ได้อยากผอมเสียหน่อย มันผอมเองตั้งแต่อยู่บ้านเด็กกำพร้าแล้ว

            หลินอวี่เหยาเป็นผู้หญิงคนเดียวในคณะสำรวจครั้งนี้  ตั้งแต่เธอเดินทางถึงที่พักและประชุมการทำงานกับทุกคน แรกทีเดียวพวกเขาค่อนข้างกังวลว่ารูปร่างบอบบางอย่างเธอจะขึ้นเขาไม่ไหว แต่เมื่อเดินทางจริง ทุกคนยอมรับในความสามารถของเธอ ที่ผ่านมาเธอต้องใช้ความพยายามและความสามารถมากกว่าคนอื่นไม่รู้กี่เท่า สิ่งที่เธอเพียงพยายามนั้นไม่มีใครเห็น จึงมักเอาไปพูดว่าร้ายเธอต่างๆ  แรกๆ ปู่หลินพูดแก้ต่างให้เธอบ่อยมาก แต่ยิ่งคุณปู่ทำเช่นนั้นมากขึ้นเท่าไหร่ สายตาดูแคลนของคนอื่นก็มากขึ้นเท่านั้น   ความสามารถเท่านั้นที่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ดีที่สุด

            “คุณหลิน ยังไหวไหมครับ ข้างหน้ามีศาลาสามารถนั่งพักที่จุดนั้นได้”

            หญิงสาวยกมือทำท่า OK. แล้วเดินตามผู้ร่วมงานไปที่ศาลาแปดเหลี่ยมทรงโบราณ เธออดแหงนหน้ามองไม่ได้ ใครกันช่างมีอารมณ์สุนทรีย์สร้างศาลาให้นั่งพักชมทิวทัศน์ได้ขนาดนี้     อ้อ! ลืมไป นี่เป็นที่ดินของตระกูลเยี่ยนี่นะ

            เสียงขลุ่ยแว่วผสานกับเสียงนกร้องในป่าทำให้หญิงสาวเหลียวมองรอบกาย ตั้งแต่มาเยือนที่นี่ เธอได้ยินเสียงขลุ่ยบ่อยครั้งขึ้น เดิมทีนั้นนานๆ จะได้ยินสักครั้ง หรือบางครั้งก็เหมือนหลับฝันไป ฝันว่าตนเองอยู่ในที่หนาวเย็นและมืดมิด  เธอไม่เคยจำความฝันเหล่านั้นได้เลย แต่ทุกครั้งที่เธอลืมตา น้ำตาจะเปื้อนเปรอะนวลแก้ม

            ‘มันอาจเป็นประสบการณ์ในวัยเด็ก หรือก็คือช่วงที่คุณสูญเสียพ่อแม่ไป กระทบกระเทือนจิตใจจึงมีอาการเช่นนี้’

          นั้นเป็นประโยคของจิตแพทย์ที่เธอเคยเข้ารับการรักษา นานวันเข้าเธอก็ล้มเลิกที่จะทำให้มันหายไป เพราะอย่างไรเธอก็ไม่เคยจำความฝันนั้นได้เสียที

            “คุณหลินเดินป่าบ่อยหรือครับ ดูชำนาญเชียว”  ผู้ร่วมงานเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง

            หญิงสาวได้แต่ยิ้มไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ขณะที่กำลังจะเดินไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ที่นั่งในศาลาอยู่นั้น พลันสายตาเธอเห็นผีเสื้อปีกสีน้ำเงินบินอยู่ไม่ไกลนัก เธอหยิบกล้องถ่ายภาพดิจิตอลแล้วเดินตรงไปที่ผีเสื้อตัวนั้น

            “คุณหลินไปทำอะไรน่ะ”

            “เธอชอบถ่ายภาพ” เจ้าหน้าที่อีกคนตอบคำถามแทน “เห็นว่าเคยแสดงนิทรรศการภาพถ่ายด้วยนะ”

            “สวย เก่ง มากความสามารถ แต่มากไปก็ไม่มีใครกล้าจีบสินะ”

            “พูดแบบนี้หมายความว่าไง”

            “ผู้หญิงที่ไหนจะมาเดินป่ากับผู้ชายเป็นขโยงแบบนี้”

            “อย่าพูดดังไป เธอเป็นหลานศาสตราจารย์หลินเฉินอี้”

            “ศาสตราจารย์หลินเฉินอี้ไม่ได้แต่งงานไม่ใช่เหรอ ทำไมมีหลานสาวตัวโตขนาดนี้”

            “ลูกสาวของศิษย์รักที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ท่านรับคุณหลินมาอุปการะและให้ใช้แซ่หลินเดียวกับท่าน”

            “ไม่ใช่ญาติกันทางสายเลือด แต่เก่งกาจถอดแบบกันมาเลยทีเดียว มิน่าเล่าใครๆ ก็คิดว่าเป็นหลานแท้ๆ ของศาสตราจารย์หลินเฉินอี้”

            หลินอวี่เหยาชินชากับคำพูดเหล่านั้นแล้ว เธอยกกล้องดิจิตอลที่พกติดตัวมาถ่ายภาพผีเสื้อสีสวย ขณะนั้นเธอได้ยินเสียงขลุ่ยผสานกับเสียงบทกวีดังแว่วอยู่ข้างหู ประหลาดจริง เธอมันจะได้ยินตอนที่หลับฝันนี่นะ หรือเธอกำลังฝันว่าเดินป่า?

            นี่ฝันหรือความจริง

            “คุณหลินระวัง!”

            คำเตือนนั้นไร้ความหมาย ร่างเล็กลื่นไถลตกเขาร่วงหล่นไปต่อหน้าต่อตานักสำรวจ!

           

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่17 ความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ

    หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย “ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก “มีต้นมะลิด้วยรึ” “เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ” “เจ้าจะทำสระบัวรึ” หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี” “ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร” หลินอวี่เหย

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

    จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?” จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก “ใช่” หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน “นี่อะไร” “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน” นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี” ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลง

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

    “ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส “พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง “ก็พอกินได้” จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสา

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

    “กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี” “เครียด? เครียดคือสิ่งใด” หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป” “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก” หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่13 เยี่ยหรง 2

    “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” เยี่ยหรงประสานมือคารวะ แต่ท่านโหวมุมปากกระตุก คิดรึว่าเขาไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่คิดไปว่าคงเหนื่อยล้าจากการปราบโจรและเดินทางกลับจึงคร้านจะใส่ใจ ทว่าผ่านมาหลายวันจนรู้ว่าเยี่ยหรงออกไปนอกจวน เขาจึงโมโหแทบควันออกหู รอให้มาหาไม่มา จึงต้องให้คนไปตามตัวเช่นนี้ เยี่ยเฟยฮุ่ยแต่งงานกับเย่าเฉิน เขามีภรรยาเดียวไม่รับอนุมีบุตรชายสามคน คือ เยี่ยเฉิงหลิงซึ่งจากไปในวัยแค่ยี่สิบ เยี่ยเฉิงอี้ และเยี่ยจิ่งอวี่ ทั้งสองเป็นทหารประจำชายแดนตะวันออกและตะวันตก แต่ทั้งสองแต่งภรรยามีทายาทตัวน้อย ทว่าเพราะประจำอยู่แดนไกล ภรรยาและลูกจึงอยู่เคียงข้างสามีที่นั้น ในเมืองหลวงนี้เยี่ยเฟยฮุ่ยกับเย่าเฉินอยู่กับสองคนปู่ย่า วาดหวังให้เยี่ยหรงบุตรชายคนเล็กแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่รักดุจลูกในไส้ได้แต่งงานกับสตรีที่คู่ควรเพื่อมีหลานให้ปู่ย่าได้อุ้มชู แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องบ้านเมืองยังไม่สงบสุข แต่ตอนนี้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเงียบสงบนานๆ จึงจะมีเรื่องให้ต้องยกทัพกันสักคราว แต่บุตรชายคนเล็กกลับยังไม่แต่งภรรยา แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่จะ

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

    “บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ” ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้ หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status