เข้าสู่ระบบ‘นี่อย่าเพิ่งไปสิ! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!’
ร่างอวบอิ่มสะดุ้งเฮือก ตื่นจากห้วงฝันด้วยสภาพใบหน้าชื้นเหงื่อ ลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดมิด ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่
ความฝันพิลึกพิลั่นแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตรงข้ามมันเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่เธอไม่เคยชินสักครั้ง เมื่อตัวเองต้องกลายมาเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของความฝัน
หลังจากฟื้นคืนสติจากการประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสตอนอายุเกือบย่างยี่สิบ บูรณิมาก็ฝันประหลาดในลักษณะเดิมซ้ำๆ ตอนแรกเลือนลาง แต่นานวันยิ่งชัดเจนมากขึ้น ที่น่าพิลึก และสุดแสนจะน่าอาย ก็คือผีน้อยในฝันของเธอตนนั้นจะทึกทักว่าเธอคือแม่ตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปรากฏในความฝันจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันอีกฝ่ายก็ยังพร่ำบอกว่าเธอคือแม่ ต่อให้จะไล่ จะขอร้องไม่ให้ตามรังควาน จนถึงขั้นยกมือไหว้ ผีเด็กก็ยังตามวอแวไม่เลิก
แรกๆ เธอจิตตกหนักมากจนถึงขั้นไปหาหมอดู ไปบูชาของดีจากวัดดังๆ เพื่อหวังจะขับไล่ผีเด็กไปให้พ้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่กลัวอะไรเลยสักอย่าง ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แถมยังมาหาเธอบ่อยขึ้นไปอีก แต่ที่น่าตกใจสุดก็คงเป็นการมาของผีน้อยในค่ำคืนนี้ มันต่างออกไป เพราะอีกฝ่ายมาเฉลยว่าใครคือพ่อของตัวเอง
คนคนนั้นคือพระเอกนิยายของเธอ หมายถึงคนที่เธอเอารูปมาเป็นอิมเมจพระเอกในนิยาย ตามคำขอร้องอ้อนวอนของศรีจิตตราซึ่งเป็นแฟนนิยายตัวยงของเธอ อีกฝ่ายคลั่งไคล้เขาเอามากๆ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะปฏิเสธหัวชนฝา เพราะไม่อยากจะทนมองรูปคนที่เคยมีประเด็นกับตัวเองเมื่อสามปีก่อน แต่สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อน และน้ำคำวิงวอนแกมรบเร้าของศรีจิตตรา ที่สุดก็ต้องยอมกัดฟันนำเอารูปของเขามาเป็นอิมเมจพระเอกในนิยายของตัวเอง ดีที่รูปนั้นสามารถหยิบยกมาใช้เป็นอิมเมจได้ เพราะเขาเคยไปถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารธุรกิจหัวนอกอยู่ฉบับหนึ่ง ซึ่งก่อนจะอัพโหลดลงเว็บไซต์บูรณิมาก็ได้ส่งอีเมลไปขออนุญาตทางบรรณาธิการของนิตยสารแล้ว
ในชีวิตจริงผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว เขามีภรรยาที่สวยและเพียบพร้อมเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก มีลูกสาวที่น่ารัก เห็นข่าวว่างั้นนะ เพราะถึงแม้เธอจะรู้จักกับภรรยาของเขา แต่ไม่เคยเห็นลูกสาวของอีกฝ่ายสักที ได้ยินว่าเขาหวงลูกสาวมากประดุจดั่งไข่ในหิน หวงจนไม่ยอมให้ออกสื่อ และไม่ยอมให้รูปของลูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ
แน่นอนว่าบูรณิมาไม่ได้คิดอะไรกับการที่ผีเด็กมาทึกทักว่าเธอเป็นแม่ของเจ้าหนูร่วมกับผู้ชายคนนั้น ถึงแม้จะนึกแสลงใจอย่างน่าประหลาด แต่ก็ไม่ได้เก็บเอาเรื่องของเขามาใส่ใจ หรือคาดหวังอะไรทั้งสิ้น เพราะสำเหนียกดีว่าเขาเป็นคนมีครอบครัว เป็นผู้ชายต้องห้าม ที่เธอไม่ควรจะไปนึกถึง หรือไปบ้าจี้ตามผีเด็กตัวแสบ ไม่ว่าจะในแง่มุมไหนก็ตาม เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่บูรณิมาไม่อยากให้ความฝันพิลึกแบบนี้เกิดขึ้นอีก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับวิญญาณผีเด็กที่ยังคงคอยตามวอแวเธอไม่เลิก
เช้าวันถัดมา ร่างอวบแต่ไม่ได้อ้วนอย่างที่เจ้าตัวมักจะคิดไปเอง เดินออกมาจากห้องนอนด้วยสภาพอิดโรยเพราะนอนไม่หลับ ก้าวไปยังโต๊ะกินข้าวที่มารดากำลังนั่งจัดการกับอาหารเช้าอยู่เพียงลำพัง เดาว่าพ่อของเธอคงไม่ได้กลับบ้านอีกตามเคย หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้ออกนั่ง พร้อมเอ่ยเบาๆ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะแม่”
“อืม”
“พ่อไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอคะ?”
ถึงแม้จะพอเดาได้ แต่บูรณิมาก็อดถามไถ่ไปถึงบิดาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“อือ…”
มารดาผู้เคยสดใสมีชีวิตชีวามาบัดนี้กลับตอบทื่อๆ เหมือนคนไร้ความรู้สึก ท่าทีดูไม่มีความสุขทำให้บูรณิมานึกกลัดกลุ้ม เพราะรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้แม่ไม่สบายใจคือเรื่องหนี้สินของพ่อ ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างกำลังเดินมาถึงทางตัน ต่อให้จะขายทรัพย์สินที่มีทั้งหมดก็ไม่สามารถชดใช้ได้ไหว เพราะมันมากมายมหาศาลเหลือเกิน
จะว่าไปครอบครัวเธอขายทรัพย์สินไปเกือบหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถของเธอ รถของพ่อกับแม่ สร้อยทองและกำไลแขนที่แม่รักนักรักหนา จะเหลือก็แต่คอนโดที่บูรณิมาซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เก็บเงินที่ได้จากการขายนิยายมาซื้อ ซึ่งจุดประสงค์ที่ซื้อไว้ก็เพื่อจะได้ปลีกตัวไปอยู่เงียบๆ คนเดียวในช่วงที่ต้องการสมาธิในการคิดและรีไรท์งาน ที่จริงเธอบอกให้พ่อกับแม่ขายแล้วเอาเงินไปใช้หนี้ หากแต่แม่กลับไม่เห็นด้วย แถมยังค้านหัวชนฝา ไม่ยอมให้ขายท่าเดียว โดยให้เหตุผลว่ามันคือความภาคภูมิใจของเธอ มันคือน้ำพักน้ำแรงของเธอ ต่อให้ครอบครัวจะไม่เหลืออะไรเลยก็ต้องไม่ขายคอนโดที่ถือเป็นของชิ้นแรกที่ได้จากการขายนิยายของเธอ
“แม่คะ ตอนเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหนูจริงๆ เหรอคะ”
อยู่ๆ เธอก็โพล่งขึ้น ครั้นได้ยินว่าลูกสาวถามถึงเหตุการณ์ในอดีตนางบูรณาก็มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมา
“ฝันประหลาดอีกแล้วล่ะสิ”
คนเป็นแม่ถามอย่างรู้ทัน เพราะทุกครั้งที่ถามคำถามนี้ลูกสาวมักจะฝันถึงเรื่องประหลาด
“ค่ะ”
สาวน้อยพยักหน้าด้วยท่าทางเนือยๆ คว้าปาท่องโก๋จุ่มลงไปในแก้วน้ำเต้าหู้จนชุ่ม จากนั้นก็ยกขึ้นกัดคำโต เคี้ยวตุ้ยๆ ถึงได้เอ่ยต่อ
“นอกจากบาดเจ็บสาหัส ความจำเสื่อม หนูเป็นอะไรอีกไหมคะ แล้วมีคนอื่นในเหตุการณ์ไหม แบบว่า…มีคนตาย หรือได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเดียวกับหนูอะไรทำนองนั้น”
จากคำบอกเล่าของพ่อกับแม่ ตอนอายุสิบเก้า เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ อาการสาหัส สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้สูญเสียความทรงจำบางส่วนไป ตื่นมาอีกทีเธอก็อายุเกือบจะยี่สิบปีแล้ว บูรณิมาจำเหตุการณ์ตั้งแต่ในช่วงมหา’ลัยปีหนึ่ง เทอมหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นวันเกิดอายุครบสิบเก้าปีเต็มของเธอ จนกระทั่งถึงช่วงประสบอุบัติเหตุไม่ได้เลย มันเป็นช่วงเวลาที่เธอไร้ความทรงจำ ในสมองว่างเปล่า เหมือนว่าเหตุการณ์ช่วงนั้นถูกตัดออกไปจากสารระบบเสียดื้อๆ หรือไม่ก็สมองไม่อยากจดจำอะไรเทือกนั้น
“บี๋ไม่อยากได้เขาจริงเหรอ?”“แม่!”คราวนี้เธอถึงกับหลุดอุทานตาโต เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลั่นวาจาออกมาแบบนั้นนี่แม่ของเธอกำลังคิดอะไรกันแน่!“ผู้ชายคนนั้นอาจเป็นพ่อของลูกบี๋ในอนาคตจริงๆ ก็ได้”“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ บี๋ไม่มีทางทำเรื่องผิดศีลธรรมแน่”บูรณิมาเอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะนึกถึงเขา ไม่ว่าจะในแง่มุมไหนทั้งสิ้น จริงๆ เธอไม่ควรจะนำเอาบุรุษที่มีภรรยาแล้วมามโนเป็นพระเอกนิยายของตัวเองเสียด้วยซ้ำ หากว่าไม่หลวมตัวตามคำเว้าวอนของศรีจิตตราก็คงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากมายถึงเพียงนี้ “แค่ไม่มีเมียเขา ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว…จริงไหม?” ท้ายน้ำเสียงของแม่กดลึกชวนใจสะท้านชอบกล “ไม่ค่ะ ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง”แค่คิดก็ผิดแล้วผิดมากๆผิดอย่างมหันต์ “แต่อะไรที่มันเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ”แม่ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งงงไปใหญ่ แล้วบูรณิมาก็นึกเอะใจอะไรบางอย่าง“ยิ่งแม่พูดอย่างนี้ บี๋ยิ่งสงสัยว่าแม่มีอะไรปิดบังบี๋อยู่ หรือตอนที่บี๋ความจำเสื่อมมีผู้ชายคนนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง” คราวนี้เธอเอ
ทั้งที่จริงๆ แล้วความทรงจำของเธอควรจะขาดหายไปแค่ช่วงที่ประสบอุบัติเหตุเท่านั้น แต่น่าแปลกที่เธอดันจำเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนไม่ได้ด้วย ช่วงเวลาเหล่านั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้างเธอไม่มีทางรู้เลย ต่อให้จะเพียรถามพ่อแม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยได้ความกระจ่างแจ้งเสียที เพราะทุกครั้งที่เธอเอ่ยปากถามพ่อกับแม่ก็จะตอบแค่ว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าที่พวกท่านเล่าให้ฟัง ซึ่งบูรณิมาก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่ลึกๆ ในใจกลับค้านว่ามันต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น และความลับนั้นอาจเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ไม่อยากให้เธอล่วงรู้ก็เป็นได้ อีกทั้งนึกยังไงก็นึกไม่ออก ว่าชีวิตตัวเองไปเชื่อมโยงกับผีน้อยตนนั้นได้อย่างไร แต่ก็คิดว่ามันน่าจะมีความเกี่ยวเนื่องอะไรกันสักอย่าง ไม่งั้นเธอคงไม่ฝันถึงผีเด็กหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ก็น่าแปลกเอามากๆ หากว่าวิญญาณเด็กจะเป็นลูกของเธอจริงๆ ตอนนั้นเธอเพิ่งจะเข้ามหา’ลัย ยังโสดสนิท ไม่เคยมีแฟน แล้วเธอจะมีลูกได้ยังไง ตอนแรกคิดว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่ก็มีผีเด็กคอยตามขอส่วนบุญ แต่ไม่ว่าจะไปดูดวง ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล หรือไปหาพระ กี่ครั้งต
‘นี่อย่าเพิ่งไปสิ! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!’ ร่างอวบอิ่มสะดุ้งเฮือก ตื่นจากห้วงฝันด้วยสภาพใบหน้าชื้นเหงื่อ ลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดมิด ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ความฝันพิลึกพิลั่นแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตรงข้ามมันเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่เธอไม่เคยชินสักครั้ง เมื่อตัวเองต้องกลายมาเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของความฝัน หลังจากฟื้นคืนสติจากการประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสตอนอายุเกือบย่างยี่สิบ บูรณิมาก็ฝันประหลาดในลักษณะเดิมซ้ำๆ ตอนแรกเลือนลาง แต่นานวันยิ่งชัดเจนมากขึ้น ที่น่าพิลึก และสุดแสนจะน่าอาย ก็คือผีน้อยในฝันของเธอตนนั้นจะทึกทักว่าเธอคือแม่ตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปรากฏในความฝันจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันอีกฝ่ายก็ยังพร่ำบอกว่าเธอคือแม่ ต่อให้จะไล่ จะขอร้องไม่ให้ตามรังควาน จนถึงขั้นยกมือไหว้ ผีเด็กก็ยังตามวอแวไม่เลิก แรกๆ เธอจิตตกหนักมากจนถึงขั้นไปหาหมอดู ไปบูชาของดีจากวัดดังๆ เพื่อหวังจะขับไล่ผีเด็กไปให้พ้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่กลัวอะไรเลยสักอย่าง ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แถมยังมาหาเธอบ่อยขึ้นไปอีก แต่ที่น่าตกใจสุดก็คงเป็นการมาของผีน้อยในค่ำคืนนี้ มันต่างออกไป
‘แม่จ๋า…แม่…แม่บี๋จ๋า…’เสียงออดอ้อนแกมเรียกร้องความสนใจ ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาปั่นต้นฉบับหัวฟูอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊กสะดุดกึก มือที่รัวแป้นคีย์บอร์ดเพราะสมองกำลังแล่นฉิวพลันชะงักไปชั่วขณะ ‘เฮ้อ…’บูรณิมา กิตศิลปาจารย์ สาวน้อยหน้าใส วัยยี่สิบสาม เจ้าของส่วนสูงน่ารักร้อยห้าสิบห้าเซ็นติเมตร เรือนร่างอวบอิ่ม แก้มป่อง ขาวโอโม่ หน้าอกและสะโพกสะบึมเกินตัว จนเจ้าตัวมองว่าน่าอาย เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความระอาแกมเหนื่อยใจ เงยหน้าขึ้น ถอดแว่นกรองแสงวางไว้ข้างโน้ตบุ๊กบนโต๊ะญี่ปุ่น ขยับตัวหันไปนั่งเผชิญหน้ากับร่างอ้วนจ้ำม่ำของวิญญาณเด็กผู้หญิงวัยประมาณสี่ขวบ ไม่ก็ห้าขวบ หรือหกขวบ ก่อนจะเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ ‘จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งหือ ว่าพี่ไม่ใช่แม่ของหนู’ อย่าว่าแต่ลูกเลย แฟนสักคนในชีวิตเธอยังไม่เคยมี ‘ช่ายยยยยย…’หนูน้อยทำปากยื่นเถียงกลับ ‘ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่’‘ช่าย แม่บี๋ เป็นแม่หนู’วิญญาณเด็กหญิงตาแป๋วแก้มป่องยังคงยืนยันคำเดิมอย่างดื้อดึงจนน่าดึงแก้มย้วยๆ นั่นให้หลุดติดมือ จากนั้นตัวแสบก็โผเข้ากอดเธอ แล้วลดแก้มกลมๆ ลงมาถูแขนเรียวอย่างออดอ้
บูรณิมาไม่รู้ว่าตนไปได้รอยแผลเป็นดังกล่าวมาได้อย่างไร โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นมันเหมือนเป็นรอยผ่าตัดอะไรสักอย่าง แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก อีกทั้งไม่เคยได้มีโอกาสปริปากสอบถามหมอ เพราะแม่บอกว่าหมอที่รักษาเธอในตอนนั้นได้ย้ายไปประจำที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดแล้ว และแม่ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ารอยแผลเป็นทั้งหมดนั้นเป็นผลพวงมาจากอุบัติเหตุร้ายแรงที่เธอประสบ ซึ่งบูรณิมาก็ไม่มีข้อโต้แย้ง เนื่องจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ไม่ได้ทำให้เธอแค่ปางตาย แต่ยังส่งผลให้ความทรงจำบางช่วงขาดหายไปด้วย หลังจากกลับมาเดินเหินได้ตามปกติ บูรณิมาก็ตัดสินใจไปสักลายดอกทานตะวัน ให้มองว่าออกแนวอาร์ตๆ ดูไม่น่าเกลียด และไม่แสลงใจอย่างที่รู้สึกอยู่ลึกๆ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่พิลึกชวนสงสัยเอามากๆ แต่เธอก็มิอาจรู้ว่าต้นตอของไอ้ความรู้สึกที่ว่าคืออะไรกันแน่ ครั้นบูรณิมาก้าวออกมาจากหลังที่กั้นในสภาพมิดชิดในนาทีต่อมา สาวน้อยก็ต้องเม้มปากแน่น เมื่ออีตาลุงบ้านั่นยังไม่ไปไหน หนำซ้ำยังมีหน้าหันมาจ้องเธอเขม็ง “คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง?” เจ้าของพวงแก้มแดงเรื่อเอ่ยถามเสียงแข็งๆ ขณะหรี่ตาจ้องหน้าเขาไม่ลดละ ท่าทางเอาเรื่องของ
ภูผาเอ่ยเตือนสติในตอนท้าย เพราะไม่เคยเห็นพื่อนรัก ‘เสียอาการ’ แบบนี้เลยสักครั้ง ถึงจักรพรรดิจะขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ แต่เวลาคบใครก็คบทีละคน พอมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วก็เลิกหมด ไม่เคยชายตาแลหญิงอื่นให้เมียต้องขุ่นข้องหมองใจ แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเผลอลืมตัวมองสาวน้อยหุ่นน่าฟัดที่เพิ่งเดินผ่านไม่วางตา “แค่รู้สึกคุ้นหน้า”คนโดนย้อนทำเพียงไหวไหล่เบาๆ จักรพรรดิรู้สึกเหมือนเคยเจอสาวน้อยคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่ที่ไหนสักแห่ง แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก แถมสมองยังเอาแต่ควานหาว่าเขาเคยรู้จักเธอหรือไม่ ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนเคยเจอ เคยเห็นหน้า เคยสัมผัส เคยใกล้ชิดมันน่าประหลาดเอามากๆ แม่ง! แค่เจอหน้า ทำไมต้องเอาแต่คิดเรื่องของยายเด็กนั่นด้วยวะ“เฮ้ย! เด็กเลี้ยงมึงหรือเปล่าวะ” “นั่นมันมึง ไม่ใช่กู กูไม่เคยเลี้ยงเด็ก กูไม่ชอบเด็ก”มาเฟียหน้าตายสวนกลับทันควัน“งั้นก็เป็นอดีตคู่ควง”“จะต้องให้ย้ำอีกกี่หน ว่ากูไม่ชอบเด็ก ไม่เหมือนมึงที่ชอบพรากผู้เยาว์”คราวนี้คนโดนไล่ต้อนเริ่มกดเสียงต่ำ ส่วนคนถูกหลอกด่าสองดอกติดๆ ทำเพียงไหวไหล่ไม่ยี่หระ“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมมึงมองเขา ‘ต







