เข้าสู่ระบบ
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
"ยายจ๋า อย่าส่งลดาไปกับคนพวกนั้นเลยนะจ๊ะ”
เสียงสะอื้นไห้ปานจะขาดใจดังสะท้อนอยู่ภายใต้หลังคาสังกะสีเกรอะกรังสนิม ในบ้านไม้หลังซอมซ่อที่ทั้งร้อนอบอ้าวและเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าจากแอ่งน้ำขังใต้ถุน บ่งบอกถึงสภาพความเป็นอยู่อันอัตคัดขัดสนของผู้อยู่อาศัย
“ยายขอโทษนะหลานเอ๊ย แต่ยายไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ ”
น้ำเสียงของหญิงชราสั่นเครือ ขณะจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มของหลานสาวที่ตนคอยชุบเลี้ยงมาเป็นแรมปีด้วยความรักซึ่งบัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างน่าสงสาร
“ฮือ~ ไม่ ลดาไม่ไปไหนทั้งนั้น ลดาจะอยู่กับยาย”
ลดา เด็กสาววัยสิบแปดปีทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าพลางใช้มือทั้งสองข้างจับชายผ้าถุงสีซีดของผู้เป็นยายไว้แน่นเสมือนเด็กน้อยที่หวาดกลัวการถูกทอดทิ้งพร้อมอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาหวังให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ
“เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอกจ้ะหนูน้อย”
มาดามแพม สาวใหญ่ผู้ปล่อยเงินกู้ที่คนในระแวกนั้นต่างรู้จักกันดี เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความเบื่อหน่ายและหมดความอดทน หลังจากต้องทนฟังสองยายหลานโอดครวญจนรู้สึกรำคาญใจ
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เธอเอาไปจ่ายค่าเทอม รวมถึงค่าใช้จ่ายในบ้านล้วนมาจากเงินของฉันทั้งนั้น"
ดวงตาแดงก่ำและพร่าเลือนของเด็กสาวหันไปทางมาดามแพมแวบหนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นยาย
“ไม่จริงใช่มั้ยจ๊ะยาย ก็ยายบอกลดาเองว่าเงินที่เราใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้เป็นเงินที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้”
“โถ่! หนูน้อย ช่างไร้เดียงสานัก เธอคิดว่าครอบครัวที่ล้มละลาย หมดเนื้อหมดตัวจนต้องย้ายมาอยู่สลัมแบบนี้ยังจะมีเงินไว้ประทังชีวิตอีกเหรอ?”
หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ฐานะทางครอบครัวของเด็กสาวก็ถือได้ว่ามั่งคั่งร่ำรวยจากธุรกิจหลายอย่างที่บิดามารดาร่วมสร้างกันมา กระทั่งช่วงที่ลดาเรียนอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย
ธุรกิจเหล่านั้นก็พังลงไม่เป็นท่าเพราะถูกคนไว้ใจคดโกงทำเอาครอบครัวของเธอสิ้นเนื้อประดาตัวก่อนจะถูกฟ้องล้มละลาย หลังจากนั้นเพียงไม่นาน คู่สามีภรรยาที่ยอมพ่ายแพ้แก่โชคชะตาก็ตัดสินใจปลิดชีพตัวเอง
สองยายหลานจึงต้องระหกระเหินมาอยู่ในชุมชนแออัดแห่งนี้...
“ยายไปหยิบยืมเงินมาดามมาจริงๆ หรือจ๊ะ” นัยน์ตาสีเฮเซลที่เคยกระจ่างใสและเปล่งประกายอยู่เสมอเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
ผู้เป็นยายมองสีหน้าสิ้นหวังของหลานสาวสุดที่รักด้วยหัวใจที่เจ็บปวดพลางพยักหน้าช้าๆ เป็นคำตอบ
“ฉันกับยายของเธอน่ะ ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าทันทีที่เธอเรียนจบมัธยมปลายจะต้องไปอยู่กับฉัน” มาดามแพมเปิดปากอธิบายอีกครั้งเพราะอยากรีบจบเรื่องราวพวกนี้เสียที
“ไปอยู่กับมาดามเถอะนะลดา ยายเองก็อายุมากแล้ว จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลย อย่างน้อยๆ หลานจะได้เข้าเรียนมหาลัยเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเองยังไงล่ะ”
หญิงชราพยายามโน้มน้าว ถึงแม้จะรู้ดีว่าการตัดสินใจส่งหลานให้กับคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก แต่เพื่ออนาคตของเด็กคนนี้เธอจำต้องทำ โดยไม่รู้เลยว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของมาดามแพมที่ฉากหน้าเปิดร้านอาหารสุดหรู แท้จริงแล้วเธอเป็นใครและทำธุรกิจอะไรกันแน่
“เดี๋ยวลดาจะรีบไปหางานทำแล้วเอาเงินมาคืนมาดามทุกบาททุกสตางค์เองค่ะ" ลดาพยายามคิดหาหนทางที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้เป็นยาย แต่มาดามแพมกลับพูดเหน็บแนมดับฝันเธออีกครั้ง
“คนจบแค่มัธยมปลายอย่างเธอ คิดจะไปทำงานอะไรล่ะ ถึงมีรายได้มากพอที่จะคืนเงินหลายล้านให้ฉันภายในเวลาหนึ่งเดือน"
“ละ หลายล้านเลยเหรอคะ เป็นไปไม่ได้หรอก” ใบหน้าจิ้มลิ้มส่ายไปมาเพราะมั่นใจว่าตลอดระยะเวลาหกปี เงินที่เธอกับยายใช้จ่ายไม่ได้มากมายขนาดนั้น
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ก็ฉันไม่ได้ทำธุรกิจการกุศลนี่ ย่อมมีดอกเบี้ยเป็นธรรมดา"
“ลดาจะไปแจ้งตำรวจ”
“ก็เอาสิ ถ้าคิดว่าตำรวจพวกนั้นจะช่วยอะไรได้ ดีไม่ดี ยายของเธอจะได้ไปนอนแก่ตายในคุก ส่วนเธอก็อาจจะหมดอนาคตไปเลย"
“พอเถอะนะลดา หลานไปอยู่กับมาดามก็ต้องตั้งใจเรียนให้จบจะได้มีการมีงานดีๆ ทำ" หญิงชราที่เปรียบเสมือนไม้ใกล้ฝั่งรีบตัดบทแล้วโน้มตัวลงไปใช้มือเหี่ยวย่นประคองไหล่ที่สั่นเทิ้มของหลานให้ลุกขึ้นมาสวมกอด
"ยายจ๋า" น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งไปเริ่มพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง
“ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ ยายรักลดามากนะ” มือข้างหนึ่งลูบเรือนผมของหลานสาวด้วยความรักใคร่พร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย
“ลดาก็รักยาย ลดารักยายที่สุด ลดาไม่ไปได้ไหม ลดาอยากอยู่กับยาย” คำอ้อนวอนเล็ดลอดจากริมฝีปากของเด็กสาวพร้อมปล่อยโฮออกมาอย่างหนักอยู่เป็นเวลาหลายนาที
กระทั่งเธอรับรู้ได้ถึงความหนักอึ้งบางอย่างที่ทำเอาตัวเองซวนเซจนรีบคลายอ้อมกอดจึงเห็นว่ายายอยู่ในสภาพเปลือกตาปรือปรอยทำท่าเหมือนจะเป็นลม
“ยาย!”
ในจังหวะนั้นเองที่หญิงชราค่อยๆ ทรุดกายลงบนพื้นโดยมีหลานคอยประคองไว้อย่างสุดความสามารถก่อนจะชักเกร็งจนเด็กสาวตกใจทำอะไรไม่ถูก
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากแทบไม่มีเวลาให้ทันได้ตั้งตัวและเพียงแค่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เรือนร่างของผู้เป็นยายก็แน่นิ่งไปโดยมีหลานสาวนั่งอยู่เคียงข้าง
“ยาย ยาย ตื่นขึ้นมาคุยกับลดาก่อนสิ มาดามได้โปรดช่วยเรียกรถพยาบาลให้ที...”
สีหน้าของมาดามแพมยังคงเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะต่อสายหาลูกน้องของตัวเองซึ่งทำหน้าที่เก็บดอกเบี้ยอยู่แถวๆ นั้น
ไม่นานชายรูปร่างสูงกำยำคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในบ้านแล้วมุ่งหน้าไปยังสองยายหลานบนพื้นก่อนจะจับลงที่แอ่งชีพจรของหญิงชราพลางส่ายหน้าให้กับมาดามแพม
“ยาย ยายตื่นขึ้นมาคุยกับลดาก่อนนะ แล้วลดาจะไปอยู่กับมาดามตามที่ยายต้องการ”
เด็กสาวประคองศีรษะของร่างที่ไร้การตอบสนองไว้ด้วยมือสั่นเทาพลางลูบไล้ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยแผ่วเบาเพราะเกรงว่าอาจจะทำให้ยายของเธอต้องเจ็บ
"ยาย ยายจ๋า ได้ยินลดามั้ยจ๊ะ" พยายามเรียกซ้ำๆ อยู่แบบนั้นเป็นเวลาหลายนาทีอย่างคนไม่ยอมรับความจริง ว่าเธอได้สูญเสียครอบครัวคนสุดท้ายไปแล้ว...
กระทั่งเพราะความปวดร้าวที่ยากเกินจะรับไหว เด็กสาวโผเข้าสวมกอดร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นยายไว้แนบแน่นพร้อมหัวใจที่แตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ พลางกรีดร้องออกอย่างน่าสังเวช
"ไม่ ไม่จริง ไม่!"
“ที่รัก ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับ”เขาเอ่ยปากถามทันทีที่เดินเข้ามาหยุดยืนภายในห้องนั่งเล่น แล้วเห็นข้าวของที่ฉันเพิ่งไปเลือกซื้อมาวางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ“ลดาซื้อพวกอาหารเสริมมาให้คุณค่ะ”“จะว่าผัวแก่ ไร้สมรรถภาพแล้วอย่างนั้นเหรอ” เขาหรี่ตามองฉันก่อนแกล้งทำเสียงดุ“เปล่านะคะ ลดาแค่อยากให้คุณสุขภาพดีก็เท่านั้น” ฉันหัวเราะเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าปฏิเสธในสิ่งที่เขากล่าวออกมา“จริงเหรอ”“แน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมกินเด็ดขาด”“ที่รักก็ต้องเป็นคนจัดให้ผัวสิ ผัวจะได้ไม่ลืม” เขายกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ตามสไตล์“คุณนี่ก็…” ฉันหัวเราะแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกล่องอาหารเสริมมาจัดใส่ตะกร้าแยกไว้ให้เป็นระเบียบเราสองคนแต่งงานกันมาแล้วสองปี…สองปีที่ผ่านมา ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องราวน่ารักและความสุขเสมอไป เพราะชีวิตแต่งงานนั้นมีอะไรให้เรียนรู้ยิ่งกว่านั้น ทั้งเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ และต้องยอมรับว่าค่อนข้างต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากด้วยแต่ท่ามกลางอุปสรรคและปัญหาเหล่านั้น…ก็ยังมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความห่วงใยเล็ก ๆ ที่ทำให้ทุกวันของฉันกับเขายังคงมีความหมายตอนนี้ฉันได้เข้าทำงานที่บริษัทยัก
“ลดาแต่งตัวไม่สวยถูกใจคุณเหรอคะ เห็นมองแบบนั้นตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้ว”ฉันฉีกยิ้มกว้างอย่างต้องการแกล้ง ขณะสายตาจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อคมคาย ทว่าบูดบึ้งของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีโต๊ะกั้นกลางระหว่างเรา“ฉันว่าคืนนี้อากาศมันค่อนข้างหนาว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”เขาเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหยิบเสื้อสูทสีเทาเรียบหรูที่พาดอยู่บนเก้าอี้มาคลุมลงบนลาดไหล่เปลือยเปล่าของฉันราวกับต้องการสร้างความอบอุ่น“หนาวที่ไหนกันคะ อากาศกำลังดีเลย”ฉันหัวเราะเบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ดึงเสื้อคลุมออกอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะรู้ดีว่าการกระทำของเขากำลังบ่งบอกอะไร จึงอดที่จะหยอกล้อพร้อมระบายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ได้“หวงก็บอกว่าหวงสิคะ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย”“...”คนปากแข็งเลือกที่จะเงียบเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับเหลือบไปมองบรรดาหนุ่ม ๆ ที่นั่งรวมกลุ่มรับประทานอาหารอยู่ไม่ไกลอีกครั้ง สีหน้ายังคงฉายชัดถึงความไม่พอใจ เมื่อเห็นสายตาหลายคู่มุ่งมองตรงมาที่ฉัน“ไม่หวงก็ไม่หวง...” ฉันแกล้งลากเสียงแล้วยักไหล่เบา ๆ เหมือนไม่ใส่ใจเช่นเดียวกัน"อืม”“ก็ดีค่ะ เพราะคุณบอกเองว่าให้ลดาแต่งตัว
สองปีต่อมา...แชะ แชะ แชะ!เสียงกดชัตเตอร์ดังรัวพร้อมแสงแฟลชที่สาดกระทบเข้ามาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โชคยังดีที่วันนี้ผมใส่แว่นกันแดดมาด้วย ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ตาลายกันพอดี“ทำอะไรของเธอเนี่ย”ผมถึงกับผงะพลางถามด้วยความงุนงง หลังจากคนตัวเล็กข้างกายประนมมือหันมากราบแนบอกของผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“ขอบคุณนะคะ ที่ส่งลดาเรียนจนจบ” พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ แววตากลมโตคู่นั้นเปล่งประกายอย่างคนซาบซึ้งใจจนปิดไม่มิดในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพิ่มความสวยโดดเด่นจนคนมองแทบละสายตาไม่ได้แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ปริปากพูดอะไร เธอก็เดินไปรับกรอบรูปยายมาจากเอริคแล้วยกขึ้นกอด จากนั้นจึงบอกช่างภาพด้วยน้ำเสียงสดใส“ถ่ายหลาย ๆ รูปเลยค่ะ”หลังจากได้ถ่ายรูปกับเธอแล้วก็ยาย ผมจึงเดินออกมาเพื่อให้ลดาเก็บภาพความทรงจำนั้นไว้ แสงแฟลชยังคงสาดวาบอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจของบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งบอกตามตรงเลยว่า ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเธอ พอ ๆ กับที่เธอภาคภูมิใจในตัวเอง ผมเห็นทุกความพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจ มีวินัยและอดทนมาโดยตลอดถึงแม้อากา
“ไปพักผ่อนบ้างเถอะนะครับนาย” เอริคเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเห็นใจแกมขอร้องหลังจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไป คนที่ฟื้นขึ้นมาเป็นคนแรกอย่างเขากลับต้องต่อสู้กับความทรมานทางกาย รวมถึงบาดแผลลึกในใจที่ยากจะเยียวยา“จะให้ทำแบบนั้นได้ยังไง ถ้าเธอฟื้นขึ้นมาแล้วไม่เจอกูล่ะ”ริมฝีปากหยักพึมพำเสียงแผ่ว แต่แฝงไว้ด้วยความดื้อดึง ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในสภาพผู้ป่วย แถมตามร่างกายยังมีร่องรอยบาดแผลหลายแห่ง แต่กระนั้นกลับเลือกที่จะนั่งเฝ้าเธอไม่ยอมห่างมือของเขาเลื่อนกอบกุมมือบอบบางอย่างระมัดระวังพร้อมจับจ้องใบหน้าซีดเซียวด้วยความห่วงใยพอ ๆ กับกังวลใจ เพราะก่อนหน้านี้ หัวใจของหญิงสาวหยุดเต้นไปแล้วรอบหนึ่ง จึงต้องคอยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ร่างกายของเธอยังคงไม่ตอบสนอง เพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง“ผมรู้ว่านายเป็นห่วงเธอ แต่อย่าลืมนะครับว่าร่างกายของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน”“...”“เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าเอง แล้วถ้าเธอฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปบอกนายทันที” พยายามโน้มน้าวอย่างไม่ยอมแพ้ แม้ลึก ๆ จะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้เป็นเจ้า
“อีกหนึ่งความสุขของเธอ คือการได้กินของอร่อย ๆ สินะ”“แน่นอนค่ะ อาหารร้านนั้นอร่อยถูกปากลดามากเลย ไว้วันหลังเราไปกินกันอีกนะ”ทั้งสองนั่งรถออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ย่านใจกลางเมืองกรุง ฯ หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมื้อค่ำสุดพิเศษ“ได้สิ” คาลิกซ์เอ่ยรับปาก พลางทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย“คุณรับปากแล้วนะคะ หวังว่าจะไม่ลืม”“ฉันไม่ได้ความจำสั้นเหมือนปลาทองเสียหน่อย”มาเฟียหนุ่มพูดติดตลกแล้วเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง แต่ก็พอที่จะเห็นรอยยิ้มกว้างอย่างคนมีความสุขบนใบหน้าจิ้มลิ้ม“น่ารักที่สุดเลยค่ะ” น้ำเสียงละมุนละไมเอ่ยปากออดอ้อนคาลิกซ์อดไม่ได้ที่จะเลื่อนไปจับมือน้อย ๆ ของคนข้างกายเอาไว้แล้วจุมพิตแผ่วเบา ขณะสายตายังคงจดจ้องอยู่กับถนนหนทางเพื่อความปลอดภัย“ปล่อยได้แล้วค่ะ” ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอาย ถึงแม้จะพยายามดึงมือกลับ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ“ขอฉันชื่นใจอีกหน่อย” สูดดมความหอมสดชื่นเฉพาะตัวเข้าปอดเต็มแรง ราวกับต้องการตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขนี้เอาไว้อย่างบอกไม่ถูกหญิงสาวจึงปล่อยให้มาเฟียหนุ่มทำตามใจต้องการโดยไม่อิดออด ตั้งแต่เธอทำใจและยอม
“วันนี้เธอเป็นยังไงบ้างครับ”มาเฟียหนุ่มหันไปถามแม่บ้านวัยกลางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาหยุดยืนภายในห้องนั่งเล่นพร้อมถาดของว่างยามบ่ายด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ยังไม่ค่อยดีขึ้นเลยค่ะ” เมแกนลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ อดที่จะสงสารคุณหนูของเธอไม่ได้“ผมไม่คิดว่าเธอจะเป็นถึงขนาดนี้” ทั้งที่ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว แต่เธอยังคงเอาแต่นอนขลุกตัว จมจ่อมอยู่กับความเศร้าโศกและแทบไม่ย่างกรายออกจากห้องนอนของตัวเอง“คุณหนูรักเจ้าแอบิเกลมากเลยนะคะ นกตัวนั้นเข้ามาอยู่ที่นี่ไล่เลี่ยกันกับเธอ ซึ่งในช่วงแรกที่ยังปรับตัวไม่ได้ ก็มีเจ้าแอบิเกลนี่แหละค่ะ ที่ช่วยให้เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป”คาลิกซ์ฟังถ้อยคำเหล่านั้นจากปากของแม่บ้าน โดยไม่ปริปากพูดอะไร อีกทั้งยังนึกเห็นใจหญิงสาวที่เพิ่งสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวโปรดซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนคนหนึ่งของเธอยิ่งกว่าเดิมหลังจากเมแกนกล่าวจบก็ขอตัวไปจัดการงานในห้องครัวอย่างเช่นทุกวัน มาเฟียหนุ่มจึงหันไปหาลูกน้องคนสนิทที่นั่งอยู่ไม่ไกล“เรื่องเชฟเป็นยังไงบ้าง”“รอแค่ยืนยันวันที่จะเริ่มเรียนไปให้ทางนั้น ทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อยครับ”“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะให้ลดาเริ่มเรียนตั้งแต่วัน







