LOGINกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
“อืม…” เสียงครางต่ำในลำคอดังขึ้นเป็นระยะ เจ้าของเรือนกายกำยำซึ่งเต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อตึงแน่น ประดับด้วยรอยสักรูปมังกรพันรอบลำตัว ทว่าส่วนหัวของมันกลับเลือนหายลงสู่ใจกลางความเป็นชายที่กำลังกระหน่ำกระแทกกระทั้นอย่างไม่บันยะบันยัง
มือใหญ่ทั้งสองข้างจับกระชับสะโพกอวบอัดของสาวรัสเซียผมบลอนด์ที่คลานเข่าอยู่บนขอบเตียงภายในห้องพักของโรงแรมหรูพลางเชิดใบหน้าหล่อคมคายขึ้นขบกรามเข้าหากันแน่น
"อึก!"
เรียวแขนบอบบางพยายามค้ำยันตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อทำหน้าที่รองรับแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ทำเอาเธอสั่นสะท้านไปทั่วทั้งเรือนร่าง
ขณะเดียวกัน เจ้าของนัยน์ตาสีเทอร์ควอยซ์คู่ลึกล้ำจับจ้องไปยังท่อนเอ็นแข็งขืนที่ผลุบเข้าออกยังจุดเชื่อมต่อฉ่ำแฉะพลางสะบัดฝ่ามือลงบนก้นงอนงามซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกิดรอยแดงเป็นปื้น
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน สายธารอุ่นร้อนก็ถูกปลดปล่อยพวยพุ่งลงสู่เกราะป้องกันทุกหยาดหยด แล้วถอดถอนออกมาจากช่องทางอุ่นร้อนพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างจากสีหน้าไร้อารมณ์
“ออกไปได้”
คาลิกซ์ มาเฟียอิตาลีวัยสามสิบแปดปีพาตัวเองมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำพลางดึงเกราะป้องกันทิ้งลงถังขยะทันทีที่หมดประโยชน์ ไม่ต่างจากหญิงสาวที่เขาเพิ่งเสพสุขเสร็จไปหมาดๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
หญิงสาวที่เสร็จจากการทำหน้าที่รองรับอารมณ์ความต้องการดิบเถื่อนของเขา ค่อยๆ ประคองตัวเองลุกออกจากเตียงกว้างโดยใช้มือข้างหนึ่งกุมท้องน้อยที่ยังคงเจ็บและจุกก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างทุลักทุเล
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเสร็จเรียบร้อยดี ประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยเรือนกายสูงใหญ่ของชายในชุดสูทสีดำซึ่งกำลังยื่นกล่องยากับน้ำหนึ่งขวดให้เธอ
“อะไรก็ตามที่ไม่ได้มาจากความต้องการของคุณคาลิกซ์ จะถูกกำจัดเสมือนว่าไม่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน”
เอริค บอดี้การ์ดคนสนิทของมาเฟียหนุ่มพูดเชิงข่มขู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะยืนมองอีกฝ่ายที่กำลังปฏิบัติตามคำสั่งของเขาอย่างไม่อิดออดแล้วจึงหลีกทางให้เธอเดินออกไปจากห้อง
ทางด้านของคาลิกซ์ที่ชะล้างทำความสะอาดร่างกายของตัวเองเสร็จก็ออกมาในชุดคลุมสีเทา เรือนผมของเขายังคงเปียกหมาดส่งผลให้ใบหน้าหล่อคมคายดูอ่อนลงกว่าอายุจริงอีกหลายปี
ร่างสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพลางเอื้อมมือหยิบซิการ์ออกจากกล่องไม้โอ๊คมาจุดสูบ รับควันของมันเข้าไปอมไว้ภายในปากพร้อมหลับตา ดื่มด่ำกับรสและกลิ่นอันซับซ้อนก่อนจะพ่นควันสีขาวบางเบาลอยตัวไปทั่วบริเวณ
ซิการ์เป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานรองจากการมีเซ็กซ์กับบรรดาสาวๆ เกือบทั่วโลกที่ต้องเดินทางไปทำงาน ถัดจากนั้นก็คงเป็นการได้ออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อเตรียมความพร้อมสู้รบกับศัตรูที่มีอยู่รอบด้าน
“เครื่องบินเจ็ทพร้อมแล้วครับนาย"
เสียงของลูกน้องคนสนิทที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีทำให้เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว
"ทำไมมันต้องไปจัดงานที่นั่นด้วยวะ"
"ตามประเพณีของทางนั้นครับ"
"คิดว่ากูโง่หรือไง"
"นายถาม ผมก็แค่ตอบ"
"มึงเป็นหุ่นยนต์หรือไง เอริค"
บทสนทนาของทั้งสองกำลังกล่าวถึงเพื่อนชายคนสนิทของมาเฟียหนุ่มที่บังเอิญไปพบรักกับสาวเอเชีย หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็ประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบซึ่งหากเขาไม่ไป มีหวังได้แตกหักกันอย่างแน่นอน
"บอกมันด้วย ว่าจะไปร่วมงานแค่ช่วงเย็นเท่านั้น แล้วจะบินกลับทันที"
"แต่เราต้องใช้เวลาเดินทางจากที่นี่ไปประเทศไทย ประมาณแปดถึงสิบชั่วโมงเลยนะครับซึ่งถ้าหากบินกลับไปอิตาลีทันทีก็ต้องใช้เวลาอีกสิบสองชั่วโมง"
"แล้วยังไง"
"คือเราต้องอยู่บนเครื่องบินรวมแล้ว ยี่สิบถึงยี่สิบสองชั่วโมงเลยนะครับ"
"มึงทำงานให้ใครกันแน่ โดนมันเป่าหูอะไรมาอีกล่ะ"
"เปล่านะครับ ผมแค่คิดว่าถ้าอยู่พักที่ไทยต่ออีกสองสามวันก็น่าจะดี"
"ถ้าอย่างนั้น แค่คิดก็พอ แล้วมึงไม่มีการมีงานทำหรือไง"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากธุรกิจที่เขาต้องรับช่วงต่อจากบิดาซึ่งวางมือไปแล้วนั้นต้องบอกว่าแทบล้นมือ แต่ยังโชคดีที่มีเอริคคอยช่วยจัดการในสิ่งที่พอจะทำได้
"หลังจากนี้มีเวลาว่างเกือบสัปดาห์เลยล่ะครับ"
"งั้นมึงก็อยู่ไป แต่กูจะกลับ" ตัดบทพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
"ทราบแล้วครับ กลับก็กลับ" ค้อมศีรษะให้ผู้เป็นเจ้านายแล้วเดินออกไปจากห้องทันที
หลังจากผ่านการเดินทางอันแสนยาวนาน เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวก็ร่อนลงจอดบนดาดฟ้าโรงแรมหรู ย่านใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย
แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายคล้อยกระทบแว่นกันแดดสีชาบนใบหน้าหล่อคมคายที่กำลังเดินนำหน้าบอดี้การ์ดกว่าสิบคนไปยังลิฟต์ที่จะพาลงสู่ห้องพักถัดจากนี้เพียงสองชั้น
ทุกจังหวะการก้าวของมาเฟียหนุ่มแฝงไปด้วยอำนาจและความสงบนิ่ง เสียงรองเท้าหนังขัดเงากระทบพื้นหินอ่อนของทางเดินอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อมาถึงมุมทางเดิน เขากลับหยุดชะงัก สายตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองไปยังต้นทางของเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่เสียงเดินปกติ แต่เป็นเสียงวิ่ง รวดเร็วและเร่งรีบ
เพียงเสี้ยววินาที ร่างของใครบางคนก็โผล่พรวดออกมาจากมุมทางเดินตรงหน้า ชนเข้ากับมาเฟียหนุ่มอย่างจัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แกร๊ก!
เสียงปืนกว่าสิบกระบอกดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะจ่อไปยังเด็กสาวร่างเล็กที่นั่งแหมะอยู่บนพื้นด้วยอาการตื่นกลัวจนเกือบจะสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยใบหน้าขึ้นมองคนที่เธอเดินชน เพราะเริ่มจะสติแตกลงไปทุกที
"ช่วย ได้โปรดช่วยฉันด้วย"
มาเฟียหนุ่มที่ค่อนข้างคุ้นชินกับภาษาไทยได้ยินอย่างนั้นถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่เขากลับเลือกที่จะไม่แยแสแล้วตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเข้าใจ
"ถ้าเธอไม่ใช่สาวไทย ฉันอาจจะลองคิดดูก็ได้" พูดจบทำท่าจะเบี่ยงตัวเดินจากไป
หมับ!
"ได้โปรดเถอะนะคะ ฉันขอแค่คีย์การ์ดพาตัวเองออกไปจากที่นี่ก็พอ"
มือเล็กทั้งสองข้างถือวิสาสะจับขาของเขาไว้พลางอ้อนวอนอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษตะกุกตะกัก การที่เธอจะออกไปจากชั้นนี้ได้ ไม่ว่าจะทางลิฟต์หรือประตูบันได นั่นหมายถึงต้องมีคีย์การ์ดสแกนเท่านั้น
แต่แล้วเด็กสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อรู้สึกได้ว่ากระบอกปืนกำลังจ่ออยู่ตรงขมับ จากกลุ่มคนที่เปรียบเสมือนความหวังเดียวของเธอ
แกร๊ก!
"ถ้าไม่อยากตายก็รีบเอามือสกปรกๆ ของเธอออกไป"
“ที่รัก ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับ”เขาเอ่ยปากถามทันทีที่เดินเข้ามาหยุดยืนภายในห้องนั่งเล่น แล้วเห็นข้าวของที่ฉันเพิ่งไปเลือกซื้อมาวางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ“ลดาซื้อพวกอาหารเสริมมาให้คุณค่ะ”“จะว่าผัวแก่ ไร้สมรรถภาพแล้วอย่างนั้นเหรอ” เขาหรี่ตามองฉันก่อนแกล้งทำเสียงดุ“เปล่านะคะ ลดาแค่อยากให้คุณสุขภาพดีก็เท่านั้น” ฉันหัวเราะเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าปฏิเสธในสิ่งที่เขากล่าวออกมา“จริงเหรอ”“แน่นอนค่ะ เพราะฉะนั้นอย่าลืมกินเด็ดขาด”“ที่รักก็ต้องเป็นคนจัดให้ผัวสิ ผัวจะได้ไม่ลืม” เขายกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ตามสไตล์“คุณนี่ก็…” ฉันหัวเราะแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบกล่องอาหารเสริมมาจัดใส่ตะกร้าแยกไว้ให้เป็นระเบียบเราสองคนแต่งงานกันมาแล้วสองปี…สองปีที่ผ่านมา ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องราวน่ารักและความสุขเสมอไป เพราะชีวิตแต่งงานนั้นมีอะไรให้เรียนรู้ยิ่งกว่านั้น ทั้งเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ และต้องยอมรับว่าค่อนข้างต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากด้วยแต่ท่ามกลางอุปสรรคและปัญหาเหล่านั้น…ก็ยังมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความห่วงใยเล็ก ๆ ที่ทำให้ทุกวันของฉันกับเขายังคงมีความหมายตอนนี้ฉันได้เข้าทำงานที่บริษัทยัก
“ลดาแต่งตัวไม่สวยถูกใจคุณเหรอคะ เห็นมองแบบนั้นตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้ว”ฉันฉีกยิ้มกว้างอย่างต้องการแกล้ง ขณะสายตาจับจ้องไปยังใบหน้าหล่อคมคาย ทว่าบูดบึ้งของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามซึ่งมีโต๊ะกั้นกลางระหว่างเรา“ฉันว่าคืนนี้อากาศมันค่อนข้างหนาว เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”เขาเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหยิบเสื้อสูทสีเทาเรียบหรูที่พาดอยู่บนเก้าอี้มาคลุมลงบนลาดไหล่เปลือยเปล่าของฉันราวกับต้องการสร้างความอบอุ่น“หนาวที่ไหนกันคะ อากาศกำลังดีเลย”ฉันหัวเราะเบา ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ดึงเสื้อคลุมออกอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะรู้ดีว่าการกระทำของเขากำลังบ่งบอกอะไร จึงอดที่จะหยอกล้อพร้อมระบายรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่ได้“หวงก็บอกว่าหวงสิคะ ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย”“...”คนปากแข็งเลือกที่จะเงียบเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับเหลือบไปมองบรรดาหนุ่ม ๆ ที่นั่งรวมกลุ่มรับประทานอาหารอยู่ไม่ไกลอีกครั้ง สีหน้ายังคงฉายชัดถึงความไม่พอใจ เมื่อเห็นสายตาหลายคู่มุ่งมองตรงมาที่ฉัน“ไม่หวงก็ไม่หวง...” ฉันแกล้งลากเสียงแล้วยักไหล่เบา ๆ เหมือนไม่ใส่ใจเช่นเดียวกัน"อืม”“ก็ดีค่ะ เพราะคุณบอกเองว่าให้ลดาแต่งตัว
สองปีต่อมา...แชะ แชะ แชะ!เสียงกดชัตเตอร์ดังรัวพร้อมแสงแฟลชที่สาดกระทบเข้ามาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โชคยังดีที่วันนี้ผมใส่แว่นกันแดดมาด้วย ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ตาลายกันพอดี“ทำอะไรของเธอเนี่ย”ผมถึงกับผงะพลางถามด้วยความงุนงง หลังจากคนตัวเล็กข้างกายประนมมือหันมากราบแนบอกของผมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว“ขอบคุณนะคะ ที่ส่งลดาเรียนจนจบ” พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ แววตากลมโตคู่นั้นเปล่งประกายอย่างคนซาบซึ้งใจจนปิดไม่มิดในตอนนั้นเองที่ผมเริ่มจับจ้องใบหน้าจิ้มลิ้มซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพิ่มความสวยโดดเด่นจนคนมองแทบละสายตาไม่ได้แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ปริปากพูดอะไร เธอก็เดินไปรับกรอบรูปยายมาจากเอริคแล้วยกขึ้นกอด จากนั้นจึงบอกช่างภาพด้วยน้ำเสียงสดใส“ถ่ายหลาย ๆ รูปเลยค่ะ”หลังจากได้ถ่ายรูปกับเธอแล้วก็ยาย ผมจึงเดินออกมาเพื่อให้ลดาเก็บภาพความทรงจำนั้นไว้ แสงแฟลชยังคงสาดวาบอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจของบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งบอกตามตรงเลยว่า ผมรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเธอ พอ ๆ กับที่เธอภาคภูมิใจในตัวเอง ผมเห็นทุกความพยายาม มุ่งมั่น ตั้งใจ มีวินัยและอดทนมาโดยตลอดถึงแม้อากา
“ไปพักผ่อนบ้างเถอะนะครับนาย” เอริคเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเห็นใจแกมขอร้องหลังจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไป คนที่ฟื้นขึ้นมาเป็นคนแรกอย่างเขากลับต้องต่อสู้กับความทรมานทางกาย รวมถึงบาดแผลลึกในใจที่ยากจะเยียวยา“จะให้ทำแบบนั้นได้ยังไง ถ้าเธอฟื้นขึ้นมาแล้วไม่เจอกูล่ะ”ริมฝีปากหยักพึมพำเสียงแผ่ว แต่แฝงไว้ด้วยความดื้อดึง ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในสภาพผู้ป่วย แถมตามร่างกายยังมีร่องรอยบาดแผลหลายแห่ง แต่กระนั้นกลับเลือกที่จะนั่งเฝ้าเธอไม่ยอมห่างมือของเขาเลื่อนกอบกุมมือบอบบางอย่างระมัดระวังพร้อมจับจ้องใบหน้าซีดเซียวด้วยความห่วงใยพอ ๆ กับกังวลใจ เพราะก่อนหน้านี้ หัวใจของหญิงสาวหยุดเต้นไปแล้วรอบหนึ่ง จึงต้องคอยเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ร่างกายของเธอยังคงไม่ตอบสนอง เพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง“ผมรู้ว่านายเป็นห่วงเธอ แต่อย่าลืมนะครับว่าร่างกายของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน”“...”“เดี๋ยวผมอยู่เฝ้าเอง แล้วถ้าเธอฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะรีบไปบอกนายทันที” พยายามโน้มน้าวอย่างไม่ยอมแพ้ แม้ลึก ๆ จะรู้อยู่เต็มอกว่าผู้เป็นเจ้า
“อีกหนึ่งความสุขของเธอ คือการได้กินของอร่อย ๆ สินะ”“แน่นอนค่ะ อาหารร้านนั้นอร่อยถูกปากลดามากเลย ไว้วันหลังเราไปกินกันอีกนะ”ทั้งสองนั่งรถออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่ย่านใจกลางเมืองกรุง ฯ หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมื้อค่ำสุดพิเศษ“ได้สิ” คาลิกซ์เอ่ยรับปาก พลางทอดสายตาไปยังถนนเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย“คุณรับปากแล้วนะคะ หวังว่าจะไม่ลืม”“ฉันไม่ได้ความจำสั้นเหมือนปลาทองเสียหน่อย”มาเฟียหนุ่มพูดติดตลกแล้วเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง แต่ก็พอที่จะเห็นรอยยิ้มกว้างอย่างคนมีความสุขบนใบหน้าจิ้มลิ้ม“น่ารักที่สุดเลยค่ะ” น้ำเสียงละมุนละไมเอ่ยปากออดอ้อนคาลิกซ์อดไม่ได้ที่จะเลื่อนไปจับมือน้อย ๆ ของคนข้างกายเอาไว้แล้วจุมพิตแผ่วเบา ขณะสายตายังคงจดจ้องอยู่กับถนนหนทางเพื่อความปลอดภัย“ปล่อยได้แล้วค่ะ” ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอาย ถึงแม้จะพยายามดึงมือกลับ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ“ขอฉันชื่นใจอีกหน่อย” สูดดมความหอมสดชื่นเฉพาะตัวเข้าปอดเต็มแรง ราวกับต้องการตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขนี้เอาไว้อย่างบอกไม่ถูกหญิงสาวจึงปล่อยให้มาเฟียหนุ่มทำตามใจต้องการโดยไม่อิดออด ตั้งแต่เธอทำใจและยอม
“วันนี้เธอเป็นยังไงบ้างครับ”มาเฟียหนุ่มหันไปถามแม่บ้านวัยกลางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาหยุดยืนภายในห้องนั่งเล่นพร้อมถาดของว่างยามบ่ายด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“ยังไม่ค่อยดีขึ้นเลยค่ะ” เมแกนลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ อดที่จะสงสารคุณหนูของเธอไม่ได้“ผมไม่คิดว่าเธอจะเป็นถึงขนาดนี้” ทั้งที่ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว แต่เธอยังคงเอาแต่นอนขลุกตัว จมจ่อมอยู่กับความเศร้าโศกและแทบไม่ย่างกรายออกจากห้องนอนของตัวเอง“คุณหนูรักเจ้าแอบิเกลมากเลยนะคะ นกตัวนั้นเข้ามาอยู่ที่นี่ไล่เลี่ยกันกับเธอ ซึ่งในช่วงแรกที่ยังปรับตัวไม่ได้ ก็มีเจ้าแอบิเกลนี่แหละค่ะ ที่ช่วยให้เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป”คาลิกซ์ฟังถ้อยคำเหล่านั้นจากปากของแม่บ้าน โดยไม่ปริปากพูดอะไร อีกทั้งยังนึกเห็นใจหญิงสาวที่เพิ่งสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวโปรดซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนคนหนึ่งของเธอยิ่งกว่าเดิมหลังจากเมแกนกล่าวจบก็ขอตัวไปจัดการงานในห้องครัวอย่างเช่นทุกวัน มาเฟียหนุ่มจึงหันไปหาลูกน้องคนสนิทที่นั่งอยู่ไม่ไกล“เรื่องเชฟเป็นยังไงบ้าง”“รอแค่ยืนยันวันที่จะเริ่มเรียนไปให้ทางนั้น ทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อยครับ”“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะให้ลดาเริ่มเรียนตั้งแต่วัน







