กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
“อืม…” เสียงครางต่ำในลำคอดังขึ้นเป็นระยะ เจ้าของเรือนกายกำยำซึ่งเต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อตึงแน่น ประดับด้วยรอยสักรูปมังกรพันรอบลำตัว ทว่าส่วนหัวของมันกลับเลือนหายลงสู่ใจกลางความเป็นชายที่กำลังกระหน่ำกระแทกกระทั้นอย่างไม่บันยะบันยัง
มือใหญ่ทั้งสองข้างจับกระชับสะโพกอวบอัดของสาวรัสเซียผมบลอนด์ที่คลานเข่าอยู่บนขอบเตียงภายในห้องพักของโรงแรมหรูพลางเชิดใบหน้าหล่อคมคายขึ้นขบกรามเข้าหากันแน่น
"อึก!"
เรียวแขนบอบบางพยายามค้ำยันตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อทำหน้าที่รองรับแรงอารมณ์ของอีกฝ่ายที่ทำเอาเธอสั่นสะท้านไปทั่วทั้งเรือนร่าง
ขณะเดียวกัน เจ้าของนัยน์ตาสีเทอร์ควอยซ์คู่ลึกล้ำจับจ้องไปยังท่อนเอ็นแข็งขืนที่ผลุบเข้าออกยังจุดเชื่อมต่อฉ่ำแฉะพลางสะบัดฝ่ามือลงบนก้นงอนงามซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเกิดรอยแดงเป็นปื้น
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน สายธารอุ่นร้อนก็ถูกปลดปล่อยพวยพุ่งลงสู่เกราะป้องกันทุกหยาดหยด แล้วถอดถอนออกมาจากช่องทางอุ่นร้อนพร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างจากสีหน้าไร้อารมณ์
“ออกไปได้”
คาลิกซ์ มาเฟียอิตาลีวัยสามสิบแปดปีพาตัวเองมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำพลางดึงเกราะป้องกันทิ้งลงถังขยะทันทีที่หมดประโยชน์ ไม่ต่างจากหญิงสาวที่เขาเพิ่งเสพสุขเสร็จไปหมาดๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
หญิงสาวที่เสร็จจากการทำหน้าที่รองรับอารมณ์ความต้องการดิบเถื่อนของเขา ค่อยๆ ประคองตัวเองลุกออกจากเตียงกว้างโดยใช้มือข้างหนึ่งกุมท้องน้อยที่ยังคงเจ็บและจุกก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมใส่อย่างทุลักทุเล
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเสร็จเรียบร้อยดี ประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยเรือนกายสูงใหญ่ของชายในชุดสูทสีดำซึ่งกำลังยื่นกล่องยากับน้ำหนึ่งขวดให้เธอ
“อะไรก็ตามที่ไม่ได้มาจากความต้องการของคุณคาลิกซ์ จะถูกกำจัดเสมือนว่าไม่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน”
เอริค บอดี้การ์ดคนสนิทของมาเฟียหนุ่มพูดเชิงข่มขู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ขณะยืนมองอีกฝ่ายที่กำลังปฏิบัติตามคำสั่งของเขาอย่างไม่อิดออดแล้วจึงหลีกทางให้เธอเดินออกไปจากห้อง
ทางด้านของคาลิกซ์ที่ชะล้างทำความสะอาดร่างกายของตัวเองเสร็จก็ออกมาในชุดคลุมสีเทา เรือนผมของเขายังคงเปียกหมาดส่งผลให้ใบหน้าหล่อคมคายดูอ่อนลงกว่าอายุจริงอีกหลายปี
ร่างสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพลางเอื้อมมือหยิบซิการ์ออกจากกล่องไม้โอ๊คมาจุดสูบ รับควันของมันเข้าไปอมไว้ภายในปากพร้อมหลับตา ดื่มด่ำกับรสและกลิ่นอันซับซ้อนก่อนจะพ่นควันสีขาวบางเบาลอยตัวไปทั่วบริเวณ
ซิการ์เป็นสิ่งที่เขาโปรดปรานรองจากการมีเซ็กซ์กับบรรดาสาวๆ เกือบทั่วโลกที่ต้องเดินทางไปทำงาน ถัดจากนั้นก็คงเป็นการได้ออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อเตรียมความพร้อมสู้รบกับศัตรูที่มีอยู่รอบด้าน
“เครื่องบินเจ็ทพร้อมแล้วครับนาย"
เสียงของลูกน้องคนสนิทที่อายุน้อยกว่าถึงสิบปีทำให้เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว
"ทำไมมันต้องไปจัดงานที่นั่นด้วยวะ"
"ตามประเพณีของทางนั้นครับ"
"คิดว่ากูโง่หรือไง"
"นายถาม ผมก็แค่ตอบ"
"มึงเป็นหุ่นยนต์หรือไง เอริค"
บทสนทนาของทั้งสองกำลังกล่าวถึงเพื่อนชายคนสนิทของมาเฟียหนุ่มที่บังเอิญไปพบรักกับสาวเอเชีย หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็ประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบซึ่งหากเขาไม่ไป มีหวังได้แตกหักกันอย่างแน่นอน
"บอกมันด้วย ว่าจะไปร่วมงานแค่ช่วงเย็นเท่านั้น แล้วจะบินกลับทันที"
"แต่เราต้องใช้เวลาเดินทางจากที่นี่ไปประเทศไทย ประมาณแปดถึงสิบชั่วโมงเลยนะครับซึ่งถ้าหากบินกลับไปอิตาลีทันทีก็ต้องใช้เวลาอีกสิบสองชั่วโมง"
"แล้วยังไง"
"คือเราต้องอยู่บนเครื่องบินรวมแล้ว ยี่สิบถึงยี่สิบสองชั่วโมงเลยนะครับ"
"มึงทำงานให้ใครกันแน่ โดนมันเป่าหูอะไรมาอีกล่ะ"
"เปล่านะครับ ผมแค่คิดว่าถ้าอยู่พักที่ไทยต่ออีกสองสามวันก็น่าจะดี"
"ถ้าอย่างนั้น แค่คิดก็พอ แล้วมึงไม่มีการมีงานทำหรือไง"
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากธุรกิจที่เขาต้องรับช่วงต่อจากบิดาซึ่งวางมือไปแล้วนั้นต้องบอกว่าแทบล้นมือ แต่ยังโชคดีที่มีเอริคคอยช่วยจัดการในสิ่งที่พอจะทำได้
"หลังจากนี้มีเวลาว่างเกือบสัปดาห์เลยล่ะครับ"
"งั้นมึงก็อยู่ไป แต่กูจะกลับ" ตัดบทพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
"ทราบแล้วครับ กลับก็กลับ" ค้อมศีรษะให้ผู้เป็นเจ้านายแล้วเดินออกไปจากห้องทันที
หลังจากผ่านการเดินทางอันแสนยาวนาน เครื่องบินเจ็ทส่วนตัวก็ร่อนลงจอดบนดาดฟ้าโรงแรมหรู ย่านใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย
แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายคล้อยกระทบแว่นกันแดดสีชาบนใบหน้าหล่อคมคายที่กำลังเดินนำหน้าบอดี้การ์ดกว่าสิบคนไปยังลิฟต์ที่จะพาลงสู่ห้องพักถัดจากนี้เพียงสองชั้น
ทุกจังหวะการก้าวของมาเฟียหนุ่มแฝงไปด้วยอำนาจและความสงบนิ่ง เสียงรองเท้าหนังขัดเงากระทบพื้นหินอ่อนของทางเดินอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อมาถึงมุมทางเดิน เขากลับหยุดชะงัก สายตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นเหลือบมองไปยังต้นทางของเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่เสียงเดินปกติ แต่เป็นเสียงวิ่ง รวดเร็วและเร่งรีบ
เพียงเสี้ยววินาที ร่างของใครบางคนก็โผล่พรวดออกมาจากมุมทางเดินตรงหน้า ชนเข้ากับมาเฟียหนุ่มอย่างจัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แกร๊ก!
เสียงปืนกว่าสิบกระบอกดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะจ่อไปยังเด็กสาวร่างเล็กที่นั่งแหมะอยู่บนพื้นด้วยอาการตื่นกลัวจนเกือบจะสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยใบหน้าขึ้นมองคนที่เธอเดินชน เพราะเริ่มจะสติแตกลงไปทุกที
"ช่วย ได้โปรดช่วยฉันด้วย"
มาเฟียหนุ่มที่ค่อนข้างคุ้นชินกับภาษาไทยได้ยินอย่างนั้นถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่เขากลับเลือกที่จะไม่แยแสแล้วตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะเข้าใจ
"ถ้าเธอไม่ใช่สาวไทย ฉันอาจจะลองคิดดูก็ได้" พูดจบทำท่าจะเบี่ยงตัวเดินจากไป
หมับ!
"ได้โปรดเถอะนะคะ ฉันขอแค่คีย์การ์ดพาตัวเองออกไปจากที่นี่ก็พอ"
มือเล็กทั้งสองข้างถือวิสาสะจับขาของเขาไว้พลางอ้อนวอนอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษตะกุกตะกัก การที่เธอจะออกไปจากชั้นนี้ได้ ไม่ว่าจะทางลิฟต์หรือประตูบันได นั่นหมายถึงต้องมีคีย์การ์ดสแกนเท่านั้น
แต่แล้วเด็กสาวก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อรู้สึกได้ว่ากระบอกปืนกำลังจ่ออยู่ตรงขมับ จากกลุ่มคนที่เปรียบเสมือนความหวังเดียวของเธอ
แกร๊ก!
"ถ้าไม่อยากตายก็รีบเอามือสกปรกๆ ของเธอออกไป"
"กลับมาแล้วค่า~" เสียงหวานเจื้อยแจ้วดังขึ้นทันทีที่เยื้องย่างเข้าไปในคฤหาสน์หลังโอ่อ่ากลิ่นหอมอ่อนๆ ของมวลดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามมุมต่างๆ ลอยตลบอบอวล ผสานอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ราวกับต้องการปลอบประโลมความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่หญิงสาวกำลังเผชิญ"กลับมาแล้วเหรอคะคุณหนู วันนี้ป้าเตรียมผลไม้ไว้ให้ด้วยนะคะ ได้มาจากตลาดสดเมื่อเช้านี้เลย"น้ำเสียงอบอุ่นดังแว่วมาจากห้องครัว ก่อนที่ร่างของ เมแกน แม่บ้านวัยกลางคน ชาวอิตาลีจะเดินออกมาพร้อมจานผลไม้ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มใจดีริมฝีปากของลดาแย้มยิ้มสดใสโดยหลงลืมไปชั่วขณะว่าใบหน้าและมุมปากมีบางอย่างที่ต้องปกปิด เธอวางกระเป๋าลงบนโซฟากลางพื้นที่นั่งเล่น ก่อนจะหันกลับมารับจานผลไม้จากแม่บ้าน"เมื่อไหร่ป้าเมแกนจะเลิกเรียกลดาว่าคุณหนูล่ะคะ"&nb
สองปีต่อมา...เพียะ!เสียงฝ่ามือกระทบแก้มนวลเนียนดังสนั่นทั่วบริเวณป้ายรถโดยสารประจำทาง ทำเอาเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มสะบัดไปตามแรงตบเหมือนภาพสโลว์โมชั่นพร้อมดวงตากลมโตที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ ความเจ็บแปลบและร้อนผ่าวค่อย ๆ แผ่ซ่านไปทั่วแก้มซีกนั้นสายตาของผู้คนรอบข้างหันมามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนกระซิบกระซาบกันเบา ๆ ขณะที่อีกหลายคนกำลังยืนดูด้วยความสนใจ"แกนี่มันร้ายจริง ๆ คิดจะแย่งแฟนคนอื่นเหรอ!" เสียงของรุ่นพี่ปีสี่ที่อยู่ในชุดนักศึกษา มหาวิทยาลัยชื่อดังเฉกเช่นเดียวกันกับอีกฝ่ายตวาดลั่นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจากแรงโทสะลดากะพริบตาถี่ ๆ ยกมือขึ้นกุมแก้มที่ยังรู้สึกชา หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะทั้งจากความเจ็บและความตกใจ"ฉัน...ไม่ได้ทำ"เสียงของเธอขาดหายไป เมื่อตระหนักได
"เธอเป็นตัวนำโชคของฉันจริงๆ" มาดามแพมเอ่ยพลางคลี่รอยยิ้มกว้าง ดวงตาทอประกายวาววับด้วยความพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด ขณะจ้องมองเด็กสาวที่เพิ่งถูกประมูลไปในราคาสูงลิบลิ่ว เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า"อีกสักพักลูกน้องของคนที่ประมูลเธอไปจะมารับ แล้วก็อย่าลืมทำตัวดีๆ กับคุณเขาล่ะ"ประโยคย้ำเตือนพวกนั้นยิ่งทำให้ลดารู้สึกหนักอึ้ง ราวกับเป็นตราประทับถึงความจริงอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว่าเธอถูกขายไปแล้ว...หลังจากนี้ ชะตากรรมของเด็กสาวขึ้นอยู่กับผู้ที่ได้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นเพียงค่ำคืนเดียวแล้วแยกย้ายจากกันไป หรือถูกเลี้ยงดูตราบนานเท่านานก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น"ไม่ว่าจะยังไงก็อย่าทอดทิ้งการเรียนเป็นอันขาด ยายคงกำลังเฝ้ามองความสำเร็จของเธอ"คำพูดของมาดามแพมดึงสติของลดากลับมาทันทีที่ได้ยินคำว่า ยาย ดวงตาของเธอเริ่มร้อนผ่าว ริมฝีปากเม้มแน่น พยายามกลืนก้อนสะอื้นที่กำลังก่อตัวลงไปในลำคอมาดามแพมเห็นท่าทีเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดเสียงเข้ม"ห้ามร้องไห้ เดี๋ยวหน้าตาก็ดูไม่ได้กันพอดี"เด็กสาวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สูดลมหายใจลึก พยายามระงับอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้ แต่ไม่อาจซ่อนความสั่นไหวในน้
“ถ้ากล้าสร้างเรื่องอีก ฉันไม่เอาเธอไว้แน่”มาดามแพมเอ่ยข่มขู่เด็กสาวด้วยสีหน้าจริงจัง แววตาคมกริบตวัดมองผ่านกระจกเงา ก่อนจะหันไปย้ำเตือนช่างแต่งหน้าสาวสองอีกครั้ง“เหลือเวลาอีกสิบห้านาที”“ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ มาดาม” ช่างแต่งหน้าปริปากตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นพร้อมขยับมือบรรจงทาลิปสติกสีระเรื่อบนเรียวปากกระจับสวยของเด็กสาวแม้หัวใจของลดาจะเต้นรัวแรงเพราะถ้อยคำข่มขู่ของมาดามแพม แต่เธอก็ทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตากรรมโดยการนั่งนิ่งๆ ปล่อยให้ช่างแต่งหน้าเติมแต่งทุกอย่างตามต้องการดวงตากลมโตวูบไหวอีกครั้ง ครั้นนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ หัวใจหนักอึ้งเมื่อคิดว่าความงามที่ถูกแต่งแต้มขึ้น ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง แต่เพื่อเป็นสินค้าให้กับใครบางคนที่พร้อมจะจ่ายในราคาสูงสุดเด็กสาวเริ่มขยับตัวเล็กน้อย รู้สึกถึงชุดเดรสผ้าซาตินที่แนบชิดผิวกายราวกับพันธนาการ เธออยากจะถอดมันทิ้ง อยากลบเครื่องสำอางทั้งหมดออกจากใบหน้า แต่ทำได้เพียงกำมือเข้าหากันแน่น พยายามระงับความหวาดหวั่นที่ก่อตัวขึ้นในอกมาดามแพมที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของเด็กสาวค่อยๆ โน้มตัวลงกระซิบน้ำเสียงเย็นยะเยือกกว่าเดิม“อย่าลืมสิ ว่าถ้า
ภายในห้องจัดเลี้ยงเพดานสูงโอ่อ่า ประดับประดาด้วยโคมไฟระย้าคริสตัลส่องประกายระยิบระยับดุจดวงดารา ดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมหวานฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง เสียงดนตรีคลาสสิกบรรเลงแผ่วเบา สร้างบรรยากาศอบอุ่นของงานร่างสูงที่สวมชุดสูทสีกรมท่าเรียบหรูเดินเข้ามาในท่วงท่าสง่าผ่าเผย สะกดแทบทุกสายตาให้หันมาสนใจ ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนสนิทของเขา"มาถึงก็ทำโรงแรมกูแปดเปื้อนเลยนะมึง"แพทริค มาเฟียตัวฉกาจจากอิตาลี เขาสนิทสนมกับคาลิกซ์มาอย่างยาวนานไม่ต่างจากรุ่นบิดาที่เป็นเพื่อนรักกันภาพลักษณ์เบื้องหน้า แพทริคเป็นเพียงนักธุรกิจชาวต่างชาติ เจ้าของโรงแรมหรูแห่งนี้ ที่แม้แต่เจ้าสาวอย่าง ชาลิสา ยังไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่แท้จริงซึ่งถูกเขาซุกซ่อนเอาไว้"เอริคไม่ได้บอกหรอกเหรอ ว่าเป็นของขวัญวันแต่งงานจากกู""ตีงูน่ะ ต้องตีให้ตาย ไม่อย่างนั้นมันจะมาแว้งกัดเราได้""มึงสั่งเก็บสองคนนั้น?""เป็นของขวัญแทนคำขอบคุณจากกู"แพทริคพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น สวะสองตัวที่กล้าฉุดพนักงานสาวของเขาไปทำอนาจารในห้องน้ำก็สมควรได้รับจุดจบเช่นนั้น"สมกับเป็นมึงจริงๆ ""...""แล้วนี่เมียมึงอยู่ไหน""จะถามหาเมียกูทำไม"
พอได้ยินเช่นนั้น ก็รีบชักมือกลับอย่างรวดเร็ว เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามือของเด็กสาวกะโปโลอย่างเธอที่ยังคงอยู่ในชุดเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขาสั้นตัวเมื่อวาน อาจทำให้กางเกงราคาแพงของอีกฝ่ายแปดเปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจแต่มาเฟียหนุ่มกลับเข้าใจไปว่าที่เธอยอมปล่อยมือเป็นเพราะเกรงกลัวคำขู่ของเขา จึงค่อยๆ ลดปืนลงแล้วเก็บกลับเข้าที่เดิม"นั่นไง มันอยู่ตรงนั้น!"เสียงตะโกนคุ้นหู ทำให้เด็กสาวรีบหันขวับไปมองและเห็นว่าลูกน้องสองคนของมาดามแพมกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางเธอแต่เมื่อทั้งสองเห็นกลุ่มชายชุดดำที่ยืนห้อมล้อมเธออยู่มีจำนวนมากกว่าก็ชะงักและลดความเร็วลง เปลี่ยนมาย่างกรายเข้าหาอย่างระมัดระวังพร้อมกับชักปืนออกมาถือในท่วงท่าเตรียมพร้อมเช่นเดียวกันลดารีบฉวยโอกาสในจังหวะที่คนสองกลุ่มกำลังจ้องจับผิดกันอย่างระแวดระวัง ลอบพาตัวเองเข้าไปในวงล้อมของฝ่ายที่มีจำนวนคนมากกว่า ถึงแม้จะไม่มั่นใจว่าอาจเป็นการหนีเสือปะจระเข้ก็ได้แต่เด็กสาวก็ขอยอมรับความเสี่ยง ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในมือของพวกที่กำลังจะพาเธอไปประมูล หรือท้ายที่สุดแล้วหากทุกอย่างแย่ลง ก็คงต้องยอมรับ ว่าชีวิตของเธออาจถูกลิขิตมาแบบนี้ก็ได้"ส่งนังนั่น