บทที่ 8 สัมผัสที่อุ่นใจ
“หลานเอ๋อร์...เจ้าลูกคนนี้...พูดจาอะไรเช่นนั้น” ฉู่อี้เหรินเอ่ยปรามออกมา ก่อนจะหันไปยิ้มอย่างขอโทษขอโพยให้หยางตงหยางอีกครั้ง “องค์ชายหยาง เจ้าอย่าถือสาหลานเอ๋อร์เลยนะ เด็กคนนี้โดนตามใจเสียจนเคยตัว ต่อไปคงต้องให้ท่านช่วยสั่งสอนนางแทนเสียหน่อยแล้ว”
“ท่านแม่...นี่ท่านว่าข้าหรือ...ท่านพ่อ...ท่านดูสิ เวลานี้ท่านแม่กลับเข้าข้างคนอื่นไปเสียแล้ว ท่านพ่อต้องช่วยลูกนะ” ฉู่อันหลานตัดพ้ออย่างแง่งอนออกมา พร้อมหันไปหาฉู่ม่อเย่อย่างต้องการหาพวก
หยางตงหยางได้แต่นั่งอมยิ้มโดยไม่ปริปากพูดสิ่งใดออกมา ความรู้สึกอบอุ่นของครอบครัวที่เขาไม่เคยได้พบพานทำให้บัดนี้หัวใจของเขาพองฟูขึ้นมาอย่างรู้สึกตื้นตัน
“หลานเอ๋อร์...เจ้าโตจนออกเรือนแล้ว...ฟังท่านแม่เจ้าเสียบ้างเถิด” ฉู่ม่อเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่คำกล่าวกลับโอนเอนไปยังฮูหยินของตนอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่อ...” ฉู่อันหลานพ้อออกมาเมื่อทั้งบิดาและมารดาต่างไม่เข้าข้างตนเอง นางจึงสะบัดหน้าหันไปจ้องมองหยางตงหยางตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ
หยางตงหยางสบตากับฉู่อันหลานจึงหัวเราะหึๆ ในลำคออีกครั้ง เขายกมือขึ้นคีบกับข้าวบนโต๊ะแล้ววางลงบนถ้วยของฉู่อันหลาน “เจ้าทานเถิด”
ฉู่อันหลานค้อนขวับใส่ชายหนุ่ม แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏที่มุมปากของเขาในชั่วแวบหนึ่ง นางเผลอกลืนน้ำลายลงคอ หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว ใบหน้าที่ปกตินั้นเรียบเฉยออกไปทางเคร่งขรึมอยู่ตลอดเวลา บัดนี้กลับปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ออกมา นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าที่ดูหล่อเหลากลับยิ่งมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลมากยิ่งขึ้นไปอีก
ฉู่อันหลานกระแอมออกมา พร้อมรีบเบือนหน้าหนี นางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานข้าวอย่างไม่ปริปากสิ่งใดอีก
หยางตงหยางก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มกว้างออกมา นี่สินะที่เรียกว่าครอบครัว สัมผัสที่แสนอุ่นใจเช่นนี้ทำให้เขาอดนึกอิจฉาฉู่อันหลานอย่างเสียมิได้ แต่เขาเองก็นึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เขาได้มีโอกาสสัมผัสกับมัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ก็ตาม
เวลาใกล้เที่ยง ฉู่อันหลานและหยางตงหยางก็เดินกลับเข้ามาภายในเรือน ฉู่อันหลานนั้นมีสีหน้าที่บึ้งตึงเล็กน้อย นางกระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้อย่างไม่พอใจนัก
ผิดกับหยางตงหยางที่แสดงสีหน้าสดใสและดูอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก “คุณหนูฉู่...ข้าอยากพาเจ้าไปที่แห่งหนึ่ง” หยางตงหยางกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่ดูมีเลศนัย
ฉู่อันหลานหรี่ตาลงเล็กน้อย “องค์ชายเช่นท่าน...มีที่แห่งใดที่จะพาข้าไปด้วยหรือ”
คำพูดเหน็บแนมดังกล่าวส่งผลให้หยางตงหยางถึงกับใบหน้าเคร่งขรึมลงไป เขาเบือนหน้าพร้อมกับกำมือแน่นด้วยความไม่พอใจ
ฉู่อันหลานชะงักค้างเมื่อตนเองได้พูดจาเกินเลยไปเสียแล้ว อันที่จริงน่าแค่นึกหมั่นไส้ชายหนุ่มเพียงเท่านั้น จึงเผลอพูดจาให้เขารู้สึกเจ็บแสบเสียหน่อย แต่ไม่คิดว่าคำพูดดังกล่าวจะไปสะกิดปมในใจของเขาเข้าให้อย่างจัง
“เอ่อ...เช่นนั้นพวกเราก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด...” ฉู่อันหลานตัดบทออกไป พร้อมสั่งให้หลงจูจัดเตรียมเสื้อผ้าให้พร้อม
หยางตงหยางยิ้มเยาะขึ้นมา เมื่อเห็นท่าทีโอนอ่อนของฉู่อันหลาน เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปด้านหลังฉากเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน
รถม้าแล่นเข้าไปภายในตลาด จนกระทั่งจอดสนิทอยู่ด้านหน้าสถานที่แห่งหนึ่ง “หออี้หรู”
ฉู่อันหลานเงยหน้าขึ้นมองด้านหน้าหออี้หรู ความสงสัยของนางก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ที่แห่งนี้มิใช่ร้านอาหารโดยทั่วไป หากแต่เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าขุนนางและคหบดี การที่หยางตงหยางจะพานางไปที่นี่ย่อมต้องมีเจตนาอื่นแอบแฝงเป็นแน่
หยางตงหยางไม่รอช้า เขาจูงมือฉู่อันหลานเดินเข้าไปด้านในทันที เขาพานางตรงไปยังห้องส่วนตัวด้านบนสุด ฉู่อันหลานเกร็งขืนอย่างระแวดระวัง ดวงตากลมโตจ้องมองชายหนุ่มด้านหน้าอย่างไม่วางตา แม้ว่านางจะเต็มไปด้วยข้อกังขามากมาย แต่เพราะความอยากรู้ทำให้นางยอมอ่อนข้อให้เขาอย่างมาก
“ท่านมีอะไรก็รีบว่ามาเถิด” ฉู่อันหลานโพล่งออกมาเมื่อทั้งสองเอาแต่นั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่
หยางตงหยางไม่ตอบในทันที เขายกถ้วยชาแตะริมฝีปาก ดวงตาจ้องมองกำแพงห้องด้านข้างอย่างเงียบงัน
จากนั้นเพียงครู่เดียว หยางตงหยางก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมดึงร่างของฉู่อันหลานอย่างถือวิสาสะ ร่างบางปลิวไปตามแรงดึง ก่อนจะแนบกายติดผนังด้านข้างที่คั่นระหว่างห้อง
“ท่านคิดจะทำสิ่งใด” ฉู่อันหลานโวยวายขึ้นมาอย่างตกใจ เมื่อสัมผัสดังกล่าวแนบชิดจนเกินงามไปเสียแล้ว นางพยายามผลักอกของเขาให้ออกห่างในทันที
หยางตงหยางจ้องมองดวงตาคู่งาม เขายกมือขึ้นปิดปากหญิงสาวเอาไว้ บัดนี้ใบหน้าของคนทั้งสองแนบชิดใกล้กันเพียงลมหายใจเป่ารด
“อย่าส่งเสียงดัง...”
ก่อนที่ฉู่อันหลานจะได้ขัดขืนต่อ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากอีกฝั่งห้องด้านข้าง
เสียงนั้นทำเอาฉู่อันหลานชะงักค้างไปในทันที เสียงทุ้มต่ำที่แสนจะคุ้นเคยกำลังหยอกเย้าอยู่กับสตรีนางหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด นางขยับกายออกห่างจากกำแพงอย่างต้องการชั่งใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฉู่อันหลานเบิกตากว้างพร้อมจ้องมองหยางตงหยางอย่างมีคำถาม สองมือกำแน่นด้วยความประหม่ากับสิ่งที่เขาพยายามแสดงให้นางได้รับรู้
“ท่านหมายความว่า...”
“หากคุณหนูฉู่ไม่กล้ารับความจริง...เช่นนั้นพวกเราก็กลับจวนกันเถิด” หยางตงหยางกระซิบแผ่วเบาที่ริมใบหูของนางอย่างยั่วยุ
“ใครว่าข้าไม่กล้า...ท่านเงียบปากไปเสียเถิด” ฉู่อันหลานที่โดนยั่วยุก็เกิดทิฐิขึ้นมา นางเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับแนบใบหูไปที่กำแพงกั้นนั่นอีกครั้ง
หยางตงหยางยกยิ้มขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับฉวยโอกาสแนบลำตัวเข้าหาร่างบาง โดยทำทีเป็นตั้งใจฟังเสียงจากห้องตรงข้ามเช่นกัน
ฉู่อันหลานที่กำลังจดจ่ออยู่กับห้องด้านข้างก็มิได้เฉลียวใจนัก บัดนี้สติและสมาธิของนางพุ่งตรงไปยังห้องด้านข้างไปจนสิ้นแล้ว
บทที่ 58 วันใหม่ ฤดูใบไม้ผลิที่แคว้นหนานกลับมาอีกครา กลีบดอกเหมยผลิบานสะพรั่งไปทั่วลานกว้างในสวนหลวง ทว่าครั้งนี้กลับอบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ หยางตงหยางเดินเคียงข้างมากับฉู่อันหลาน ฮองเฮาของเขา และหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในวังหลังแห่งนี้ แม้ว่าจะมีเสียงทัดทานมากมายที่ต้องการให้ชายหนุ่มรับสนมเข้ามาภายในวังหลังเพื่อเติมเต็มอำนาจและบารมีของฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับยืนกรานเสียงแข็งและมิยอมรับหญิงใดเข้ามาแม้แต่คนเดียว ร่างสูงใหญ่โอบประคองร่างระหงอย่างแนบแน่นและทะนุถนอม ทั้งสองเดินทอดน่องไปตามทางเดินในสวนหลวงอย่างเชื่องช้า ดื่มด่ำกับช่วงเวลาอันแสนสุขราวกับช่วงเวลาได้หยุดชะงักลงไป “หลานเอ๋อร์...” หยางตงหยางเอ่ยขึ้นพร้อมเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เหตุใดวันนี้เจ้าลูกดื้อทั้งสองถึงได้เงียบเชียบนัก มิเห็นวิ่งวุ่นสร้างเรื่องให้ข้าปวดหัวเหมือนเช่นเคย” ฉู่อันหลานหัวเราะเบาๆ พร้อมยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย โดยมิได้กล่าวสิ่งใด หากนางบอกออกไปมีหวังชายหนุ่มคงได้ควันออกหูอีกครั้งเป็นแน่ ณ ศาลาริมสระ หยางฟางซินและหยางซูเมิ่งน
บทที่ 57 ร่ำลา ข่าวการเสียชีวิตของฮองเฮาแห่งแคว้นเว่ยพร้อมกับบุตรทั้งสองถูกกระพือไปทั่วแคว้นไม่ต่างจากไฟลามทุ่ง ภายในวังหลวงของแคว้นเว่ย จัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เสวียนเฟยหลงในฉลองพระองค์สีขาวขลิบทองยืนอยู่ด้านหน้าโลงเปล่า ใบหน้าที่เรียบเฉยจ้องมองโลงเปล่านั้นด้วยแววตาเศร้าหมองคล้ายจะอาลัยอยู่ในที “ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขในหนทางที่เจ้าเลือก” ชายหนุ่มพึมพำออกมาราวกับกระซิบให้กับหญิงอันเป็นที่รักยิ่งเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากพิธีศพผ่านพ้นไปได้ไม่นาน เหล่าขุนนางต่างพากันยื่นฎีกาขึ้นมาหลายต่อหลายฉบับ...เรียกร้องให้เสวียนเฟยหลงแต่งตั้งฮองเฮาคนใหม่โดยเร็ว ด้วยเหตุผลที่ว่าแคว้นเว่ยต้องการผู้ปกครองที่เหมาะสมในวังหลังเพื่อให้บัลลังก์มั่นคงและเป็นปึกแผ่น และผู้ใดจะเหมาะสมไปกว่า "โม่ชิงโหล" สนมเฟยผู้เป็นที่โปรดปราน ธิดาของใต้เท้าโม่ซางเหวินไปได้ เสวียนเฟยหลงปรายตามองฎีกาเหล่านั้นด้วยใบหน้าที่เฉยชา ก่อนจะยกยิ้มมุมปากราวกับคนที่มีแผนการในใจ “เรียกตัวแม่ทัพหลี่มาเข้าเฝ้าเดี๋ยวนี้” แม่ทัพหลี่มาถึงในเวลาไม่ช้า พร้อมกับคุกเข่าลง “ฝ่าบาท...มีรับสั่งสิ่งใ
บทที่ 56 ถวิลหา หลังจากฉู่อันหลานพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งกลับเรือน นางก็อยู่กล่อมบุตรชายบุตรสาวจนกระทั่งพวกเขาเข้านอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจเดินตรงไปยังเรือนนอนของหยางตงหยางอีกครั้ง “เฮ้อ..เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจหนักดังถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉู่อันหลานถึงกับยกยิ้มขึ้นมาอย่างนึกขบขันและเห็นใจชายหนุ่มในเวลาเดียวกัน เวลานี้หยางตงหยางยังคงนอนเอนกายก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ สายตาเหม่อลอยจ้องมองไปยังเพดานอย่างไร้จุดหมาย หัวสมองของเขาเอาแต่ครุ่นคิดอย่างหนักกับความสัมพันธ์ของบุตรทั้งสอง แม้ว่าเวลานี้ระยะห่างระหว่างเขากับเด็กน้อยจะเขยิบเข้ามาใกล้อีกนิด แต่ก็ระยะห่างนั้นกลับช่างดูห่างไกลเสียเหลือเกิน ประตูไม้ถูกผลักเปิดออกแผ่วเบาตามด้วยร่างระหงของฉู่อันหลานที่ย่างกรายเข้ามาอย่างเชื่องช้า ดวงตาทอดมองไปยังหยางตงหยางพร้อมกับรอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้านวล หยางตงหยางสะดุ้งเฮือกสุดตัว พร้อมหยัดกายขึ้น ดวงตาของเขาเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง หกเดือนแล้วที่ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวตาละห้อย คำพูดน้อยครั้งทีเดียวที่นางจะยอมปริปากพูดคุยกับเ
บทที่ 55 เปิดใจ วันถัดมาหยางตงหยางออกไปเดินด้านนอกและเห็นเสวียนซูเมิ่งที่กำลังปลูกต้นไม้อยู่ตามลำพัง ดวงหน้าเล็กแต่กลับจิ้มลิ้มน่ารัก บัดนี้เปื้อนดินเปื้อนทรายเต็มไปหมด “เจ้าชอบดอกเหมยหรือ” หยางตงหยางเอ่ยถามขึ้นมาลอยๆ พร้อมหย่อนกายนั่งลงด้านข้าง เสวียนซูเมิ่งหันมองหน้าชายหนุ่มที่มารดาบอกว่าเป็นบิดาของตนอย่างนึกชั่งใจ แม้ว่านางจะมิได้รู้สึกรังเกียจอันใด แต่เมื่อพี่ชายไม่คิดจะยอมรับเขา เช่นนั้นนางเองก็ต้องทำตามเช่นกัน “เสด็จพ่อบอกว่าดอกเหมยแม้จะดูบอบบาง แต่กลับทนทานหิมะยิ่ง...ข้าก็อยากเป็นเช่นนั้น” หยางตงหยางยิ้มกริ่มออกมาอย่างใจชื้นเมื่อบุตรสาวตัวน้อยยอมพูดคุยกับเขาขึ้นมา “แล้วเจ้ารู้ไหมว่าตอนข้าอายุเท่าเจ้า...ข้าก็ปลูกดอกเหมยเช่นกัน...แต่ทว่ากลับไม่มีต้นใดรอดเสียเลย...นั่นเพราะว่าข้ารดน้ำให้มันมากเกินไป” เสวียนซูเมิ่งอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้เป็นบิดาของนางนั้นช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย “ข้าว่าเพราะท่านดูแลต้นเหมยไม่เป็นอย่างใดเล่า...ท่านมาช่วยข้าปลูกเสียสิ...รับรองต้นเหมยของท่านต้องงอกงามเป็นแน่” หยางตงหยางเ
บทที่ 54 พิสูจน์ตนเอง นับตั้งแต่สงครามสงบลง หยางตงหยางก็ย้ายมาปักหลักอยู่ที่แคว้นเว่ย ข้อตกลงหนึ่งปีที่เขาต้องพิสูจน์ตนเองให้ได้ตามสัญญา ชายหนุ่มพักอยู่ที่จวนร่วมกับฉู่อันหลานและบุตรทั้งสอง โดยฉู่อันหลานมิยอมให้เขาร่วมห้องกับตนเองเป็นอันขาด ทางด้านแคว้นหนาน หยางตงหยางที่วางรากฐานการปกครองอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นเรื่องปัญหาจุกจิกต่างๆ เขาจึงมอบหมายให้จางเซี่ยเหวิน ขุนนางผู้ภักดีเป็นผู้ตัดสินใจแทน จะมีก็เพียงเรื่องเร่งด่วนที่จางเซี่ยเหวินจะส่งม้าเร็วมามอบสารให้แก่เขาเป็นผู้ตัดสินใจ ในขณะที่ราชวังแคว้นเว่ย ข่าวลือเรื่องอาการเจ็บป่วยของฮองเฮาและบุตรทั้งสองแพร่กระจายไปทั่ว โรคประหลาดที่หมอหลวงทั้งหลายต่างจนปัญญาจะรักษาทำให้สามแม่ลูกต้องย้ายออกมาพำนักอยู่ที่ตำหนักนอกเมืองเพื่อหาวิธีรักษาตัว โดยมิให้ผู้ใดรบกวนเป็นอันขาด ในช่วงเย็นวันหนึ่งหยางตงหยางนั่งอยู่ที่ห้องอักษร สองมือกำพู่กันค้างอยู่เหนือแผ่นกระดาษ สายตาพยายามจับจ้องตัวอักษรตรงหน้า แต่สมาธิกลับมิได้จดจ่อแต่อย่างใด สุดท้ายเขาก็กระแทกพู่กันลงกับโต๊ะด้วยความหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์อย่างแรง ยิ่
บทที่ 53 หาข้อยุติ ฉู่อันหลานหลับตาลงอีกครั้งเมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองเริ่มตั้งท่าจะฟาดฟันกันอีกหน นางพยายามข่มกลั้นโทสะที่มีเอาไว้และรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับบุรุษทั้งสองที่ทำตัวราวกับเด็กอมมือก็ไม่ปาน “พวกท่านเมื่อไหร่จะพอเสียที” ฉู่อันหลานกล่าวคำหนักออกมาอีกครั้ง พร้อมกับจ้องหน้าคนทั้งสองอย่างต้องการเอาเรื่อง “พวกท่านต่างบอกว่ารักข้า...แต่สิ่งที่พวกท่านทำล้วนแล้วแต่เห็นข้าเป็นเพียงสิ่งของที่คิดจะแย่งชิงกันไปมา...นี่นะหรือสิ่งที่พวกท่านต่างกล่าวว่ารักข้า” หญิงสาวพูดพลางหันไปจ้องหน้าของเสวียนเฟยหลงและหยางตงหยางสลับกันไปมา พร้อมทอดสายตาที่เจ็บปวดและผิดหวังอย่างรุนแรง บุรุษทั้งสองได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความจนใจที่จะหาเหตุผลในการโต้เถียงนาง เมื่อทุกสิ่งที่หญิงสาวพ้อออกมานั้นล้วนแล้วแต่ถูกต้องทุกประการ เสวียนเฟยหลงเงยหน้าขึ้นทอดมองหญิงสาวตรงหน้าสายตาที่อ่อนโยนและจริงจังอีกครั้ง “แล้วเจ้าเล่า...เจ้าอยากอยู่ที่ใด” ฉู่อันหลานนิ่งเงียบไป ในขณะที่เสวียนเฟยหลงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกปลง “หลานเอ๋อร์...ตั้งแต่วันแรกที่ข้าขอเจ้าแต่งงานจนกระทั่งถึงวันนี้...ขอเ
บทที่ 52 เจรจา ฉู่อันหลานก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องโถงด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยวและมั่นคง หญิงสาวกวาดตามองไปยังบุรุษทั้งสองซึ่งยืนอยู่ในห้องด้วยแววตาที่ทั้งเฉียบคมและยากจะคาดเดา ก่อนที่สายตาของนางจะอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กทั้งสองที่วิ่งปรี่เข้ามาหานางอย่างรวดเร็ว “เสด็จแม่...พวกข้าคิดถึงท่าน” เด็กน้อยทั้งสองร้องออกมาพร้อมกัน น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้มด้วยความคิดถึงมารดาอย่างเต็มหัวใจ เสวียนฟางซินโผเข้ากอดขาข้างหนึ่งของนาง ขณะที่เสวียนซูเมิ่งก็เกาะขาอีกข้างหนึ่งแน่นไม่แพ้กัน ฉู่อันหลานคุกเข่าลงโอบกอดบุตรชายบุตรสาวเอาไว้แน่น ดวงตาที่เคยแข็งกร้าวในเมื่อครู่พลันแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและคิดถึง “แม่ก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน...พวกเจ้าสบายดีหรือไม่...มีใครรังแกพวกเจ้าหรือเปล่า” “ไม่เลย...ข้าทำตามที่เสด็จแม่บอกทุกอย่าง...ข้าปกป้องเมิ่งเอ๋อร์มิยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้แม้แต่น้อย” เสวียนฟางซินเงยหน้าขึ้นพร้อมยืดอกกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าก็ทำตามที่เสด็จแม่สั่ง...ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่มิได้เกเรแม้แต่น้อย” เสวียนซูเมิ่งกล่าวเอาความดีความชอบกับนางอย่างไม่น้อยหน้าเช
บทที่ 51 เผชิญหน้า “ท่านเป็นใครกัน...บังอาจยิ่งนัก...ปล่อยเสด็จพ่อของข้าเดี๋ยวนี้นะ” เสียงฝีเท้าวิ่งตึงๆ เข้ามาอย่างรีบร้อนพร้อมเสียงตะโกนของเด็กทั้งสองที่ดังก้องไปทั่วห้องโถง เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิงปรี่เข้ามาด้านในห้อง เด็กชายพุ่งตัวเข้ามาหยุดยืนด้านหน้าของเสวียนเฟยหลง พร้อมกับยกมือขึ้นขวางกั้นชายหนุ่มเอาไว้อย่างต้องการปกป้อง สายตาแข็งกร้าวจ้องมองหยางตงหยางอย่างไม่กะพริบตาหรือกลัวเกรงอันใด ในขณะที่เด็กหญิงกลับตรงเข้าไปโอบประคองเสวียนเฟยหลงที่นั่งอยู่กับพื้นเอาไว้แน่น ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอด้วยความเป็นห่วงสุดกำลัง “เสด็จพ่อ...ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” “พวกเจ้ามาที่นี่ได้เช่นใด...ข้าสั่งแล้วมิใช่หรือว่าให้รอที่จวนเจ้าเมือง...เหตุใดจึงกล้าขัดคำสั่งข้าเช่นนี้” เสียงของเสวียนเฟยหลงดังแทรกขึ้นมาทันควัน ชายหนุ่มรีบดึงบุตรทั้งสองเอาไว้แนบกายพร้อมกับเอ็ดตะโรออกมาด้วยความตื่นตระหนก เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่เสวียนฟางซินจะเป็นฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยว “พวกเราเป็นห่วงเสด็จพ่อ” เสวียนซูเมิ่งก็ตอบกลั
บทที่ 50 นัดพบ เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะอย่างเร่งรีบ ก่อนที่รถม้าจะหยุดลงด้านหน้าจวนเจ้าเมืองตงหลาน เสวียนเฟยหลงก้าวลงจากรถม้าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ดวงตาฉายแววความร้อนรุ่มที่อยู่ภายในใจ เสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่ง รีบตามลงมาติดๆ ดวงตาของเด็กทั้งคู่จับจ้องไปยังแนวค่ายอย่างตื่นเต้นและระแวดระวัง “ถวายพระพรฝ่าบาท” เจ้าเมืองตงหลานรีบเข้ามาคำนับชายหนุ่มด้วยความกระวนกระวายใจ “ฝ่าบาทเวลานี้เมืองตงหลานมิปลอดภัยนัก เหตุใดพระองค์จึงเสด็จมาโดยลำพัง” “ไม่ต้องมากพิธี...ข้ามาในครั้งนี้มิได้บอกผู้ใด เจ้าเองก็จงปิดปากเงียบเสีย” เสวียนเฟยหลงสั่งการเสียงเข้ม ก่อนจะเดินตรงไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อพาบุตรทั้งสองเข้าพักผ่อนจากการเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อย หลังจากพาเสวียนฟางซินและเสวียนซูเมิ่งเข้านอนจนเป็นที่เรียบร้อย เสวียนเฟยหลงก็กลับมายังเรือนพักของตน เขาหยิบพู่กันขึ้นมาพร้อมกับเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง ก่อนจะยื่นให้องครักษ์ประจำกาย “เจ้าจงนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งมอบให้หยางตงหยางด้วยมือของตนเอง” องครักษ์รับคำพร้อมกับเดินออกไปทำตามคำสั่งอย่างไม่ปริปากอันใด