แน่นอนว่าผ่านไปครู่ใหญ่สภาพของเจ้าบ่าวเช่นหยวนเค่อเจวี๋ยนั้นไม่น่ามองด้วยสภาพที่กลายเป็นเพียงผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ที่ถูกใช้คนใกล้หมดอายุ และบอบช้ำจนแทบจะคล้ายกับเศษเนื้อที่ถูกทุบจนแหลกเหลว ตบตีนางมาหนึ่งครั้ง จีเมี่ยวหลัวไม่ซ้อมจนเครื่องในทะลักออกมาทางปากก็นับว่านางไว้หน้าเว่ยกั๋วกงกับฉางตี้ฮ่องเต้ที่เป็นญาติผู้พี่ของไอ้ตัวบัดซบนี่มากแล้ว
"ไอ้คนบัดซบ วันเวลาของสตรีนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำเจ้าอย่าคิดล้อเล่น สามปีไม่ใช้แสนสั้น หากข้าไม่รั้งรอเจ้าป่านนี้คงแต่งงานมีลูกไปแล้ว ไอ้ตัวบัดซบไอ้คนสารเลว!"
หลังจากกระทืบคนจนสาแก่ใจจีเมี่ยวหลัวยังด่าไปอีกหลายประโยคก่อนจะหยุดมองภาพของสามีที่กำลังจะกลายเป็นอดีตด้วยใบหน้าเรียบเฉย ใจจริงอยากสังหารมันเสียด้วยซ้ำ แต่คนนี้ตายไปคงสบายเกินไปมันสมควรอยู่ชดใช้สิ่งที่ตนเองกระทำ ช่วงชิงวัยสาวสดใสของนางไปสามปี นางย่อมคิดบัญชีแค้นแน่
"เจ้า…เจ้ามัน…สตรี!…สตรี…เสียสติ เจ้ามันเป็นนางมารอำมหิต!"
หยวนเค่อเจวี๋ยถึงบาดเจ็บหนักช้ำในจนกระอักโลหิตสดๆ ออกมาหลายค่ำ หากกลับยังสามารถปากดีด่าทอจีเมี่ยวหลัวได้อีก หวู่โจวสาวกัดปากเล็กน้อยในใจของนางยิ่งเดือดดาลจึงคิดว่าจัดให้มันสักชุดคงดียิ่ง
ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!
"อั๊ก!"
พอคิดตกตัดสินใจแน่วแน่จีเมี่ยวหลัวจึงได้กระทืบลงไปที่ตรงต่ำกว่าท้องน้อยไปเล็กน้อยอย่างผู้เชี่ยวชาญของไอ้บุรุษต่ำช้าอีกหลายครั้งจนได้ยินเสียงโหยหวนออกมาส่งท้ายแล้วว่าจะหยุดเพียงเท่านั้น แต่คิดว่าสำหรับคนเช่นหยวนเค่อเจวี๋ยที่ซ้อมไปในคราวแรกนั้นคงสถานเบาเกินไป
มันจึงยังปากดีด่าทอนางออกมาได้อีก เห็นดังนั้นจีเมี่ยวหลัวเลยหันกลับไปกระทืบในส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตของบุรุษชนิดหลักแน่นและแม่นยำ หวังให้มันไม่อาจมีบุตรไปหมดตลอดนับจากนี้ไปเลยคงดี!
ผลัวะ! ผลัวะ! ผลัวะ!
"ใจเสาะเป็นปลาซิว บุรุษเช่นเจ้าขอลาขาด!"
พอหยวนเค่อเจวี๋ยหมดสติไปในคราวแรกจีเมี่ยวหลัวคิดจะจากไปเลย แต่สายตาดันเหลือบไปเห็นหนังสือสมรสที่ยังเผาไม่หมด แน่นอนนางย่อมจัดการมันจนสิ้น นางรับไม่ไหวจริงๆ มีอนุหรือจะแต่งอี้เหนียงนางยังพอจะฝืนทน แต่ถึงกับบีบบังคับให้นางรับบุตรของสตรีอื่นมาเป็นบุตรของตนเองตั้งแต่ยังไม่ทันได้ร่วมหอ มันเกินไป! หากนางยินยอมจีเมี่ยวหลัวคนนี้คงมีเขางอกยาวออกมาเป็นกระบือแล้วจริงๆ
สิบสามปีที่มารดาบิดารัก พี่ชายพี่สาวถนอมมาอย่างดี และหลังจากบิดาจากไปและพี่สาวกับพี่ชายจากไปอีกสามคนจนถึงวันนี้นางอายุสิบแปดปีนางคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่นอนหากยินยอมให้สามีดูหมิ่นศักดิ์ศรีเช่นนี้ อนาคตบุตรชายและหญิงที่จะเกิดมาจะเป็นเช่นไร หากนางยอมยกบุตรของสตรีอื่นมาเป็นบุตรของตนเอง แค่คิดนางก็รู้สึกผิดกับอนาคตบุตรที่จะเกิดมาแล้ว
"นี่เจ้าน่ะ"
พอเหลียวไปเห็นสตรีหนึ่งนางและเด็กชายทั้งสองที่กำลังกอดกันกลมร้องไห้อย่างน่าเวทนาพลันนั้นจีเมี่ยวหลัวก็คิดอันใดขึ้นมาได้ ดูแล้วจีเมี่ยวหลัวก็เห็นใจอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน นี่หรือไม่ที่เขาว่าสตรีโฉมงามมักอาภัพ เพราะหญิงสาวที่กำลังร้องไห้โฉมงามจนบุปผายังละอายหากพบหน้า
เฮ้อ!
เพราะนางงดงามเช่นนี้หยวนเค่อเจวี๋ยเลยยากจะตัดใจทอดทิ้ง นี่ขนาดคลอดบุตรออกมาถึงสองคนยังงดงาม ขนาดนางเป็นสตรีเห็นแล้วยังเคลิบเคลิ้มเจ้าคนชั่วที่หมดสติไปอาจตัดใจได้ก็ไม่แปลก
"ขอเตือนเจ้าในฐานะสตรีเพศเดียวกัน บุรุษเช่นไอ้ตัวบัดซบนี้เป็นสามีที่ดีให้ใครไม่ได้หรอก ยิ่งเป็นบิดาที่ดีข้ายิ่งมองไม่เห็นทาง ข้าแนะนำนะแม่นาง ทางที่ดีเจ้ากับลูก มองหาบุรุษอื่นเถอะ หรือไม่ก็จงยืนด้วยลำแข้งของตนเอง กำไลหยกคู่นี้กับปิ่นนี่คงขายได้หลายพันตำลึง ถือว่าเป็นน้ำใจจากข้าที่เป็นสตรีเหมือนกัน"
จีเมี่ยวหลัวเอ่ยเตือนได้เท่านี้จริงๆ พอเอ่ยจบนางจึงถอดกำไลหยกที่เป็นของหมั้นหมายพร้อมปลดเครื่องประดับที่ดูแล้วมีราคาสูงให้กับสามแม่ลูกไป หากมีตั๋วเงินนางคงจะให้เพิ่มทว่านางไม่มีจึงมอบให้ไปได้เท่านั้น แต่เท่านั้นหากสตรีนางนั้นเฉลียวฉลาดสักหน่อยนำไปต่อยอดก็คงเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองได้ไปหลายปีนางทำได้ดีที่สุดแค่นี้
สตรีเราหากหลงผิดแล้วกลับตัวทันมันไม่มีวันสายไปหรอก ยิ่งโฉมงามผู้นี้มีลูกถึงสองคน อนาคตหากยังยึดติดกับหยวนเค่อเจวี๋ยถึงนางไม่ใช่ซินแสแต่เป็นแค่หมอชันสูตรก็ยังทำนายอนาคตได้ว่าในยามจวนตัวไอ้คนชั่วมันก็จะทอดทิ้งสามแม่ลูกนี้ได้แน่นอน
"บุรุษเช่นหยวนเค่อเจวี๋ยมันยากจะวางใจ แต่ของพวกนี้หากพวกเจ้าสามแม่ลูกนำไปขายเป็นเงินรับรองเงินเหล่านั้นจะไม่มีวันทรยศพวกเจ้าแน่นอน ข้าคงช่วยพวกเจ้าได้เท่านี้แหละ ข้าขอให้แม่นางกับลูกๆ โชคดี"
หญิงงามกับเด็กทั้งสองมองจีเมี่ยวหลัวอย่างหวาดระแวง ก็แน่อยู่แล้วเมื่อครู่เจ้าสาวตัวอวบผู้นี้เพิ่งกระทืบเสียบุรุษตัวโตถึงกับหมดสติ ใครเล่าจะไม่หวาดระแวง
"รับไปสิ ข้าให้ด้วยใจ น่าเสียดายข้าไม่มีตั๋วเงินติดตัวมาด้วย สินเดิมก็น่าจะอยู่อีกที่ แต่เท่านี้ก็คงขายได้มากโขอยู่รู้จักกินรู้จักใช้พวกเจ้าสามแม่ลูกก็คงพออยู่พอกินไปอีกอย่างน้อยก็สองถึงสามปีเลยทีเดียว"
พอเห็นว่าจีเมี่ยวหลัวดูแล้วไม่ได้เกรี้ยวกราดเช่นครู่ก่อน สามแม่ลูกจึงยอมรับเอาของที่อีกฝ่ายมอบให้ ถึงนางจะไม่เฉลียวฉลาดนักแต่ที่สตรีตรงหน้ากล่าวมานางล้วนคล้อยตามไปแล้วเจ็ดส่วน
และบนศีรษะของจีเมี่ยวหลัวบัดนี้ประดับด้วยปิ่นทองสิบสองชิ้นครบตามธรรมเนียมของสตรีที่เตรียมตัวจะรับตำแหน่งฮองเพริศพริ้งฮาซึ่งบนศีรษะนอกจากปิ่นทองยังมีใบทับทิม ที่เหล่าฮูหยินจีกับซูหมัวมัวแซมเอาไว้ระหว่างปิ่นทองและเส้นผมที่ถูกเกล้างดงาม เรียกว่ากว่าจะเสร็จสิ้นจีเมี่ยวหลัวก็หนักไปหมดทั้งศีรษะและร่างกาย"งดงามมากเลยมากจริงๆ"ซูหมัวมัวพึมพำออกมาราวกับคนสติไม่ครบสมบูรณ์ อย่าว่าจะซูหมัวมัว แม้แต่นางกำนัลอาวุโสที่มาจากวังหลวงก็ยังตื่นตะลึงพอได้เห็นภาพของจีเมี่ยวหลัวหลังจากนางแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศของเจ้าสาวชั้นสูงเพื่อจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา"เมี่ยวเมี่ยวมาเถอะ พวกเราไปทำพิธีกัน"หลังจากแต่งการครบเครื่อง ก็ถึงเวลาไปกราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษในหอบรรพชนสกุลจี ซึ่งคนที่จะพาจีเมี่ยวหลัวทำพิธีดังกล่าวปกติต้องเป็นบิดา ทว่าบิดาของนางจากไปแล้ว ผู้ทำหน้าที่ผู้นำย่อมเป็นจีม่อชง เมื่อสามปีก่อน เขาเองก็เป็นทำหน้าที่นี้ แต่ในวันนั้นกับวันนี้ความรู้สึกของจีม่อชงและทุกคนในสกุลจีไม่เว้นแม้แต่จีเมี่ยวหลัวเองก็รู้สึกแตกต่างจากคราวนั้นไปไกลโขพอกราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษเสร็จแล้วจึงค่อยออกไปร่วมรับประท
ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ชาวเมืองเสียนหยางและเมืองรอบข้างที่สามารถจนท้องฟ้าของมหานครเสียนหยางนั้นเห็นแสงสว่างไสวของพลุและดอกไม้ไฟ ต่างกล่าวขานในเวลาออกไปในเวลาไม่ถึงสิบวันเรื่องที่ฉางตี้ฮองเต้จัดแจงทุกสิ่งเพื่อจะขอสตรีนางหนึ่งแต่งงานก็ดังไปทั่วดินแดนต้าเซี่ยและอาณาจักรใกล้เคียงรวมไปถึงชนเผ่าน้อยใหญ่และเป็นราตรีนั้นที่หยวนเค่อเจวี๋ยได้ทราบเช่นกันว่าเขาทำของดีหลุดมือไปแล้วจริงๆ สามปีแต่แรกเขายังคิดว่าตนเองจะสามารถหวนคืนกลับไปคืนดีและขอสตรีเช่นจีเมี่ยวหลัวแต่งงานได้อีกครั้งจนมาถึงราตรีดังกล่าวความจริงก็ตีแสกหน้าของหยวนเค่อเจวี๋ยว่าตลอดมาเขาหลอกตนเอง เขาหลอกตนเองว่าสุดท้ายจีเมี่ยวหลัวจะต้องหวนคืนมาอภัยให้เขาได้ แต่บัดนี้นางกำลังจะก้าวไปเป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ย แค่ฮูหยินเอกของบัณฑิตยากจนผู้หนึ่งจีเมี่ยวหลัวนั้นจะชายตาแลได้อย่างไร!ยิ่งผู้คนทั้งหลายต่างอยากเห็นสตรีผู้นั้นว่าจะโฉมงามสะท้านแผ่นดินเพียงใด แล้วยิ่งหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมากลับเป็นฝ่ายของฉางตี้ฮ่องเต้ก็ได้จัดการส่งพ่อสื่อไปเจรจาตกลงสิ้นสอดซึ่งก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นโม่กงกงหรือโม่อี้หวายญาติและขันทีคู่พระทัยของเขานั่นเ
"เราจะไปที่ใดกันเพคะ"วันนี้ฉางตี้ฮ่องเต้นัดแนะกับท่านหัวหน้าลิ่วจี แต่เขานั้นไม่ได้บอกว่าจะพานางไปที่ใดดังนั้นเมื่อขึ้นรถม้าแล้วจีเมี่ยวหลัวย่อมเอ่ยปากถาม ผ่านเหตุการณ์คดีค้าอวัยวะมนุษย์มาได้สามเดือนเศษแต่งานของทั้งซ่างกวนโทวและของจีเมี่ยวหลัวก็ยังมีมากจนล้นมือไม่เปลี่ยน ทว่าระหว่างนางกับเขาก็หาช่วงเวลาว่างตรงกันอยู่น้อยเจ็ดวันออกไปท่องเที่ยวด้วยกันหนึ่งครั้ง"หอชมเมือง"ผ่านมาจนถึงวันนี้ซ่างกวนโทวไม่อยากรออีกแล้วเขาจัดการเก็บกวาดจนวังหลังสะอาดสะอ้าน ราชสำนักเองเขาก็เข้มงวดกวดขันเอาขุนนางตรงฉินเป็นใหญ่เพื่อจะควบคุมขุนนางกังฉินไม่ให้เหิมเกริมได้แล้ว เนื่องจากการคิดจะกำจัดคนเลวออกไปจนสิ้นซากนั้นยากจะเป็นความจริงไปได้ ทุกคนมีส่วนดีและเลวทั้งสิ้นแต่การเลือกเอาความดีควบคุมความเลวอันนี้น่าจะเป็นจริงได้มากกว่าจึงถึงเวลาขอสตรีใจดวงใจแต่งงานเสียที เข้าใกล้จะสามสิบแล้วปีนี้ยี่สิบแปดอีกไม่กี่เดือนก็เต็มยี่สิบเก้าปี และเดือนก่อนทางซ่างกวนไท่ก็แจ้งข่าวดีมาแล้วว่าเจี่ยอวี้หลันเพิ่งตั้งครรภ์ ก็ถึงเวลาของเขาบ้างแล้ว เหน็ดเหนื่อยและยากเย็นจนผ่านมาร่วมแปดปี รวมไปถึงเขาเป็นมังกรเดียวดายมานานกว่าแปดปี
ส่วนซ่างกวนโทวนั้นกลับวังหลวงเพราะออกมาถึงสี่วันสี่คืนแล้ว เรียกว่าเขาแจกจ่ายงานแล้วก็กลับวังหลวงทันที เพราะเขาเองก็ยังมีงานอีกมากมายให้ต้องกลับไปจัดการสานต่อเช่นกันยิ่งเขาอยากแต่งภรรยามากเท่าใดก็ต้องรีบจัดการเก็บกวาดวังหลังให้สะอาดหมดจดเร็วเท่านั้น"ฝ่าบาท ฉวนซูเฟยมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"แค่อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมจะพักผ่อน โม่กงกงก็เข้ามารายงานว่าสตรีที่เขายังไม่ทันได้‘จัดการ’กำจัดออกไปก็เสนอหน้ามารบกวนกันเสียแล้ว"ไล่กลับไป ข้าจะพักผ่อน"อดนอนมาสี่วันสี่คืนความอดทนอดกลั้นของเขาไม่ได้มากเช่นในยามปกติ ขับไล่ไปจึงเป็นวิธีง่ายกว่าในยามนี้เขายังหาเหตุปลดสตรีสกุลฉวนออกไปได้ และที่เก็บเอาไม่ใช่รักใคร่หรือมีจิตพิศวาส ทว่าเพราะเขาทราบสตรีแซ่ฉวนทั้งสองไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งสตรีที่ยังเหลือภายในวังหลังก็ล้วนเป็นสตรีประเภทเดียวกับสตรีสกุลฉวนน้าสาวกับหลานสาวที่อายุใกล้เคียงกันนี้ก็ไม่ต่างกัน"ฝ่าบาทไม่ได้พลิกป้ายมาร่วมเดือนแล้วหากยังขับไล่นางไปอาจไม่ใช่เรื่องดี"โม่กงกงเตือน เพราะการพลิกป้ายนี้มันช่วยลดปัญหาวุ่นวายของสตรีวังหลังได้ ส่วนพลิกแล้วซ่างกวนโทวจะไปร่วมหลับนอนกับพวกนางหรือไม่ก็ล้วนเป็นตัวของ
เพล้ง! โครม!"บัดซบ!"บุรุษวัยราวสามสิบหกปีใบหน้าของเขาอดีตคงเคยเป็นคนใจดี ทว่าบัดนี้บิดเบี้ยวและดวงตาของเขานั้นกลับแดงก่ำไปด้วยเพลิงโทสะรุนแรงนัก"เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ข้ากำชับไปแล้วมิใช่หรือว่าให้ทำทุกสิ่งให้สะอาดและรอบคอบ"บุรุษอีกสามคนซึ่งดูแล้วอายุยังไม่เกินสามสิบต้นๆ ต่างเหลียวมองหน้ากันไปมาคล้ายกับจะเกี่ยงกันให้ตอบคำถามของบุรุษที่ดูแล้วมากไปด้วยอำนาจเพล้ง!"พวกเจ้าไม่มีปากกันหรือ ข้าถามเหตุใดจึงไม่ตอบ!"บุรุษผู้นั้นขว้างปาสิ่งใกล้มือเฉียดศีรษะของหนึ่งในสามจนทั้งหมดรับทรุดกายลงคุกเข่าเรือนกายสั่นสะท้าน"เอะอะอารมณ์เสียอันใดกันเล่าฝูเพ่ย"ชายสูงวัยอายุราวห้าสิบกว่าปีแต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดีบอกได้ว่าคนผู้นี้ฐานะไม่ธรรมดา ถามเอข้ามาก่อนจะปรากฏกายเสียอีก"ท่านพ่อไม่ทราบหรือ เกิดเรื่องขึ้นมาแล้วครั้งนี้ฝ่าบาทถึงกับลงมาคุมกันสืบสวนเอง" เจ้าของนามฝูเพ่ยกล่าวกับบิดาด้วยใบหน้าดคล้ำ"เจ้าจะร้อนใจไปไย อย่าลืมทั้งน้องสาวและน้าสาวของเจ้าบัดนี้เป็นพระสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุด ผู้อื่นถูกปลดถูกประทานออกไปจนเกือบหมดแต่น้าสาวกับน้องสาวของเจ้ากลับยังอยู่ดีมีสุขเช่นนี้เ
หลังจากขุดศพที่สภาพยังพอจะตรวจสอบได้ ขึ้นมาแล้ว ศพทั้งหมดจึงถูกซ่างกวนโทวกำชับให้คุ้มกันและส่งไปที่ ห้องรักษาศพที่ศาลต้าหลี่"หย่วนโจวถวายพระพรฝ่าบาท...""ลุกขึ้นเถอะไม่ต้องมากพิธี"ยังไม่ทันได้ออกจากสุสานไร้ญาติ จีหย่วนโจวกับคนของพยัคฆ์ทมิฬกว่าสามสิบชีวิต ก็มาถึงเพราะเฉินซั่วนั้นส่งสัญญาณไปแจ้งกับเขาว่าบัดนี้ฉางตี้ฮ่องเต้เสด็จออกมานอกวังหลวง ซ่างกวนโทวไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะสนใจพิธี อันใดทั้งสิ้นเขารีบยกมือห้ามเอ่ยปากไปด้วย"ฝ่าบาทจะเสด็จกลับวังเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"กว่าจะขุดศพขึ้นมาจนถึงยามนี้ก็เลยยามจื่อนานแล้ว และยังไม่ทันที่ซ่างกวนโทวนั้นจะตอบของจีหย่วนโจวใต้เท้าเหอท่านเจ้ากรมอาญากับรองทั้งสองก็มาถึงแล้วเช่นกัน มองดูวุ่นวายใช่น้อย"ไสหัวกลับไป!"เรื่องงานไม่เอาไหน แต่เรื่องเอาหน้าเช่นนี้กลับเสนอหน้าโผล่หัวกันมาว่องไวนัก ซ่างกวนโทวแสนจะชิงชังขุนนางเช่นนี้เหลือเกิน ทว่าจนใจที่ยังกำจัดพวกนี้ออกไปได้ไม่หมดดังใจต้องการเสียทีเดียวรอก่อนเถอะ ให้เขาปลุกปั้นขุนนางรุ่นใหม่ขึ้นมาได้มากพอตาเฒ่าพวกนี้ได้กลับบ้านเก่าแน่!ถึงตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเขาจะกำจัดแทบเรียกได้ว่ากวาดล้าง ทว่าก็ยังไม่สิ้นไปจากร