"ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ"
นางกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักแต่แววตานั้นดูแล้วนางขอบคุณจากใจจริง สตรีเราไม่ใช่ชีวิตนั้นยิ่งสตรีที่รูปโฉมงดงามแต่มีครอบครัวยากจนหรือมีบิดามารดาที่เห็นแก่ตัว
"หรือหากเจ้ากับลูกวันหน้าเกิดลำบาก ก็นำป้ายหยกนี้ไปที่จวนจีไท่เว่ยหากไม่พบข้าก็ขอพบเหล่าฮูหยินจี ท่านแม่ของข้าไม่ใช่คนใจดำ"
กล่าวจบจีเมี่ยวหลัวก็หันหลังจากมาทันทีร่างอวบอั๋นถึงจะมีน้ำหนักมาก ทว่าในยามที่ปีนหน้าต่างห้องหอนั้นกลับว่องไวนัก ไม่นานเสียงคนทั้งจวนเว่ยกั๋วกงก็แตกตื่น แต่จีเมี่ยวหลัวไม่สน คิดแค่จะกลับจวนสกุลจีไปหาพี่ชายคนโตเท่านั้น
ในเมื่อออกจากประตูดูแล้วจะยาก เจ้าสาวตัวกลมจึงได้แต่หันไปปีนกำแพงหลบหนีเท่านั้น ซ้อมเจ้าบ่าวไปขนาดนั้นนางรั้งอยู่ไม่ได้แล้ว ขอกลับจวนสกุลจีไปตั้งหลักก่อนย่อมปลอดภัยกว่า ยิ่งคิดว่าบัดนี้พี่ชายคนโตกับมารดาคงกลับถึงจวนจีไท่เว่ยไปนานแล้วนางยิ่งรอช้าไม่ได้ จวนเว่ยกั๋วกงนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นถึงท่านน้าชายของฉางตี้ฮ่องเต้ ตีสุนัขย่อมต้องดูเจ้าของ แต่มันโกรธจนหน้ามีตีไปแล้วจึงค่อยได้สติ
หึ! แต่ก็แค่ตีสุนัขมิใช่หรือไร?
ถึงเจ้าของจะเป็นปีศาจดำคนโกรธจนหน้ามืดย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว จีเมี่ยวหลัวคิดถึงสาวใช้อยู่เหมือนกันแต่เวลาไม่รอท่าต้องหนีไปขอกำลังเสริมก่อน คนของนาง จีเมี่ยวหลัวไม่ทอดทิ้งแน่นอนเดี๋ยวค่อยพากำลังเสริมมาช่วยก็แล้วกัน
"เจ้าสาวหลบหนีไปแล้วเร็วเข้า!"
เสียงเอะอะดังตามติด กำแพงจวนเว่ยกั๋วกงนี้ไม่ใช่ต่ำ ลังเลอยู่อึดใจจีเมี่ยวหลัวจึงตัดสินใจกระโดด ตายเป็นตาย ให้รั้งอยู่เป็นภรรยาบุรุษต่ำช้านางยอมตายเสียยังดีกว่า
ประจวบเหมาะกับที่มีรถม้าคันหนึ่งเลี้ยวมาพ้นหัวโค้งพอดี จีเมี่ยวหลัวจึงคิดว่าตนเองจะกระโดดลงไปให้ตรงกับรถม้าอย่างน้อยถึงบาดเจ็บย่อมไม่สาหัส หลังจากตัดสินใจได้ดังนั้นนางจึงคำนวณระยะของรถม้ากับกำแพง
โครม!
แต่คงเพราะนางลืมคำนวณน้ำหนักของตนเอง พอกระโดดลงไปแทนที่จะกลิ้งลงจากหลังคา ร่างอวบอั๋นจึงทะลุหลังคาลงไปนอนจุกเสียดหน้าเขียวบนพื้นรถม้าแทน
เหตุใดสิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นจึงได้ห่างไกลกันเช่นนี้เล่า?!
ในใจของจีเมี่ยวหลัวพลันคร่ำครวญเช่นนั้น เพราะมิอาจกล่าวอันใดได้ จุกเสียดจนน้ำตาไหลใครยังจะเอ่ยคำใดออกมาได้อีก
ขวับ! ขวับ!
ดาบเล่มโตถูกพุ่งมาหา จีเมี่ยวหลัวจะขยับหนีย่อมยากยิ่ง จุกเสียดจนไร้เรี่ยวแรงที่จะพูดสักคำ เช่นนี้แล้วจะคิดหลบหนีย่อมยากเย็น โชคดีบุรุษที่นางตกลงมาอยู่ปลายเท้าของเขายังเมตตาร้องห้ามเอาไว้
จีเมี่ยวหลัวนั้นคิดจะขอบคุณเขาสักประโยค แต่พอเงยหน้าขึ้นไปมองสบตา พลันนั้น น้ำตาเม็ดโตก็ไหลออกมาทางหางตาหลายหยด
ซาบซึ้งหรือ? ...
ซาบซึ้งก็เสียสติแล้วจีเมี่ยวหลัว! ใครจะคิดเพิ่งตีสุนัขไปเสียสาหัส สุดท้ายนางจะโชคร้าย กระโดดกำแพงมาพบกับเจ้าของสุนัขโดยไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเช่นนี้
ใช่แล้ว มิผิด...
นางกระโดดลงมาตกดังโครมใหญ่ในรถม้าของฉางตี้ฮ่องเต้ ฉางตี้ฮ่องเต้ที่เป็นญาติผู้พี่ของหยวนเค่อเจวี๋ยผู้นั้นนั่นแหละ ซวยมาก ซวยบัดซบ ซวยไม่เคารพสวรรค์
คาดว่าครั้งนี้จะเป็นคราวเคราะห์หนักของนางแล้ว จีเมี่ยวหลัวคิดว่าวันนี้ตนเองคงจะใช้แต้มบาปไปจนหมดแล้วเป็นแน่ คิดในแง่ดี'เอาไว้นะเมี่ยวเมี่ยว'หวู่โจวตัวอวบพยายามรวบรวมสติหลังมันปลิวหายไปเมื่อพบว่าตนเองหล่นโครมลงมานอนแน่นิ่งอยู่ปลายเท้าของปีศาจดำแห่งต้าเซี่ยที่ผู้คนหวาดหวั่น
เรียวปากจิ้มลิ้มพยายามที่จะเปิดยิ้มออกไปเป็นทัพหน้า แต่ด้วยยังจุกเสียดจึงเป็นยิ้มที่ออกจะบิดเบี้ยวไม่น่ามองเอาเสียเลย
เอาเถอะ!
ในเมื่อพบแล้วก็นับว่านางกับปีศาจดำมีวาสนาต่อกัน แต่วาสนาแน่หรือ ช่างเถิดจะเป็นวาสนานำพาหรือกรรมเก่ามาทักทายจีเมี่ยวหลัวผู้นี้มิอาจรอช้าได้ เนื่องจากเสียงคนของจวนเว่ยกั๋วกงเอ็ดอึงใกล้เข้ามาแล้ว
"ไม่ต้องหาแล้ว เจ้าสาวอยู่ที่นี่"
เสียงห้าวดังขึ้น สติที่ยังไม่มั่นคงของจีเมี่ยวหลัวจึงค่อยสงบนิ่ง ศักดิ์ศรีอันใดช่างมันก่อน ร่างอวบพุ่งตรงไปกอดแข้งขาของปีศาจดำราวกับว่านางพบเจอพ่อพระ
"ฝ่าบาท ช่วยเมี่ยวหลัวด้วยเพคะ ช่วยเมี่ยวหลัวด้วย"
บีบน้ำตาไปพลางร้องขอความช่วยเหลือไปพลาง เรื่องเช่นนี้น้องเล็กเช่นจีเมี่ยวหลัวย่อมชำนาญยิ่ง ศักดิ์ศรีนั้นสำคัญแต่การเอาชีวิตรอดจากปลายดาบขององครักษ์มากฝีมือที่คุ้มกันฉางตี้ฮ่องเต้สำคัญกว่า
"คุณหนูลิ่วจีลงมาเถิดเจ้าค่ะ" เสี่ยวม่านซึ่งเป็นสาวใช้ที่ติดตามมาจากจวนจีไท่เว่ยตะโกนเรียกอยู่ด้านข้างรถม้าคันโต เพราะมิอาจเข้ามาใกล้ได้มากกว่านั้น ปลายดาบขององครักษ์นับได้ครึ่งร้อยปกป้องอยู่ใครมันจะกล้าฝ่าเข้ามาได้
"ไม่! เจ้าเร่งไปตามพี่ใหญ่กับท่านแม่ของข้ามา บอกพวกเขาว่าน้องหกเกิดเรื่องแล้ว"
จีเมี่ยวหลัวตะโกนบอกกับเสี่ยวม่านออกไป คนที่จะปกป้องนางได้มีเพียงจีไท่เว่ย เท่านั้น เสี่ยวม่านลังเลแต่ดูแล้วสถานการณ์คับขัน นางจึงรีบไปทำตามคำสั่งผู้เป็นนายสาวทันที
"คุณหนูลิ่วจีปล่อยมือออกจากขาของเจิ้นก่อนดีหรือไม่" ปีศาจดำก้มหน้าลงมากล่าวกับนางด้วยสีหน้าสงบ น้ำเสียงนั้นจับอารมณ์มิได้ว่าเขาโกรธหรือคิดสิ่งใด
"ฝ่าบาทสัญญามาก่อนเพคะ"
ตายเป็นตาย เช่นไรวันนี้นางจะต้องล้มเลิกพิธีแต่งงานให้จงได้ ไหนๆ นางก็ดวงซวยแล้ว คงไม่ซวยซ้ำซ้อนไปมากกว่านี้เป็นแน่ ในเมื่อปีศาจดำตรงหน้าของนางคือพยานในพิธีสมรส ดังนั้นก็ให้เขาเป็นช่วยนางทวงความเป็นธรรมเสียเลยก็แล้วกัน
"สัญญาอันใด"
ใครจะคาด ปีศาจดำกลับเอ่ยถามนางด้วยแววตาสนุกสนาน เช่นนี้ก็เข้าทางนางแล้ว จีเมี่ยวหลัวแอบลอบยิ้มย่องอยู่ภายในใจส่วนภายนอกนั้นยังบีบน้ำตาแสร้งอ่อนแอ
"สัญญาว่าฝ่าบาทจะช่วยเป็นพยานให้เมี่ยวหลัวหย่าขาดจากไอ้ตัวบัดซบเพคะ!"
ใครจะคาดปีศาจดำก็มีสีหน้าตกใจเป็นเช่นกัน แต่เพียงวูบเดียวมันก็จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
"คุณหนูลิ่วจีเพิ่งแต่งงานยังไม่ทันเข้าหอแต่เจ้ากลับจะหย่าขาด คงมีเหตุผลที่ดีกระมัง"
"แน่นอนเพคะ"
"ได้! เจิ้นรับปาก"
ท่านแม่ตลอดมาสั่งสอนให้จีเมี่ยวหลัวสวดมนต์ขอพรแต่กับสวรรค์และพระโพธิสัตว์ แต่วันนี้ เวลานี้ หลังจากฉางตี้ฮ่องเต้รับปากตนเอง จีเมี่ยวหลัวก็พลันคิดได้ ต่อไปนางจะเลิกนับถือสิ่งที่มารดาสั่งสอน
ข้าจะขอนับถือปีศาจ! โดยเฉพาะปีศาจดำเช่นซ่างกวนโทว
นางขอย้ายฝ่ายไปอยู่ข้างเดียวกับเผ่าจอมมาร ไม่นับถือแล้วสวรรค์เทพเซียนเหล่านั้นหรือแม้แต่พระโพธิสัตว์นางก็จะเลิกไปให้หมด เพราะในยามคับขันที่ช่วยนางได้คือปีศาจดำผู้เดียว!
และบนศีรษะของจีเมี่ยวหลัวบัดนี้ประดับด้วยปิ่นทองสิบสองชิ้นครบตามธรรมเนียมของสตรีที่เตรียมตัวจะรับตำแหน่งฮองเพริศพริ้งฮาซึ่งบนศีรษะนอกจากปิ่นทองยังมีใบทับทิม ที่เหล่าฮูหยินจีกับซูหมัวมัวแซมเอาไว้ระหว่างปิ่นทองและเส้นผมที่ถูกเกล้างดงาม เรียกว่ากว่าจะเสร็จสิ้นจีเมี่ยวหลัวก็หนักไปหมดทั้งศีรษะและร่างกาย"งดงามมากเลยมากจริงๆ"ซูหมัวมัวพึมพำออกมาราวกับคนสติไม่ครบสมบูรณ์ อย่าว่าจะซูหมัวมัว แม้แต่นางกำนัลอาวุโสที่มาจากวังหลวงก็ยังตื่นตะลึงพอได้เห็นภาพของจีเมี่ยวหลัวหลังจากนางแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศของเจ้าสาวชั้นสูงเพื่อจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งฮองเฮา"เมี่ยวเมี่ยวมาเถอะ พวกเราไปทำพิธีกัน"หลังจากแต่งการครบเครื่อง ก็ถึงเวลาไปกราบไหว้ฟ้าดิน กราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษในหอบรรพชนสกุลจี ซึ่งคนที่จะพาจีเมี่ยวหลัวทำพิธีดังกล่าวปกติต้องเป็นบิดา ทว่าบิดาของนางจากไปแล้ว ผู้ทำหน้าที่ผู้นำย่อมเป็นจีม่อชง เมื่อสามปีก่อน เขาเองก็เป็นทำหน้าที่นี้ แต่ในวันนั้นกับวันนี้ความรู้สึกของจีม่อชงและทุกคนในสกุลจีไม่เว้นแม้แต่จีเมี่ยวหลัวเองก็รู้สึกแตกต่างจากคราวนั้นไปไกลโขพอกราบไหว้ป้ายบรรพบุรุษเสร็จแล้วจึงค่อยออกไปร่วมรับประท
ค่ำคืนนั้นเป็นค่ำคืนที่ชาวเมืองเสียนหยางและเมืองรอบข้างที่สามารถจนท้องฟ้าของมหานครเสียนหยางนั้นเห็นแสงสว่างไสวของพลุและดอกไม้ไฟ ต่างกล่าวขานในเวลาออกไปในเวลาไม่ถึงสิบวันเรื่องที่ฉางตี้ฮองเต้จัดแจงทุกสิ่งเพื่อจะขอสตรีนางหนึ่งแต่งงานก็ดังไปทั่วดินแดนต้าเซี่ยและอาณาจักรใกล้เคียงรวมไปถึงชนเผ่าน้อยใหญ่และเป็นราตรีนั้นที่หยวนเค่อเจวี๋ยได้ทราบเช่นกันว่าเขาทำของดีหลุดมือไปแล้วจริงๆ สามปีแต่แรกเขายังคิดว่าตนเองจะสามารถหวนคืนกลับไปคืนดีและขอสตรีเช่นจีเมี่ยวหลัวแต่งงานได้อีกครั้งจนมาถึงราตรีดังกล่าวความจริงก็ตีแสกหน้าของหยวนเค่อเจวี๋ยว่าตลอดมาเขาหลอกตนเอง เขาหลอกตนเองว่าสุดท้ายจีเมี่ยวหลัวจะต้องหวนคืนมาอภัยให้เขาได้ แต่บัดนี้นางกำลังจะก้าวไปเป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ย แค่ฮูหยินเอกของบัณฑิตยากจนผู้หนึ่งจีเมี่ยวหลัวนั้นจะชายตาแลได้อย่างไร!ยิ่งผู้คนทั้งหลายต่างอยากเห็นสตรีผู้นั้นว่าจะโฉมงามสะท้านแผ่นดินเพียงใด แล้วยิ่งหลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนต่อมากลับเป็นฝ่ายของฉางตี้ฮ่องเต้ก็ได้จัดการส่งพ่อสื่อไปเจรจาตกลงสิ้นสอดซึ่งก็มิใช่ใครอื่นหากแต่เป็นโม่กงกงหรือโม่อี้หวายญาติและขันทีคู่พระทัยของเขานั่นเ
"เราจะไปที่ใดกันเพคะ"วันนี้ฉางตี้ฮ่องเต้นัดแนะกับท่านหัวหน้าลิ่วจี แต่เขานั้นไม่ได้บอกว่าจะพานางไปที่ใดดังนั้นเมื่อขึ้นรถม้าแล้วจีเมี่ยวหลัวย่อมเอ่ยปากถาม ผ่านเหตุการณ์คดีค้าอวัยวะมนุษย์มาได้สามเดือนเศษแต่งานของทั้งซ่างกวนโทวและของจีเมี่ยวหลัวก็ยังมีมากจนล้นมือไม่เปลี่ยน ทว่าระหว่างนางกับเขาก็หาช่วงเวลาว่างตรงกันอยู่น้อยเจ็ดวันออกไปท่องเที่ยวด้วยกันหนึ่งครั้ง"หอชมเมือง"ผ่านมาจนถึงวันนี้ซ่างกวนโทวไม่อยากรออีกแล้วเขาจัดการเก็บกวาดจนวังหลังสะอาดสะอ้าน ราชสำนักเองเขาก็เข้มงวดกวดขันเอาขุนนางตรงฉินเป็นใหญ่เพื่อจะควบคุมขุนนางกังฉินไม่ให้เหิมเกริมได้แล้ว เนื่องจากการคิดจะกำจัดคนเลวออกไปจนสิ้นซากนั้นยากจะเป็นความจริงไปได้ ทุกคนมีส่วนดีและเลวทั้งสิ้นแต่การเลือกเอาความดีควบคุมความเลวอันนี้น่าจะเป็นจริงได้มากกว่าจึงถึงเวลาขอสตรีใจดวงใจแต่งงานเสียที เข้าใกล้จะสามสิบแล้วปีนี้ยี่สิบแปดอีกไม่กี่เดือนก็เต็มยี่สิบเก้าปี และเดือนก่อนทางซ่างกวนไท่ก็แจ้งข่าวดีมาแล้วว่าเจี่ยอวี้หลันเพิ่งตั้งครรภ์ ก็ถึงเวลาของเขาบ้างแล้ว เหน็ดเหนื่อยและยากเย็นจนผ่านมาร่วมแปดปี รวมไปถึงเขาเป็นมังกรเดียวดายมานานกว่าแปดปี
ส่วนซ่างกวนโทวนั้นกลับวังหลวงเพราะออกมาถึงสี่วันสี่คืนแล้ว เรียกว่าเขาแจกจ่ายงานแล้วก็กลับวังหลวงทันที เพราะเขาเองก็ยังมีงานอีกมากมายให้ต้องกลับไปจัดการสานต่อเช่นกันยิ่งเขาอยากแต่งภรรยามากเท่าใดก็ต้องรีบจัดการเก็บกวาดวังหลังให้สะอาดหมดจดเร็วเท่านั้น"ฝ่าบาท ฉวนซูเฟยมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"แค่อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เตรียมจะพักผ่อน โม่กงกงก็เข้ามารายงานว่าสตรีที่เขายังไม่ทันได้‘จัดการ’กำจัดออกไปก็เสนอหน้ามารบกวนกันเสียแล้ว"ไล่กลับไป ข้าจะพักผ่อน"อดนอนมาสี่วันสี่คืนความอดทนอดกลั้นของเขาไม่ได้มากเช่นในยามปกติ ขับไล่ไปจึงเป็นวิธีง่ายกว่าในยามนี้เขายังหาเหตุปลดสตรีสกุลฉวนออกไปได้ และที่เก็บเอาไม่ใช่รักใคร่หรือมีจิตพิศวาส ทว่าเพราะเขาทราบสตรีแซ่ฉวนทั้งสองไม่ใช่ธรรมดา ซึ่งสตรีที่ยังเหลือภายในวังหลังก็ล้วนเป็นสตรีประเภทเดียวกับสตรีสกุลฉวนน้าสาวกับหลานสาวที่อายุใกล้เคียงกันนี้ก็ไม่ต่างกัน"ฝ่าบาทไม่ได้พลิกป้ายมาร่วมเดือนแล้วหากยังขับไล่นางไปอาจไม่ใช่เรื่องดี"โม่กงกงเตือน เพราะการพลิกป้ายนี้มันช่วยลดปัญหาวุ่นวายของสตรีวังหลังได้ ส่วนพลิกแล้วซ่างกวนโทวจะไปร่วมหลับนอนกับพวกนางหรือไม่ก็ล้วนเป็นตัวของ
เพล้ง! โครม!"บัดซบ!"บุรุษวัยราวสามสิบหกปีใบหน้าของเขาอดีตคงเคยเป็นคนใจดี ทว่าบัดนี้บิดเบี้ยวและดวงตาของเขานั้นกลับแดงก่ำไปด้วยเพลิงโทสะรุนแรงนัก"เหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้ ข้ากำชับไปแล้วมิใช่หรือว่าให้ทำทุกสิ่งให้สะอาดและรอบคอบ"บุรุษอีกสามคนซึ่งดูแล้วอายุยังไม่เกินสามสิบต้นๆ ต่างเหลียวมองหน้ากันไปมาคล้ายกับจะเกี่ยงกันให้ตอบคำถามของบุรุษที่ดูแล้วมากไปด้วยอำนาจเพล้ง!"พวกเจ้าไม่มีปากกันหรือ ข้าถามเหตุใดจึงไม่ตอบ!"บุรุษผู้นั้นขว้างปาสิ่งใกล้มือเฉียดศีรษะของหนึ่งในสามจนทั้งหมดรับทรุดกายลงคุกเข่าเรือนกายสั่นสะท้าน"เอะอะอารมณ์เสียอันใดกันเล่าฝูเพ่ย"ชายสูงวัยอายุราวห้าสิบกว่าปีแต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดีบอกได้ว่าคนผู้นี้ฐานะไม่ธรรมดา ถามเอข้ามาก่อนจะปรากฏกายเสียอีก"ท่านพ่อไม่ทราบหรือ เกิดเรื่องขึ้นมาแล้วครั้งนี้ฝ่าบาทถึงกับลงมาคุมกันสืบสวนเอง" เจ้าของนามฝูเพ่ยกล่าวกับบิดาด้วยใบหน้าดคล้ำ"เจ้าจะร้อนใจไปไย อย่าลืมทั้งน้องสาวและน้าสาวของเจ้าบัดนี้เป็นพระสนมที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมากที่สุด ผู้อื่นถูกปลดถูกประทานออกไปจนเกือบหมดแต่น้าสาวกับน้องสาวของเจ้ากลับยังอยู่ดีมีสุขเช่นนี้เ
หลังจากขุดศพที่สภาพยังพอจะตรวจสอบได้ ขึ้นมาแล้ว ศพทั้งหมดจึงถูกซ่างกวนโทวกำชับให้คุ้มกันและส่งไปที่ ห้องรักษาศพที่ศาลต้าหลี่"หย่วนโจวถวายพระพรฝ่าบาท...""ลุกขึ้นเถอะไม่ต้องมากพิธี"ยังไม่ทันได้ออกจากสุสานไร้ญาติ จีหย่วนโจวกับคนของพยัคฆ์ทมิฬกว่าสามสิบชีวิต ก็มาถึงเพราะเฉินซั่วนั้นส่งสัญญาณไปแจ้งกับเขาว่าบัดนี้ฉางตี้ฮ่องเต้เสด็จออกมานอกวังหลวง ซ่างกวนโทวไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะสนใจพิธี อันใดทั้งสิ้นเขารีบยกมือห้ามเอ่ยปากไปด้วย"ฝ่าบาทจะเสด็จกลับวังเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"กว่าจะขุดศพขึ้นมาจนถึงยามนี้ก็เลยยามจื่อนานแล้ว และยังไม่ทันที่ซ่างกวนโทวนั้นจะตอบของจีหย่วนโจวใต้เท้าเหอท่านเจ้ากรมอาญากับรองทั้งสองก็มาถึงแล้วเช่นกัน มองดูวุ่นวายใช่น้อย"ไสหัวกลับไป!"เรื่องงานไม่เอาไหน แต่เรื่องเอาหน้าเช่นนี้กลับเสนอหน้าโผล่หัวกันมาว่องไวนัก ซ่างกวนโทวแสนจะชิงชังขุนนางเช่นนี้เหลือเกิน ทว่าจนใจที่ยังกำจัดพวกนี้ออกไปได้ไม่หมดดังใจต้องการเสียทีเดียวรอก่อนเถอะ ให้เขาปลุกปั้นขุนนางรุ่นใหม่ขึ้นมาได้มากพอตาเฒ่าพวกนี้ได้กลับบ้านเก่าแน่!ถึงตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมาเขาจะกำจัดแทบเรียกได้ว่ากวาดล้าง ทว่าก็ยังไม่สิ้นไปจากร