Mag-log in“ไม่นะ ไม่!”
เสียงห้าวตะโกนออกมาดังลั่น พร้อมกับร่างหนาแกร่งที่สะดุ้งลุกพรวดขึ้นสุดตัว มือของเขายังคงไขว่คว้าไปในอากาศ เหมือนจะเกาะเกี่ยวไขว่คว้าหาสิ่งที่หลุดลอยไปจากมือ ฝันร้ายของเขาเกิดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่มันหายไปมานานหลายปี
ชายหนุ่มหอบฮัก หัวใจของเขาเต้นถี่ระรัวราวกับไปวิ่งออกกำลังมา กันต์ระวีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำให้การหายใจเป็นปรกติ เหงื่อของเขาผุดขึ้นทั่วใบหน้าคมสัน ร่างสูงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินดุ่มตรงไปยังห้องน้ำ เขาเปิดน้ำที่อ่างล้างหน้าก่อนจะวักน้ำสาดใส่ใบหน้าคมคาย เหมือนจะให้น้ำให้สติและความสดชื่นคืนมาแก่ร่างกาย
กันต์ระวีเงยใบหน้าที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำ มองดูเงาสะท้อนของตนเองในกระจกเงา มันสะท้อนภาพชายหนุ่มใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวจัด คิ้วเข้ม นัยน์ตาสีนิลยาวรี บอกเชื้อชาติของเขาได้ชัดเจน จมูกโด่งสวย ริมฝีปากบางได้รูป ตอนนี้มีไรเคราขึ้นเขียวครึ้ม ทำให้ใบหน้านั้นดูคมเข้มมากขึ้น
ชายหนุ่มลูบไล้ใบหน้าของตนเอง มองพินิจถึงเครื่องหน้าแต่ละชิ้น ก่อนจะรำลึกถึงผู้ให้กำเนิดทั้งสอง นัยน์ตาสีนิลของเขาคล้ายบิดา รวมถึงจมูกโด่งได้รูปสวย ริมฝีปากบางและรูปหน้าของเขาได้มาจากมารดา เป็นส่วนผสมที่ลงตัวและงดงาม
เขาคงไม่ใช่ผลิตผลของความผิดบาปของมารดา สมองของเขาเผลอคิดตรงนี้ขึ้นมาชั่วแวบ ก่อนจะกำกำปั้นทุบผนังห้องน้ำแรงๆ จนรู้สึกเจ็บ กัดริมฝีปากของตนเองเพื่อเรียกสติ เพราะฝันนั่น ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน การสูญเสียที่เขาได้ประสบตั้งแต่เยาว์วัย มันทำให้กันต์ระวี กลายเป็นเด็กชายขี้ระแวง และไร้สุข ปรารถนาจะทวงคืนในสิ่งที่เคยเป็นของครอบครัวคืนมา เขาต้องการทวงทุกอย่างคืนมาจากชายโฉดคนนั้น! คนที่ปลูกฝังฝันร้ายให้ตามหลอกหลอนเขาจนวันนี้
‘หน้าตาคล้ายๆ ฉันเหมือนกันนะเราน่ะ หึๆ หรือว่าจะเป็น...’
คำพูด รวมถึงสายตาที่มองเขาแบบหัวจรดเท้า ด้วยแววตาราวกับหมาป่าแสนเจ้าเล่ห์ ที่ยังจำฝังใจในเด็กชายอายุสิบสอง ที่กำลังเคว้งคว้างจับต้นชนปลายไม่ถูก บิดาของเขาใช้ปืนยิงกันทิรา ก่อนจะยิงตัวตาย มีจดหมายพินัยกรรมมอบทุกสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของกันทิราให้กับชายหนุ่มอีกคนอย่างเคลือบแคลง แต่นั่นก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นลายมือของเธอ จดหมายนั้นถูกต้องและพินัยกรรมมีผลทางกฎหมาย
ณัฐอ้างหนี้สินที่หยงชางติดค้างชำระเขาในการเข้ายึดบ้านพิพิธสกุลชัย และยึดไร่ส้ม รวมถึงบ้านของพวกเขา หยงฟางที่ไปร่วมงานศพของพี่ชายต่างมารดาทนไม่ไหวที่หลานชายต้องกลายเป็นลูกกำพร้า และแทบจะไม่เหลือสิ้นซึ่งอนาคต หรือแม้แต่ญาติพี่น้องที่จะมาดูดำดูดี เขาจึงนำพากันต์ระวีหลายชายที่ได้พบเจอหน้ากันยังไม่ถึงอาทิตย์ไว้เป็นบุตรบุญธรรมและพามาเสียจากเมืองไทย กลับมาที่ฮ่องกง ซึ่งเขามีธุรกิจอยู่ที่นี่ เขาได้ส่งเสียเลี้ยงดูกันต์ระวีจนเติบโตเป็นชายหนุ่มฉกรรจ์ ให้ความรู้การศึกษาอย่างดี กันต์ระวีกลายเป็นมือขวาที่เก่งกาจ และหยงฟางที่ไม่มีลูกหรือภรรยาก็ต้องการให้ชายหนุ่มสืบทอดกิจการของตระกูลแซ่เซี่ยต่อไป
แต่สิ่งที่ติดค้างในใจของชายหนุ่มมาตลอดยี่สิบปี คือการทวงคืนทุกสิ่งมาอย่างถูกต้องให้กับครอบครัวของเขา กันต์ระวีต้องการอย่างยิ่งที่จะไปทวงความเป็นธรรมให้กับมารดาที่ถูกนินทาว่าร้ายว่าเป็นชู้กับชายเลวคนนั้น และทวงสิ่งของๆ ครอบครัวคืนมา ไร่ส้มที่เขารัก ที่เขาเคยวิ่งเล่นซุกซนไปทุกตารางนิ้วนั่น เปียโนตัวที่มารดาซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด เขาหวังว่ามันจะยังคงอยู่ที่นั่น แม้จะเหลือเพียงแต่ซาก แต่กันต์ระวีก็ยังจะต้องการทวงทุกสิ่งของเขาคืน
การแก้แค้น!
คำๆ นี้เป็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจของชายหนุ่มมาตลอด เขาพยายามเรียนให้จบและตอบแทนผู้เป็นอาที่ได้ชุบเลี้ยงเขามา ตอนนี้ธุรกิจของหยงฟางไม่น่ามีอะไรเป็นห่วง และกำลังก้าวหน้าไปด้วยดี เขาปั้นมือขวาที่เอาไว้แทนตัวได้ถ้าเกิดเขาไปไหนไกลๆ สักพัก กันต์ระวียิ้มที่มุมปากขณะที่แต่งตัวเพื่อเตรียมจะไปทำงานของตนเองตามปรกติ เต๋ออี้ ไว้ใจทำงานแทนเขาได้ และคงจะช่วยหยงฟางได้ดีเทียบเท่ากับเขา
“ทำไมวันนี้ลงมาสายนักล่ะ หยาง”
หยงฟางเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจ แล้วเอ่ยทักทายหลานชายที่เดิมเข้ามาร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วย กันต์ระวีมีชื่อจีนว่า หยาง ซึ่งผู้เป็นอาตั้งให้ เขาเหมือนกับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ เด็กชายกันต์ระวีไม่รู้ภาษาจีนเลยสักคำ ส่วนหยงฟางนั้นความรู้ภาษาไทยก็มีพอพูดได้บ้าง
เขาและพี่ชายอย่างหยงชางเป็นพี่น้องที่รักกันมากแม้จะต่างมารดา มารดาของหยงชางเป็นคนไทย ส่วนมารดาของเขาเป็นคนจีน บิดาของเขา หลี่เพ่ย มีภรรยาสองคน คือ เหม่ยหง และ นารถยา หลี่เพ่ยทำธุรกิจนำเข้าส่งออกที่ต้องติดต่อไปมาระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนเสมอ ภรรยาของเขาทั้งคู่อยู่กันคนละประเทศ รับรู้ถึงการมีตัวตนของแต่ล่ะฝ่าย แต่ก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน และหลี่เพ่ยก็เป็นสามีที่บริหารเวลาได้ค่อนข้างดี ไม่ให้มีปัญหาน้อยเนื้อต่ำใจซึ่งกันและกัน รวมถึงบุตรชายทั้งสอง ที่เขามักจะพาไปเยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ จนทั้งคู่สนิทกัน รวมถึงเรียนด้วยกันในระดับปริญญาที่เขาส่งสองพี่น้องให้ไปเรียนที่อเมริกา
หยงชางเลือกที่จะอยู่เมืองไทย เพราะหลงรักกับการทำสวนส้ม ทั้งที่ร่ำเรียนมาทางด้านการบริหารธุรกิจ ซึ่งแม้ตอนแรกหลี่เพ่ยจะคัดค้านและถึงขั้นเกือบจะตัดขาดกับบุตรชายคนโต แต่แล้วเวลาก็ช่วยเยียวยาสองพ่อลูกนี้ได้ อีกทั้งหยงฟางก็เป็นหนุ่มนักธุรกิจที่เก่งกาจนัก จนหลี่เพ่ยฝากกิจการไว้ที่เขาได้ และหยงฟางยังคงต่อยอดความสำเร็จมาเป็นธุรกิจอีกตัวหนึ่งคือธุรกิจการประกอบรถยนต์ที่ฮ่องกง โดยมีหลานชายคนเก่งอย่างกันต์ระวีมาช่วยดูแลเต็มตัวตอนนี้
ชีวิตของกันต์ระวีที่นี่ตอนแรกแม้จะขลุกขลักนัก แต่ด้วยญาติพี่น้องที่แวดล้อมเป็นครอบครัวใหญ่อย่างตระกูล เซี่ย และมีคนที่รักเขามากมาย มันก็ทำให้เด็กชายกันต์ระวีผู้แสนจะหวาดกลัวทุกสิ่งจากเมืองไทย เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย จนกลายเป็นเก่งและแกร่ง กลายเป็นหลานชายที่ปู่ภูมิใจ เป็นหลานชายที่หยงฟางรักจนเหมือนลูกแท้ๆ พวกญาติๆ ส่วนมากสงสารลูกกำพร้าอย่างกันต์ระวี ไม่มีใครเหยียดเยาะหรือพูดจาทำร้ายเขาแม้แต่น้อย
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ อา”
ชายหนุ่มตอบสั้นๆ เขาจิบกาแฟดำเพราะอยากให้คาเฟอีนทำให้ร่างกายกระเตื้องขึ้นบ้าง ฝันร้ายเมื่อคืนทำเอาเขานอนหลับไม่สนิท หยงฟางมองดูใบหน้าคมสันของหลานชาย ก่อนจะยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วเอ่ยลอยๆ ขึ้นเสียงทุ้ม
“ไปทำอะไรมาหรือเปล่า? หยางจงมารับเราไปเหลวไหลแถวถนนนาธานอีกล่ะสิ”
กันต์ระวีถึงกับหัวเราะเมื่อผู้เป็นอาพูดแบบนั้น หยางจงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งค่อนข้างจะสนิทสนมกับกันต์ระวีมาก อีกฝ่ายเป็นหนุ่มเพลย์บอยและค่อนข้างหลักลอยยังไม่ได้ทำงานเป็นแก่นสารเท่าที่ควร จึงมักจะพากันต์ระวีไปเถลไถลตามประสาหนุ่มโสดอยู่บ้าง
“เปล่าครับ หยางจงไปที่มาเก๊า มาชวนผมอยู่เหมือนกันว่าอยากให้พักร้อนบ้าง แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว”
“ไปกับหยางจงมีแต่จะพากันไปเรื่อยไถล ระวังเถอะปู่เราจะจับไปอบรมยาว แต่พูดถึงพักร้อน หยางลาบ้างก็ดีนะ กรำงานมาหนักเหลือเกิน จนอาชักจะรู้สึกผิดที่ใช้งานหลานชายหนักจนเกินควร”
“หึๆ ผมก็กำลังจะขอลาเหมือนกันแหละครับอาฟาง คงจะไปนานพอสมควรเลย แต่เต๋ออี้เลขาของผมก็เชื่อใจได้เขาทำงานทุกอย่างได้ดีและรู้จักระบบการทำงานในแบบของผม เรียกได้ว่าเป็นหยางเบอร์สองก็คงไม่แปลกนัก อาคงจะไม่ต้องห่วงมากนัก ถ้าผมจะไปไหนสักพัก”
“หืม?”
หยงฟางมองดูใบหน้าคมสันของหลานชายพลางเลิกคิ้ว เขาวางหนังสือพิมพ์ในมือลงทันที กันต์ระวีไม่เคยลาพักร้อนไปที่ไหนมาก่อนเลยจนบางทีเขาอยากจะให้หลานชายได้พักบ้าง แต่นี่มาบอกว่าจะลายาว แถมฝากฝังงานไว้ที่เลขานุการมือดีเสร็จสรรพ หรือว่า...
“หยาง เราจะกลับเมืองไทยหรือไง”
หยงฟางที่พอจะรู้เรื่องของหลานชายบ้างถึงกับดักคอ เขารู้ว่ากันต์ระวีมีความฝังใจลึกล้ำเรื่องอะไร และหวังจะให้ชายหนุ่มลืมมันไปและมีชีวิตใหม่ที่นี่ ไม่ใช่เมืองไทย ที่ๆ มีความหลังอันเจ็บปวด
“ครับ”
ชายหนุ่มรับคำ พลางยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาคมกริบเปล่งแววตาวาวโรจน์ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาอยากทำเมื่อกลับถึงเมืองไทย ความหอมหวานของการแก้แค้นได้รอรับเขาอยู่ที่นั่น มันสั่งสมมาตลอดยี่สิบปี เสียงของหัวใจเรียกร้องให้เขาไปทวงทุกอย่างคืน!
“จะกลับไปทำไม ทุกๆ อย่างของเราอยู่ที่นี่”
ผู้เป็นอาเอ่ยขึ้นมาเสียงขรึมๆ เขามองใบหน้าคมสันนั่นแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่ต้องกลับไปหรอก หยาง ที่ของหลานคือที่นี่”
“ที่เมืองไทยต่างหากล่ะครับ คือที่ของผม ที่นั่นมีรกรากของผม มีสวนส้ม บ้าน ทุกๆ อย่างของพ่อและแม่ อยู่ที่นั่น”
“แต่ตอนนี้มันเป็นของคนอื่น ยี่สิบปีมาแล้วนะหยาง อาว่า...”
“บ้านอยู่ที่ไหน หัวใจอยู่ที่นั่นครับ อาฟาง หัวใจของผมอยู่ที่บ้าน นั่นคือเมืองไทย และตอนนี้หัวใจของผมถูกคนชั่วขโมยไป ผมจึงต้องไปทวงคืนมันกลับมา”
หยงฟางถึงกับย่นคิ้ว เมื่อหลานรักยกเอาคำคมขึ้นมา เขากระแอมพลางเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“กุศลกรรมไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่ากับการให้อภัย หลานเคยได้ยินคำนี้ไหม?”
“ผมเคยได้ยินแต่ล้างแค้นสิบปียังไม่สายครับอาฟาง”
กันต์ระวีเอ่ยกลั้วหัวเราะ เหมือนเขาเอ่ยล้อเล่น แต่นัยน์ตาคมกริบนั้นเอาจริงเอาจังนัก หยงฟางถอนใจ มองหน้าหลานชายแน่วแน่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วถ้าอาจะห้ามไม่ให้เราไปล่ะ หยาง”
“ผมก็คงจะยืนยันว่าผมจะไปให้ได้อยู่ดีล่ะครับ อาฟาง”
กันต์ระวียืนยันหนักแน่น นัยน์ตาคมกริบมองสบตากับผู้เป็นอาอย่างไม่ยอมหลบ หยงฟางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาหลานชายที่นั่งอยู่พลางตบบ่ากว้างเบาๆ
“อาก็คงจะห้ามอะไรเราไม่ได้หรอกนะ หยาง แต่จงจำไว้อย่าเพลินกับความแค้น แม้รสชาติของมันจะหอมหวาน แต่มันก็ซ่อนไว้ด้วยความขมขื่น ขมขื่นที่ใจของเรานั่นแหละหยาง มันมีสุขแล้วหรือกับสิ่งที่อยากจะกระทำ อาอยากจะให้ หยางลองถามตัวเองและลองทบทวนทุกอย่างดูอีกที ก่อนจะคิดหรือตัดสินใจทำอะไร”
“ผมคิดดีแล้วครับอาฟาง”
กันต์ระวียิ้มให้กับผู้เป็นอา หัวใจของเขามันอยู่ที่เมืองไทย ความสุขของเขาอยู่ที่การได้ทุกอย่างคืนมาและเห็นผู้ชายเลวๆ อย่าง ณัฐ ดิลกธรรมชัย พินาศย่อยยับไม่ต่างจากครอบครัวของเขาในอดีต
สายตาคมกริบกำลังจับจ้องมองตามร่างเล็กบางของหญิงสาวที่กลายเป็นดาวเด่นของงานในคืนนี้อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา ก้องหล้าจิบแชมเปญในมือ พร้อมกับมองตามร่างบางระหงที่อยู่ในชุดสีชมพูหวานไปด้วยสายตามุ่งมั่น เขามองกวาดไล่ไปทั้งเรือนร่างงดงามนั้น เปลวไฟบางอย่างถูกจุดขึ้นมาแล้วกำลังระอุร้อน เมื่อได้มองพินิจเธอแบบนั้น คนอย่างก้องหล้า อยากได้อะไร ต้องได้! แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นลูกสาวของศัตรูของบิดาก็ตามทีเขากล่อมชัชชัยได้เรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับเรื่องของเพชรน้ำบุษ หญิงสาวที่เขานึกชอบตั้งแต่แรกเห็นหน้า ยิ่งเธอเป็นดอกฟ้าที่มีแต่คนหมายตาอยากจะคว้า เขาก็ยิ่งทวีความ ‘อยากได้’ อีกฝ่ายมากขึ้น การได้เป็นลูกเขยของณัฐ ดิลกธรรมชัยนั้น มันแสดงถึงศักยภาพของผู้ชายคนนั้น ว่าต้องไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ถึงผ่านด่านหินของชายผู้มีอิทธพลอย่างณัฐมาได้ แล้วผลประโยชน์ต่อไปในอนาคตกับการร่วมชีวิตกับเพชรน้ำบุษด้วยนั้น ยิ่งเหมือนกับบ่อเพชรบ่อพลอย ที่ชวนให้ลงทุนลงแรงชิงเธอมาเป็นที่สุดวันนี้ไม่มีเงาของบอดีการ์ดหนุ่มร่างยักษ์ ที่เป็นเหมือนก้างชิ้นโต สำหรับบรรดาเหล่าภมรที่อยากจะไปบินโฉบชมดอกฟ้าแสนสวยอย่างเพชรน้ำบุษ มีเพียงหญิงสาวอีกคนที
“เย็นนี้แวะไปหาหมอไหมครับคุณหนู”น้ำเสียงอาทรถามขึ้นจากคนตัวโต เมื่อเอาเอกสารมายื่นให้เธอด้วยตนเอง ไอยราซึ่งปรกติแล้วมักจะอยู่ในห้องส่วนตัวของเขาเงียบๆ รอจนเวลาเธอเลิกงาน หรือจะไปไหนมาไหนจึงมาปรากฏตัว แต่วันนี้เขานึกเป็นห่วงเธอจนแย่งหน้าที่ของเลขานุการส่วนตัวของเพชรน้ำบุษ เอางานมาให้เธอด้วยตัวเอง“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ช้าง ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วล่ะค่ะ”“ไม่ไปจริงๆ น่ะเหรอครับ อย่าฝืนนะครับคุณหนู”ไอยรายังคงมองใบหน้าหวานซึ้งของเธออย่างเป็นห่วง เพชรน้ำบุษหัวเราะเบาๆ เธอทรงตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะตั้งท่าหมุนตัวอวดเขา ทำเอาไอยราต้องรีบกระแอม แล้วรีบเอ่ยขัดขึ้นทันที“ไม่ต้องก็ได้ครับคุณหนู ผมเชื่อแล้วครับ”“บุษ พี่เอาเสื้อผ้ามาให้ เดี๋ยวเราไปที่ร้านกันเลยไหม พี่จัดการเตรียมทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”เสียงที่ดังมาก่อตัว พร้อมกับประตูห้องทำงานของหญิงสาวที่ถูกเปิดผั๊วะเข้ามาอย่างไร้มารยาท บอกได้เลยทันทีว่าเป็นใคร ไอยราและเพชรน้ำบุษมองสบตากันทันที ก่อนที่นายสาวจะพยักหน้าให้กับบอดีการ์ดหนุ่ม ไอยราค้อมศรีษะให้กับวรัทยาเล็กน้อย แล้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้หญิงสาวอยู่ด้วยกันตามลำพัง“นี่ชุดของบุษ ลุง
เสียงนกร้องดังเจื้อยแจ้ว แดดยามเช้าส่องรำไรลอดใบไม้มาต้องผิวให้ความอบอุ่น ลมเย็นๆ พัดมาเรื่อยเฉื่อย เอาอากาศบริสุทธิ์มาต้องใบหน้าใสหวาน เพชรน้ำบุษสูดอากาศเข้าปอดอย่างสดชื่น พลางมองไปรอบๆ ตัว นานครั้งที่เธอจะได้มาสัมผัสบรรยากาศนอกบ้านบ้างแบบนี้ แม้จะสดชื่นไม่ต่างกัน แต่ความรู้สึกของอิสรภาพนั้นต่างกันมากมายนัก“ผมจะรอที่นี่นะครับคุณหนู”บอดีการ์ดประจำตัวเธอพูดด้วยน้ำเสียงขรึมๆ เมื่อมองความเรียบร้อยของสวนสาธารณะแห่งนั้นแล้ว เขาคอยติดตามเพชรน้ำบุษมานาน และนึกสงสารนายสาวนัก เพราะหญิงสาวเป็นคนน่ารัก และไม่มีทีท่าว่าจะมีศัตรูที่ไหนเลยแม้แต่คนเดียว คำสั่งของณัฐเกี่ยวกับเพชรน้ำบุษนั้น ทำให้ไอยรายิ่งนึกสงสารเธอ และแอบให้อิสระแก่นายสาวบ้าง ซึ่งถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเพชรน้ำบุษในเวลาที่เขายอมปล่อยเธอแล้ว ไอยราก็พร้อมจะรับผิดชอบความผิดพลาดนั้นทั้งหมด แม้จะเป็นชีวิตเขาก็ยอม เพียงแค่ให้เพชรน้ำบุษมีเวลาเป็นของตัวเอง ได้ยิ้ม ได้หัวเราะบ้าง“ไม่นานหรอกค่ะพี่ช้าง รับรองว่าเราสองคนจะไม่ไปทำงานสายแน่ๆ”เพชรน้ำบุษหลิ่วตา เธอและไอยราออกมาจากที่บ้านแต่เช้า เพื่อมาแวะที่สวนสาธารณะก่อนจะไปทำงานที่ออฟฟิศต่อ วันนี้วร
“พ่อจะไปนิวยอร์คสองอาทิตย์นะลูก ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะหนูบุษ”ประมุขของบ้านดิลกธรรมชัยเอ่ยขึ้น ขณะที่ทานอาหารเช้ากันอย่างสบายๆ ในสวน เพื่อรับแดดและเสพบรรยากาศยามเช้า ของฤดูปลายฝนต้นหนาว เพชรน้ำบุษตักข้าวต้มส่งกลิ่นหอมฉุยหน้าทานให้กับเขาแล้วยิ้ม ขณะที่ณัฐเอื้อมมือไปจับมือนุ่มของหญิงสาวมาบีบเบาๆ นัยน์ตาคมนั้นฉายแววห่วงใยอาทรนัก เขากำลังจะสร้างธุรกิจให้ก้าวไกลยิ่งกว่าเดิม ด้วยการติดต่อกับต่างประเทศ ธุรกิจลับๆ อย่างที่จะสร้างเงินให้เขาอย่างมหาศาล“ค่ะ คุณพ่อไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ บุษดูแลตัวเองได้”เพชรน้ำบุษแทบจะร้องไชโยออกมาเลยทันที แต่ก็ต้องระงับอาการดีใจของตนเองไว้ เพราะไม่อยากให้มีพิรุธ ท่านคงจะไม่ชอบใจนักที่เห็นเธอดีใจเมื่อเขาไม่อยู่บ้าน เพราะเมื่อณัฐไม่อยู่บ้านเวลาอิสระของเธอก็มาถึง ตอนนี้ไอยราบอดีการ์ดส่วนตัวของเธอ ก็ไม่ได้ตามเฝ้าเธอแจเข้มงวดอะไรนัก แม้จะเป็นคนดูดุ นิ่งขรึม แต่ไอยราก็เป็นคนใจดี ยอมปล่อยให้เพชรน้ำบุษได้เป็นอิสระบ้าง เพราะดูแล้วคงจะไม่มีอันตรายใดๆ ที่จะมา กล้ำกรายเธอได้ เขาสงสารหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูราวกับนกน้อยในกรงทอง“ถ้าไม่ติดว่าทำธุระ พ่ออยากจะพาหนูไปด้วยกัน”เขาว่า พลางถ
“เอ๋? ว่าอะไรนะยายหนูนา”เพชรน้ำบุษทวนคำของเพื่อนสนิทก่อนจะอมยิ้ม เธอเช็ดเรือนผมที่เปียกหมาดไปด้วยพร้อมๆ กัน เพราะพึ่งออกมาจากห้องน้ำหลังจากที่ชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว“เราเจอกับสุดหล่อ ที่ชนกับบุษไง วันนี้เขามาเป็นลูกค้าที่ร้านของพี่ไนซ์ เค้าชื่อวี เลี้ยงหมาด้วยนะ ชื่อเจ้ายุ่ง หมาเค้าเป็นหมาพันธุ์เล็กอย่างมินิเจอร์ ไม่ยักกะใช่หมาพันธุ์ใหญ่ๆ อย่างพวกเซนต์เบอร์นาด หรือโกลเด้นรีทีฟเวอร์ แต่แบบผู้ชายตัวโต หล่อชวนฝัน เลี้ยงหมาตัวเล็กๆ โอย...น่ารัก”“ฟังจากเสียงนี่คงจะปลื้มเอามากๆ เลยนะเนี่ย”เธอหัวเราะเบาๆ กับสุ้มเสียงของเพื่อนรัก ปรกติแล้วเพื่อนรักของเธอไม่เคยชื่นชมใครมากขนาดนี้มาก่อนก็น่าจะปลื้มอยู่หรอก เพชรน้ำบุษคิดในใจ ภาพของชายหนุ่มที่รัดเธอไว้ในอ้อมแขนเพื่อช่วยไม่ให้เธอล้มลงกับพื้น ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึก ใบหน้าของเธอเริ่มเป็นสีเรื่อ หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับว่าสัมผัสของเขาและกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับแดดยามสายของชายหนุ่มยังคงกรุ่นอยู่ตามเนื้อตัวเราเป็นอะไรไปกันเนี่ย?เพชรน้ำบุษถามตัวเอง ก่อนจะสะบัดหน้าเบาๆ เพื่อไล่ภาพจำของชายหนุ่มออกไปจากห้วงนึก น้ำใสหวานใสของเพื่อนรัก
ลัทธพลคว้ากล่องอุปกรณ์สำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น อีกมือถือกระเป๋าคู่ใจ แล้วหันรีหันขวางมองไปรอบๆ ท่าทางเขาลุกลี้ลุกลนนัก จนน้องสาวที่มาช่วยดูแลร้านในตอนเย็นถึงกับกอดอก พลางส่ายหน้าช้าๆ กับท่าทางของพี่ชาย เสียงใสเอ่ยลอยๆ ขึ้น เมื่อเห็นว่าลัทธพลกำลังยืนบ่นทบทวนถึงเครื่องมือเครื่องไม้ในการรักษาอยู่ไปมา“ลืมอะไรเหรอพี่ไนซ์”“กล่องเครื่องมือ สงสัยพี่จะลืมกล่องเครื่องมือ อ้อ...ยาด้วย ยาสลบ บางทีอาจจะต้องวางยา เครื่องมือจะพอไหมนะ เคลื่อนย้ายมาที่นี่ก็กลัวจะเป็นอันตราย ต้องไปดูก่อนเสียด้วย”“ที่ถือไว้ไม่ใช่หรือยังไงกัน กล่องเครื่องมือน่ะพี่ไนซ์”“เอ่อ...จริงสิ พี่คงจะตกใจไปหน่อย ถ้าคนไข้เป็นตัวอื่น พี่จะไม่กลัวเลย แต่นี่เป็นเจ้าปีโป้ มันถูกรถชนอาการหนักมากเลย ป้าจิตกำลังสติแตก ไม่กล้าขับรถมาที่นี่”“พี่ไนซ์ก็กำลังสติแตกเหมือนกันน่ะแหละ แล้วนี่พี่โยยังไม่มารับอีกหรือไงกัน”เธอชะเง้อมองไปนอกคลีนิก ซึ่งไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มร่างผอมโปร่ง ผิวขาวละเมียดแบบที่ผู้หญิงยังอาย เครื่องหน้าสวยเกินชายก็โผล่มาราวกับนัด ลัทธพลแทบจะกระโดดกอดคอเพื่อนสนิทเมื่อเห็นเขามาได้รวดเร็วทันใจมาก หลังจากที่โทรศัพท์ไปขอควา




![[Bad Loves] บำเรอแค้นศัตรูพี่ชาย (3P)](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


