แชร์

ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ
ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ
ผู้แต่ง: ชอบกินหมั่นโถว

บทที่ 1

ผู้เขียน: ชอบกินหมั่นโถว
ทันทีที่วางสาย เสียงดนตรีจากชั้นล่างก็ดังขึ้นมา เมื่อลองฟังดู ก็ยังได้ยินเสียงคนร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดด้วย

นี่คืองานเลี้ยงวันเกิดที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจัดเพื่อเซี่ยงหาน

ทันใดนั้นข้างนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเซี่ยงหานถือเค้กแบล็คฟอเรสต์ก้อนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มตั้งแต่เมื่อไร

ดวงตาคู่หนึ่งที่ราวกับลูกกวางกะพริบหลายครั้ง บนใบหน้าอันงดงามแต่งหน้าอย่างประณีต และมีรอยครีมสองสามรอยที่เด่นชัดอยู่ “พี่เวยเวย ลงไปเล่นด้วยกันกับฉันเถอะนะ?”

ซ่งสือเวยมองความเสแสร้งภายใต้ใบหน้าของเธอออกอย่างชัดเจน น้ำเสียงเย็นชา “ฉันยังมีงานต้องทำ คงไม่ไปหรอก พวกเธอเล่นกันให้สนุกเถอะ”

แทบจะในทันที ในเบ้าตาของเซี่ยงหานก็เต็มไปด้วยน้ำตา “พี่เวยเวย พี่ไม่ชอบฉันใช่ไหม ถึงได้บอกปัดแบบนี้?”

ซ่งสือเวยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ตนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอกลับทำท่าทางราวกับตนไปรังแกเธอเพื่ออะไรกัน

เธอยิ้มเยาะในใจ ไม่คิดจะฟังคำพูดที่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาของอีกฝ่ายต่อ “การแสดงพวกนี้เธอเก็บไว้ให้พวกลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อดูเถอะ มันไม่มีประโยชน์กับฉันหรอก”

ทันทีที่พูดจบ เธอก็กำลังจะปิดประตู

“พี่เวยเวย อย่า...”

จู่ ๆ เซี่ยงหานก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ขวางบนกรอบประตู

นี่ทำให้จังหวะที่ประตูปิดลง ทั้งมือของเธอถูกหนีบอย่างแรง

หลังมือขาวนวลกลายเป็นสีม่วงทันที

“โอ๊ย!”

ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อขึ้นมาที่ชั้นบนพอดี ก็เห็นฉากนี้เข้า

ชายทั้งสองแทบจะพุ่งเข้ามาพร้อมกัน โอบเซี่ยงหานไว้ในอ้อมแขน ประคองมือเธอไว้อย่างปวดใจ ขณะที่มองอย่างละเอียด

เมื่อเห็นบาดแผลบนหลังมือของเซี่ยงหาน ฉีซื่อก็ปวดใจจนหางตาแดง

เขาเป็นคนนิสัยหุนหันพลันแล่น จึงต่อว่าซ่งสือเวยตรง ๆ “เธอไม่ชอบเซี่ยงหานก็แล้วไปเถอะ ทำไมต้องทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ด้วย ซ่งสือเวย เธอกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

ลู่อวิ๋นเซินมีนิสัยใจเย็น แต่ตอนนี้เมื่อมองซ่งสือเวย ในดวงตาล้ำลึกทั้งสองข้างก็มีความผิดหวังแฝงอยู่

“เวยเวย วันนี้เป็นวันเกิดของเซี่ยงหาน เธอไม่ควรทำเกินไปแบบนี้”

ทว่าเมื่อก้มลงมามองเซี่ยงหาน ก็เปลี่ยนน้ำเสียงโดยพลัน

“เสี่ยวหาน ยังเจ็บอยู่ไหม? ฉันจะพาเธอไปทายานะ”

เมื่อเห็นลู่อวิ๋นเซินจูงเซี่ยงหานจากไป ฉีซื่อก็ไล่ตามเซี่ยงหานไปด้วย ทั้งยังรีบปลอบโยนเธอ “เสี่ยวหาน เธออย่าเศร้าไปเลยนะ ฉันจะให้รถสปอร์ตคันใหม่ที่ฉันได้มากับเธอ รอหลังจบงานเลี้ยง ฉันจะพาเธอไปนั่งรถเล่น พอได้นั่งรถชมวิวก็จะอารมณ์ดีเอง!”

หลังจากถูกชายทั้งสองคนพากันปลอบโยนด้วยความรัก สุดท้ายเซี่ยงหานก็หยุดร้องไห้ มีเพียงน้ำเสียงที่ยังสะอื้นอยู่เล็กน้อย “ขอบคุณนะอวิ๋นเซิน”

หลังจากพูดขอบคุณลู่อวิ๋นเซิน เธอก็หันมามองฉีซื่อ และพูดโน้มน้าวทั้งน้ำตา “อาซื่อ นายอย่าไปแข่งรถเลยนะ การแข่งรถมันอันตราย ฉันเป็นห่วง”

เห็นเซี่ยงหานเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นยิ้มออกมา ฉีซื่อก็รับปากอย่างร้อนรน “ได้ ๆ ๆ บรรพบุรุษครับ ขอแค่เธอมีความสุข เธอจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”

มองแผ่นหลังของพวกเขาลงไปชั้นล่าง ซ่งสือเวยยืนอยู่ที่ประตู และรู้สึกราวกับฝันไปชั่วขณะหนึ่ง

จำได้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว คนที่ยืนอยู่ระหว่างลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ ยังเป็นตนอยู่เลย

เธอป่วยและร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเป็นโรคหอบหืด ที่เมืองหลวงดันอากาศชื้นและมีฝนตกบ่อย จึงไม่เหมาะกับการฟื้นตัวของเธอ

เมื่ออายุได้ห้าปี เธอก็ถูกพ่อแม่ส่งจากเมืองหลวงมายังเมืองไห่เฉิงซึ่งทั้งสี่ฤดูราวกับฤดูใบไม้ผลิ และถูกรับมาดูแลพักฟื้นกับอาที่เป็นหมอ

ในตอนนั้นเอง ซ่งสือเวยได้รู้จักกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อซึ่งอาศัยอยู่ข้างบ้านของอา

พวกเขาสามคนเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เป็นเพื่อนเล่นในวัยเยาว์

ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเธอ ทั้งสองคนก็ตกหลุมรัก และคอยอยู่ข้างกายเธอทุกเมื่อเชื่อวัน กลายเป็นอัศวินที่ปกป้องเธอ

ตอนยังเด็ก พวกเขาไปรับไปส่งเธอที่โรงเรียนทุกวัน ซื้อของอาหารเช้ากับนมวัวให้เธอทุกเช้า ฉีกจดหมายรักทั้งหมดที่เธอได้รับ ไม่อนุญาตให้ผู้ชายคนไหนเข้ามาใกล้เธอแม้แต่ก้าวเดียว

เมื่อโตขึ้น พวกเขาคนหนึ่งได้สืบทอดธุรกิจครอบครัวกลายเป็นประธานบริษัท อีกคนหนึ่งก็กลายเป็นนักแข่งรถซึ่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ทั้งสองคนงานยุ่งมาก แต่กลับซื้อบ้านทั้งสองหลังข้างซ่งสือเวย หลังจากเวลาผ่านไปก็ยังอยู่ด้วยกันกับเธอ และทุกวันก็จะต้องกลับมาทำอาหารให้เธอ

แม้ว่าอาการป่วยของซ่งสือเวยจะเกือบหายดีแล้ว และครอบครัวก็ยังเร่งเร้าให้เธอกลับเมืองหลวง แต่พวกเขาก็ยังพากันอ้อนวอนเธอด้วยเบ้าตาแดงก่ำ ขอให้เธออย่าไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะทิ้งทุกอย่างและไปกับเธอด้วย

พวกเขาพูดเสมอว่า เวยเวยอยู่ที่ไหน พวกเขาก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

เป็นเพราะพวกเขา ทำให้แม้อาการป่วยของซ่งสือเวยจะทรงตัวแล้ว ก็ยังไม่ได้รีบกลับเมืองหลวง

แต่หลังจากเซี่ยงหานปรากฏตัว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

เซี่ยงหานเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ซ่งสือเวยพามา

วันแรกที่เพิ่งเข้ามาในบริษัท เธอขี้อาย ไม่ยอมลงไปกินข้าวกลางวันด้วยกันกับทุกคน หลังจากนั้นทุกวันก็เป็นเช่นนี้เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งซ่งสือเวยบังเอิญชนเธอที่กำลังกินหมั่นโถวกับผักดองอยู่ที่มุมคนเดียว เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่าเธอสอบจากหมู่บ้านบนภูเขาเข้ามาในเมืองใหญ่ ที่บ้านมีฐานะยากจน สิ่งที่สามารถประหยัดได้ก็ต้องประหยัด

ซ่งสือเวยเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซ่ง ตั้งแต่เด็กก็เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของตระกูลที่สมบูรณ์ เมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้ จึงรู้สึกสงสารเธอขึ้นมา และดูแลเธอในทุกเรื่องอย่างใจกว้างมาโดยตลอด

บางครั้งตอนที่กินข้าวกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อ ก็พาเธอไปด้วย

เป็นเพราะเหตุนี้เอง เซี่ยงหานจึงได้รู้จักกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อ

ลู่อวิ๋นเซินมีนิสัยเย็นชา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่วุ่นวายแบบนี้มาก่อน แต่วันนี้เขากลับสร้างข้อยกเว้นเพื่อเซี่ยงหาน

ฉีซื่อมองว่าการแข่งรถคือชีวิต ไม่ว่าใครก็ไม่อาจโน้มน้าวเขาไว้ แต่ตอนนี้ เซี่ยงหานแค่พูดง่าย ๆ เพียงหนึ่งประโยค ก็สามารถทำให้เขาล้มเลิกได้

เรื่องแบบนี้ ในหนึ่งเดือนมานี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เมื่อก่อนพวกเขาไม่เคยปกปิดความชอบที่มีต่อซ่งสือเวย ทั้งยังสร้างสถานการณ์จากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อบังคับให้ซ่งสือเวยเลือกหนึ่งในพวกเขา

ซ่งสือเวยก็หวั่นไหวกับพวกเขาจริง ๆ และคิดจะเลือกหนึ่งในพวกเขามาคบหาด้วย

แต่ตอนนี้ การยอมรับเรื่องการแต่งงานที่ครอบครัวจัดเตรียมให้ ก็ดูเหมือนจะไม่เลวเช่นกัน

ซ่งสือเวยเม้มริมฝีปาก ก่อนตั้งเวลานับถอยหลังสำหรับการไปจากที่นี่ในโทรศัพท์

นับจากนี้ไป เธอจะไม่ไปรบกวนพวกเขาสามคนอีกแล้ว
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 29

    ลู่อวิ๋นเซินเห็นงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของซ่งสือเวยจากรายงานข่าวทุกประเภทเขาจ้องรูปของกู้ฉือหลานในโทรศัพท์ไม่ละสายตา ความโกรธในใจพลันเดือดพล่านเป็นฝีมือของกู้ฉือหลานใช่ไหม?ต้องเป็นเขาแน่ๆ!หลังลู่อวิ๋นเซินคิดถึงจุดนี้ ก็ไม่สนใจการขัดขวางของแม่ฉีกับแม่ลู่ รีบพุ่งออกจากโรงพยาบาลไปตระกูลกู้วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการแต่งงานกู้ฉือหลานแทบจะไม่ค่อยได้กอดซ่งสือเวยบนเตียงอย่างอ่อนโยนเลยแสงแดดอ่อน ๆ และอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกหน้าต่าง ราวกับไม่น่าดึงดูดสักนิดเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเสียงกดกริ่งที่หน้าประตูอย่างรีบเร่งทำลายความเงียบสงบกู้ฉือหลานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครมารบกวนพวกเขาในเวลานี้กันแน่เขาใส่ชุดนอนอย่างลวก ๆ และไปเปิดประตูประตูเพิ่งเปิดออก หมัดของลู่อวิ๋นเซินก็พุ่งผ่านสายลมเข้ามากู้ฉือหลานเอียงตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว แถมกำหมัดของเขาไว้แน่น“นายเป็นบ้าอะไร!”ลู่อวิ๋นเซินมีรอยคล้ำใต้ตา ตรงคางยังมีตอเคราสีดำเข้มอีกนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขาไม่ดูแลตัวเองขนาดนี้น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาสามารถควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแข็งได้“กู้ฉือหลาน นายแย่งเวยเวยไปยังไม่พออีกเหรอ ทำไ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 28

    ภาพฉายคำอวยพรจบลง ต่อมาก็เป็นการถ่ายถอดสดงานแต่งงานที่แท้จริงของซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานในขณะนี้ พวกเขาอยู่ที่ตั้งเดิมของจวนท่านอ๋องในเมืองหลวง และจัดงานแต่งงานแบบจีนเสาแกะสลักและหลังคาทาสีของจวนอ๋องล้วนแขวนผ้าไหมสีแดง เสียงซั่วน่าบรรเลงขึ้น และความสุขของการเฉลิมฉลองก็แพร่กระจายไปยังหัวใจของทุก ๆ คนภายใต้การจ้องมองของทุกคน กู้ฉือหลานสวมชุดแต่งงานแบบโบราณ ขี่ม้ารูปร่างสูงใหญ่ ส่วนด้านหลังก็ตามมาด้วยเกี้ยวเจ้าสาวหลังหนึ่งมาพร้อมกับเสียงตีกลองตีฆ้อง ขบวนแห่รับเจ้าสาวที่อยู่ด้านหลังก็โปรยเหรียญทองคำที่ถูกตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งขนมหวานและลูกอมงานแต่งด้วยคนจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าไปแย่งเหรียญทองคำกับขนมหวานและลูกอม ซ้ำยังกล่าวคำอวยพรอย่างต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน พวกแขกในคฤหาสน์ก็ได้รับเงินตำลึงจีนที่ตีขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ และขนมหวานกับลูกอมต่าง ๆ แล้วความหรูหราของงานแต่งในครั้งนี้ เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้างแล้วลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเห็นกับตาตัวเอง ว่าคนที่อยู่บนหน้าจอหยุดลงตรงปากประตูจวนอ๋องกู้ฉือหลานลงจากม้าด้วยท่าทางที่คล่องแคล่ว และอุ้มซ่งสือเวยออกจาก

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 27

    หากปล่อยไปทั้งแบบนี้ อย่างนั้นความรักที่พวกเขายืนหยัดมานานหลายปีขนาดนี้ ตกลงแล้วนับเป็นอะไร?ความสัมพันธ์ที่ยาวนานยี่สิบกว่าปีนี้ ตกลงมันคืออะไร?หรือว่าความรู้สึกที่ผ่านมานานหลายปี ยังเทียบไม่ได้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันมายี่สิบกว่าวัน?เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนในดวงตาของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพวกเขาพูดกับอีกฝ่ายเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราร่วมมือกันเถอะ ต่อไปค่อยพึ่งพาความสามารถของแต่ละคน!”แทบจะไม่ต้องสื่อสาร พวกเขาก็วางแผนในสิ่งที่ตัวเองต้องทำเรียบร้อยแล้วฉีซื่อไปขอรูปถ่ายที่เหลืออยู่บางส่วนในบ้านจากแม่ฉีกับแม่ลู่ ซึ่งบันทึกเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดยี่สิบกว่าปีของพวกเขาแต่น่าเสียดาย รูปรวมที่เหลืออยู่ภายในบ้านมีไม่มาก และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่งสือเวยเผาไปหมดแล้วรูปที่สามารถหาในบ้านได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปเดี่ยวตั้งแต่ทั้งสองยังเป็นเด็กแม้จะเป็นแบบนี้ พวกเขาก็ถือว่าพึงพอใจแล้วอย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยส่วนลู่อวิ๋นเซินส่งคนเข้าไปในตระกูลกู้ หรือไม่ก็ซื้อตัวคนของตระกูลกู้งานแต่งจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า แต่พวกเขายังมีสิ่งที่ต้องเตรียมอีกมากซ่งสือเวยที่อยู่อีกฝั่งก็ตึ

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 26

    ดวงตาของฉีซื่อแดงก่ำทั้งสองข้าง สองมือกำหมัดแน่น พุ่งเข้าไปต่อยกู้ฉือหลานอย่างมุ่งมั่น“ทำไมถึงเป็นเขา? ฉันไม่ยอมรับหรอก เวยเวย ตราบใดที่เธอไม่อยากแต่ง ฉันก็จะพาเธอหนีงานแต่ง! พวกเราไปต่างประเทศก็ได้ หรือว่าจะกลับไห่เฉิงก็ดี ขอแค่เธอชอบ ล้วนได้ทั้งนั้น!”แต่ทว่ากู้ฉือหลานสามารถหลบหมัดของฉีซื่อได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เอียงหน้าไปเล็กน้อย และปล่อยให้หมัดของฉีซื่อเฉียดใบหน้าของเขาไปบาดแผลไม่ได้รุนแรงอะไร แต่กลับยังคงเหลือรอยแดงเอาไว้“ซี้ด...”กู้ฉือหลานกุมแก้มที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หายใจเข้าเบา ๆ และเจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยวแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ความหล่อของเขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงซ่งสือเวยเห็นเขาได้รับบาดเจ็บก็สงสารจับใจ พยายามดึงมือของเขาเพราะอยากดูบาดแผล“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เจ็บหรอก”กู้ฉือหลานแสร้งยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจเมื่อซ่งสือเวยเห็น กลับยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่เห็นเขาไม่ยอมปล่อยมือ ซ่งสือเวยก็เกิดความไม่พอใจต่อฉีซื่อ และถามด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า“ฉีซื่อ! ทำไมนายถึงต้องลงมือกับเขาด้วย! นายกลายเป็นคนที่หุนหันพลันแล่นและโมโหง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”คำตำหนิเช

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 25

    ซ่งสือเวยกับกู้ฉือหลานจับมือกัน และมองลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่ออย่างระวังตัวเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแบบนี้ ในใจของฉีซื่อก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด“เวยเวย พวกเราเป็นเพื่อนรักสมัยเด็กกันนะ ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนี้ล่ะ”ซ่งสือเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกอย่าง ตอนแรกคนที่เลือกจะละทิ้งความสัมพันธ์หลายปีของพวกเขา ก็คือพวกเขาสองคนไม่ใช่เหรอ?เธอมองพวกเขาอย่างเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยปากอย่างสงบนิ่งว่า“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉัน ฉันยังต้องกลับบ้านอีก มีอะไรอยากจะพูดก็รีบพูดมาเถอะ”เมื่อได้ยิน ฉีซื่อยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่กลับถูกลู่อวิ๋นเซินขัดจังหวะเสียก่อนลู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ตรงหน้าซ่งสือเวย ดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้นมีคำว่าดื้อรั้นเขียนไว้อยู่“เวยเวย ก่อนหน้านี้พวกเราทำไม่ถูก พวกเราไม่ได้ชอบเซี่ยงหานเลย แค่อยากจะใช้เธอเพื่อทำให้เธอหึง แล้วรู้ใจตัวเองว่าชอบใครมากกว่ากัน แต่คิดไม่ถึงว่า…”เขาเล่าถึงจุดจบของเซี่ยงหาน และเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ทำกับซ่งสือเวยแบบนั้นตอนที่ได้ยินว่าเซี่ยงหานคิดจะมาขอให้เธอช่วย ซ่งสือเวยยังรู้สึกต่อต้านอยู่ในใจเล็กน้อยเธอไม

  • ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ   บทที่ 24

    กู้ฉือหลานตั้งใจส่งสัญญาณให้ลูกน้องคลายความระมัดระวังต่อลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ใช่เพราะเขาคลายความระวังตัว แต่เป็นเพราะตั้งใจให้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อใช้โอกาสนี้เข้ามา ถึงจะสามารถทำให้เขาเตรียมตัวรับมือและระมัดระวังไว้ล่วงหน้าได้หลังลูกน้องรับคำสั่ง ก็รีบลงไปดำเนินการเวลานี้ กู้ฉือหลานยังจงใจนำข้อมูลที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะมาเมืองหลวง บอกให้พ่อซ่งและแม่ซ่งได้ทราบ“อะไรนะ? พวกเขาทำกับเวยเวยแบบนั้น แล้วยังจะอยากมาเข้าร่วมงานแต่งงานอีกเหรอ?”เมื่อแม่ซ่งได้ยินข้อมูลนี้ ก็โมโหจนทนไม่ไหวหากเป็นเมื่อก่อน เธอยังชมลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อไม่ขาดปากถึงขนาดปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนลูกเขยจริงๆ ด้วยซ้ำแต่พวกเขาไม่ควรแม้แต่จะเอาชีวิตของเวยเวยมาล้อเล่น!ตอนที่เซี่ยงหานทำร้ายเวยเวย เวยเวยจะทรมานมากแค่ไหนกัน?ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างกายกันมาตั้งแต่เล็กจนโต กลับเลือกทำสีหน้าบึ้งตึงและส่งดอกไม้ให้ผู้หญิงอีกคนแม้พวกเขาจะจงใจใช้วิธีนี้เพื่อให้เวยเวยคิดให้ชัดเจนว่าตกลงในใจรักใครกันแน่ แม่ซ่งก็ไม่อนุญาต เวลานี้ แม่ซ่งแค่รู้สึกโชคดี โชคดีที่คุณปู่ซ่งเลือกการแต่งงานที่ดีแบบนี้ให้เ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status