Short
ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ

ไม่จำเป็นต้องเฝ้าคะนึงหาในช่วงชีวิตที่เหลือ

โดย:  ชอบกินหมั่นโถวจบแล้ว
ภาษา: Thai
goodnovel4goodnovel
29บท
349views
อ่าน
เพิ่มลงในห้องสมุด

แชร์:  

รายงาน
ภาพรวม
แค็ตตาล็อก
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป

“เวยเวย ในครอบครัวช่วยลูกจัดเตรียมเรื่องการแต่งงานมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนนี้ลูกก็ใกล้จะหายป่วยแล้วด้วย ลูกเต็มใจจะกลับมาแต่งงานที่เมืองหลวงไหม?” “ถ้าไม่เต็มใจ แม่จะไปคุยกับพ่อของลูก ให้ยกเลิกเรื่องงานแต่งครั้งนี้” ในห้องเงียบสนิท ซ่งสือเวยทำได้เพียงฟังเสียงอีกฝ่ายเงียบ ๆ ขณะที่ปลายสายคิดว่าครั้งนี้ก็คงไม่อาจโน้มน้าวเธอได้ เธอก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “หนูเต็มใจจะกลับไปแต่งงานค่ะ” แม่ซ่งที่อยู่ปลายสายถึงกับชะงัก ดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย “ลูก ลูกตกลงแล้วเหรอ?” ซ่งสือเวยมีน้ำเสียงราบเรียบ “ตกลงค่ะ แต่หนูยังต้องการเวลาอีกนิดหน่อยเพื่อจัดการเรื่องทางฝั่งไห่เฉิงให้เรียบร้อย หนูจะกลับไปภายในครึ่งเดือน แม่ก็เตรียมงานแต่งให้เรียบร้อยก่อนเถอะค่ะ” หลังพูดจบก็กำชับอีกสองสามประโยค เธอจึงวางสาย

ดูเพิ่มเติม

บทที่ 1

บทที่ 1

ทันทีที่วางสาย เสียงดนตรีจากชั้นล่างก็ดังขึ้นมา เมื่อลองฟังดู ก็ยังได้ยินเสียงคนร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดด้วย

นี่คืองานเลี้ยงวันเกิดที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจัดเพื่อเซี่ยงหาน

ทันใดนั้นข้างนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเซี่ยงหานถือเค้กแบล็คฟอเรสต์ก้อนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มตั้งแต่เมื่อไร

ดวงตาคู่หนึ่งที่ราวกับลูกกวางกะพริบหลายครั้ง บนใบหน้าอันงดงามแต่งหน้าอย่างประณีต และมีรอยครีมสองสามรอยที่เด่นชัดอยู่ “พี่เวยเวย ลงไปเล่นด้วยกันกับฉันเถอะนะ?”

ซ่งสือเวยมองความเสแสร้งภายใต้ใบหน้าของเธอออกอย่างชัดเจน น้ำเสียงเย็นชา “ฉันยังมีงานต้องทำ คงไม่ไปหรอก พวกเธอเล่นกันให้สนุกเถอะ”

แทบจะในทันที ในเบ้าตาของเซี่ยงหานก็เต็มไปด้วยน้ำตา “พี่เวยเวย พี่ไม่ชอบฉันใช่ไหม ถึงได้บอกปัดแบบนี้?”

ซ่งสือเวยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ตนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอกลับทำท่าทางราวกับตนไปรังแกเธอเพื่ออะไรกัน

เธอยิ้มเยาะในใจ ไม่คิดจะฟังคำพูดที่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาของอีกฝ่ายต่อ “การแสดงพวกนี้เธอเก็บไว้ให้พวกลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อดูเถอะ มันไม่มีประโยชน์กับฉันหรอก”

ทันทีที่พูดจบ เธอก็กำลังจะปิดประตู

“พี่เวยเวย อย่า...”

จู่ ๆ เซี่ยงหานก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ขวางบนกรอบประตู

นี่ทำให้จังหวะที่ประตูปิดลง ทั้งมือของเธอถูกหนีบอย่างแรง

หลังมือขาวนวลกลายเป็นสีม่วงทันที

“โอ๊ย!”

ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อขึ้นมาที่ชั้นบนพอดี ก็เห็นฉากนี้เข้า

ชายทั้งสองแทบจะพุ่งเข้ามาพร้อมกัน โอบเซี่ยงหานไว้ในอ้อมแขน ประคองมือเธอไว้อย่างปวดใจ ขณะที่มองอย่างละเอียด

เมื่อเห็นบาดแผลบนหลังมือของเซี่ยงหาน ฉีซื่อก็ปวดใจจนหางตาแดง

เขาเป็นคนนิสัยหุนหันพลันแล่น จึงต่อว่าซ่งสือเวยตรง ๆ “เธอไม่ชอบเซี่ยงหานก็แล้วไปเถอะ ทำไมต้องทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนี้ด้วย ซ่งสือเวย เธอกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

ลู่อวิ๋นเซินมีนิสัยใจเย็น แต่ตอนนี้เมื่อมองซ่งสือเวย ในดวงตาล้ำลึกทั้งสองข้างก็มีความผิดหวังแฝงอยู่

“เวยเวย วันนี้เป็นวันเกิดของเซี่ยงหาน เธอไม่ควรทำเกินไปแบบนี้”

ทว่าเมื่อก้มลงมามองเซี่ยงหาน ก็เปลี่ยนน้ำเสียงโดยพลัน

“เสี่ยวหาน ยังเจ็บอยู่ไหม? ฉันจะพาเธอไปทายานะ”

เมื่อเห็นลู่อวิ๋นเซินจูงเซี่ยงหานจากไป ฉีซื่อก็ไล่ตามเซี่ยงหานไปด้วย ทั้งยังรีบปลอบโยนเธอ “เสี่ยวหาน เธออย่าเศร้าไปเลยนะ ฉันจะให้รถสปอร์ตคันใหม่ที่ฉันได้มากับเธอ รอหลังจบงานเลี้ยง ฉันจะพาเธอไปนั่งรถเล่น พอได้นั่งรถชมวิวก็จะอารมณ์ดีเอง!”

หลังจากถูกชายทั้งสองคนพากันปลอบโยนด้วยความรัก สุดท้ายเซี่ยงหานก็หยุดร้องไห้ มีเพียงน้ำเสียงที่ยังสะอื้นอยู่เล็กน้อย “ขอบคุณนะอวิ๋นเซิน”

หลังจากพูดขอบคุณลู่อวิ๋นเซิน เธอก็หันมามองฉีซื่อ และพูดโน้มน้าวทั้งน้ำตา “อาซื่อ นายอย่าไปแข่งรถเลยนะ การแข่งรถมันอันตราย ฉันเป็นห่วง”

เห็นเซี่ยงหานเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นยิ้มออกมา ฉีซื่อก็รับปากอย่างร้อนรน “ได้ ๆ ๆ บรรพบุรุษครับ ขอแค่เธอมีความสุข เธอจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”

มองแผ่นหลังของพวกเขาลงไปชั้นล่าง ซ่งสือเวยยืนอยู่ที่ประตู และรู้สึกราวกับฝันไปชั่วขณะหนึ่ง

จำได้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว คนที่ยืนอยู่ระหว่างลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อ ยังเป็นตนอยู่เลย

เธอป่วยและร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเป็นโรคหอบหืด ที่เมืองหลวงดันอากาศชื้นและมีฝนตกบ่อย จึงไม่เหมาะกับการฟื้นตัวของเธอ

เมื่ออายุได้ห้าปี เธอก็ถูกพ่อแม่ส่งจากเมืองหลวงมายังเมืองไห่เฉิงซึ่งทั้งสี่ฤดูราวกับฤดูใบไม้ผลิ และถูกรับมาดูแลพักฟื้นกับอาที่เป็นหมอ

ในตอนนั้นเอง ซ่งสือเวยได้รู้จักกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อซึ่งอาศัยอยู่ข้างบ้านของอา

พวกเขาสามคนเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เป็นเพื่อนเล่นในวัยเยาว์

ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเธอ ทั้งสองคนก็ตกหลุมรัก และคอยอยู่ข้างกายเธอทุกเมื่อเชื่อวัน กลายเป็นอัศวินที่ปกป้องเธอ

ตอนยังเด็ก พวกเขาไปรับไปส่งเธอที่โรงเรียนทุกวัน ซื้อของอาหารเช้ากับนมวัวให้เธอทุกเช้า ฉีกจดหมายรักทั้งหมดที่เธอได้รับ ไม่อนุญาตให้ผู้ชายคนไหนเข้ามาใกล้เธอแม้แต่ก้าวเดียว

เมื่อโตขึ้น พวกเขาคนหนึ่งได้สืบทอดธุรกิจครอบครัวกลายเป็นประธานบริษัท อีกคนหนึ่งก็กลายเป็นนักแข่งรถซึ่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ทั้งสองคนงานยุ่งมาก แต่กลับซื้อบ้านทั้งสองหลังข้างซ่งสือเวย หลังจากเวลาผ่านไปก็ยังอยู่ด้วยกันกับเธอ และทุกวันก็จะต้องกลับมาทำอาหารให้เธอ

แม้ว่าอาการป่วยของซ่งสือเวยจะเกือบหายดีแล้ว และครอบครัวก็ยังเร่งเร้าให้เธอกลับเมืองหลวง แต่พวกเขาก็ยังพากันอ้อนวอนเธอด้วยเบ้าตาแดงก่ำ ขอให้เธออย่าไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็จะทิ้งทุกอย่างและไปกับเธอด้วย

พวกเขาพูดเสมอว่า เวยเวยอยู่ที่ไหน พวกเขาก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

เป็นเพราะพวกเขา ทำให้แม้อาการป่วยของซ่งสือเวยจะทรงตัวแล้ว ก็ยังไม่ได้รีบกลับเมืองหลวง

แต่หลังจากเซี่ยงหานปรากฏตัว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

เซี่ยงหานเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ซ่งสือเวยพามา

วันแรกที่เพิ่งเข้ามาในบริษัท เธอขี้อาย ไม่ยอมลงไปกินข้าวกลางวันด้วยกันกับทุกคน หลังจากนั้นทุกวันก็เป็นเช่นนี้เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งซ่งสือเวยบังเอิญชนเธอที่กำลังกินหมั่นโถวกับผักดองอยู่ที่มุมคนเดียว เมื่อสอบถามจึงได้รู้ว่าเธอสอบจากหมู่บ้านบนภูเขาเข้ามาในเมืองใหญ่ ที่บ้านมีฐานะยากจน สิ่งที่สามารถประหยัดได้ก็ต้องประหยัด

ซ่งสือเวยเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซ่ง ตั้งแต่เด็กก็เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของตระกูลที่สมบูรณ์ เมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้ จึงรู้สึกสงสารเธอขึ้นมา และดูแลเธอในทุกเรื่องอย่างใจกว้างมาโดยตลอด

บางครั้งตอนที่กินข้าวกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อ ก็พาเธอไปด้วย

เป็นเพราะเหตุนี้เอง เซี่ยงหานจึงได้รู้จักกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อ

ลู่อวิ๋นเซินมีนิสัยเย็นชา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่วุ่นวายแบบนี้มาก่อน แต่วันนี้เขากลับสร้างข้อยกเว้นเพื่อเซี่ยงหาน

ฉีซื่อมองว่าการแข่งรถคือชีวิต ไม่ว่าใครก็ไม่อาจโน้มน้าวเขาไว้ แต่ตอนนี้ เซี่ยงหานแค่พูดง่าย ๆ เพียงหนึ่งประโยค ก็สามารถทำให้เขาล้มเลิกได้

เรื่องแบบนี้ ในหนึ่งเดือนมานี้เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เมื่อก่อนพวกเขาไม่เคยปกปิดความชอบที่มีต่อซ่งสือเวย ทั้งยังสร้างสถานการณ์จากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อบังคับให้ซ่งสือเวยเลือกหนึ่งในพวกเขา

ซ่งสือเวยก็หวั่นไหวกับพวกเขาจริง ๆ และคิดจะเลือกหนึ่งในพวกเขามาคบหาด้วย

แต่ตอนนี้ การยอมรับเรื่องการแต่งงานที่ครอบครัวจัดเตรียมให้ ก็ดูเหมือนจะไม่เลวเช่นกัน

ซ่งสือเวยเม้มริมฝีปาก ก่อนตั้งเวลานับถอยหลังสำหรับการไปจากที่นี่ในโทรศัพท์

นับจากนี้ไป เธอจะไม่ไปรบกวนพวกเขาสามคนอีกแล้ว
แสดง
บทถัดไป
ดาวน์โหลด

บทล่าสุด

บทอื่นๆ

ความคิดเห็น

ไม่มีความคิดเห็น
29
บทที่ 1
ทันทีที่วางสาย เสียงดนตรีจากชั้นล่างก็ดังขึ้นมา เมื่อลองฟังดู ก็ยังได้ยินเสียงคนร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดด้วยนี่คืองานเลี้ยงวันเกิดที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจัดเพื่อเซี่ยงหานทันใดนั้นข้างนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเซี่ยงหานถือเค้กแบล็คฟอเรสต์ก้อนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มตั้งแต่เมื่อไรดวงตาคู่หนึ่งที่ราวกับลูกกวางกะพริบหลายครั้ง บนใบหน้าอันงดงามแต่งหน้าอย่างประณีต และมีรอยครีมสองสามรอยที่เด่นชัดอยู่ “พี่เวยเวย ลงไปเล่นด้วยกันกับฉันเถอะนะ?”ซ่งสือเวยมองความเสแสร้งภายใต้ใบหน้าของเธอออกอย่างชัดเจน น้ำเสียงเย็นชา “ฉันยังมีงานต้องทำ คงไม่ไปหรอก พวกเธอเล่นกันให้สนุกเถอะ”แทบจะในทันที ในเบ้าตาของเซี่ยงหานก็เต็มไปด้วยน้ำตา “พี่เวยเวย พี่ไม่ชอบฉันใช่ไหม ถึงได้บอกปัดแบบนี้?”ซ่งสือเวยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ตนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เธอกลับทำท่าทางราวกับตนไปรังแกเธอเพื่ออะไรกันเธอยิ้มเยาะในใจ ไม่คิดจะฟังคำพูดที่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาของอีกฝ่ายต่อ “การแสดงพวกนี้เธอเก็บไว้ให้พวกลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อดูเถอะ มันไม่มีประโยชน์กับฉันหรอก”ทันทีที่พูดจบ เธอก็กำลังจะปิดประตู“พี่เวย
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 2
ซ่งสือเวยปิดประตู ใส่ที่อุดหู ไม่อยากฟังเสียงครึกครื้นด้านนอกอีกในเมื่อเธอตัดสินใจกลับไปแต่งงาน งานที่นี่ก็ต้องลาออก แต่เธอก็ยังอยากทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จ เพื่อพยายามไม่สร้างปัญหาให้คนอื่นเธอนั่งอยู่หน้าหน้าต่างที่สูงจากเพดานจรดพื้น จัดการงานที่เหลืออยู่เพียงลำพังดวงอาทิตย์นอกหน้าต่างลับขอบฟ้า ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลงซ่งสือเวยถอดที่อุดหูออก ยืนขึ้นขยับร่างกาย ทำงานอยู่นานขนาดนี้ ในที่สุดงานก็เสร็จแล้วที่ชั้นล่างเงียบสนิทแล้วเธอเปิดโทรศัพท์ตามความเคยชิน เพื่อผ่อนคลายทันใดนั้นเองก็มีข้อความจากเซี่ยงหานปรากฏขึ้น ซ่งสือเวยกดเข้าไปตามสัญชาตญาณ‘ทำไมนายไม่กดไลก์โพสต์ของฉัน?’ข้อความนี้เพิ่งส่งมาได้แค่หนึ่งนาที เธอก็ส่งมาอีกข้อความหนึ่ง‘ขอโทษ พี่เวยเวย ฉันส่งผิด พี่อย่าโกรธฉันเลยนะ?’ซ่งสือเวยเปิดไทม์ไลน์ของเธอ อยากเห็นว่าตกลงเธอโพสต์อะไรสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือภาพตารางเก้าช่องในภาพล้วนเป็นของขวัญที่ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อมอบให้ชุดกระโปรงเจ้าหญิงสีชมพูฟูฟ่องแสนงดงามตัวหนึ่ง ราวกับก้อนเมฆสีชมพูก้อนหนึ่งเพื่อให้เข้ากับชุดกระโปรง ลู่อวิ๋นเซินยังมอบรองเท้าส้นสูงคริสตัล
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 3
มองผู้ชายสองคนตรงหน้าที่กำลังตึงเครียด เธอก็พูดอย่างสงบนิ่ง “ก็แค่รูปถ่าย เอาไว้ถ่ายใหม่ก็ได้”“เผาจนหมดเกลี้ยงขนาดนี้แล้ว ก็ทำได้แค่ถ่ายใหม่ทีหลังเท่านั้น พวกเราก็ไม่ได้ไปเที่ยวกันนานมากแล้วด้วย”ลู่อวิ๋นเซินยอมถอยมาเสนอตัวเลือกที่ดีที่สุด ฉีซื่อรีบเสริมว่า “ตอนไปครั้งนี้ ก็พาเสี่ยวหานไปด้วย เธอบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยไปเที่ยวเลย”ได้ยินคำพูดนี้ของฉีซื่อ ซ่งสือเวยก็หัวเราะเยาะตัวเองขึ้นมาครั้งหนึ่งลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อคิดแค่ว่าเธอเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพวกเขากำลังจะเดินไป ทว่ากลับเห็นกล่องหลายใบในห้องนั่งเล่น ซึ่งตอนเช้าตอนออกไปข้างนอกยังไม่มีเลย“นี่คืออะไร?” ทั้งสองคนถามขึ้นมาพร้อมกันซ่งสือเวยเหลือบมอง “อ๋อ ฉันลาออกแล้ว ก็เลยวางแผนจะเปลี่ยนงาน”ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเธอชอบงานนี้มากหรือ?ความสงสัยแบบเดียวกันปรากฏขึ้นในใจของทั้งสองคนวันนี้ซ่งสือเวยแปลกมาก แม้จะอธิบายไม่ถูก แต่ในใจของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็รู้สึกสับสนขึ้นมาบ้างฉีซื่อขยับริมฝีปาก คิดจะถามมากขึ้น ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นทำลายความเงียบลู่อวิ๋นเซินรับโทรศัพท์ ปลายสายมีน้ำเสียงร
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 4
เธอถือถ้วยรางวัล บนใบหน้าไม่ได้มีความรู้สึกยินดีต่อซ่งสือเวย ทั้งยังไม่คิดจะส่งถ้วยรางวัลให้ซ่งสือเวย กลับกัดริมฝีปาก และพูดอย่างน่าสงสาร“พี่เวยเวย ผู้อำนวยการให้ฉันเอาถ้วยรางวัลมาให้พี่ รางวัลนี้ทรงเกียรติมาก พี่เก่งมากเลย”“ฉันอยากพูดเรื่องหน้าไม่อายกับพี่สักเรื่องหนึ่ง ฉันไม่เคยได้รับรางวัลนี้มาก่อน รางวัลนี้ให้ฉันยืมสักสองสามวันได้ไหม?”ให้เธอยืมสองสามวันหรือ?เป็นครั้งแรกที่ซ่งสือเวยได้ยินคำขอไร้สาระแบบนี้เธอขมวดคิ้ว พูดด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ในเมื่อรู้ว่าหน้าไม่อาย งั้นก็อย่าขอเรื่องแบบนี้ ถ้าเธอชอบจริง ๆ ก็ไปร่วมการแข่งขันด้วยตัวเองสิ”พูดจบ เธอก็ยื่นมือออกไปต้องการจะหยิบถ้วยรางวัลจากในอ้อมแขนของเซี่ยงหานคิดไม่ถึงว่าท่าทีของซ่งสือเวยจะแข็งกร้าวแบบนี้ บนใบหน้าของเซี่ยงหานซีดเซียว ท่าทางเหมือนถูกรังแก “พี่เวยเวย ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะ ฉันไม่ได้ต้องการของของพี่ ก็แค่อยากเอามาวางไว้เป็นแรงบันดาลใจที่บ้านไม่ได้เหรอ?”เมื่อเห็นซ่งสือเวยยื่นมือออกมาหยิบ เซี่ยงหานก็กอดถ้วยรางวัลในอ้อมแขนไว้แน่นขึ้น โดยไม่ยอมปล่อยมือเพราะการยื้อแย่งของทั้งสองคน ในที่สุดถ้วยรางวัลคริสตั
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 5
โทรศัพท์ในมือของซ่งสือเวยวางสายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบเธอสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่ง จึงเพิ่งพูดว่า “เพื่อนสนิทของฉันกำลังจะแต่งงาน ทำไม พวกนายอยากไปร่วมงานด้วยเหรอ?”ตอนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเย็นชากับเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้รอจนเธอกลับเมืองหลวง พวกเขาก็จะไม่ได้เจอหน้ากันอีก และจะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนกันด้วยซ้ำไม่จำเป็นต้องบอกความจริงกับพวกเขา เรื่องที่เธอต้องกลับไปแต่งงานที่เมืองหลวงเมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเธอ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็สบตากันโดยไม่รู้ตัว และต่างรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยตามสัญชาตญาณทว่าทั้งสองคนก็ยังไม่ได้คิดมากนัก เพียงแค่พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่ เธอไปเองเถอะ ฉันมีงานที่บริษัท”พูดจบ ก็ราวกับยังโกรธที่วันนี้เธอทำให้เซี่ยงหานบาดเจ็บ ลู่อวิ๋นเซินหยิบเอกสารไปที่ห้องหนังสือด้วยท่าทีเย็นชาฉีซื่อก็พูดด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “วันนี้ที่ผิวของเสี่ยวหานถูกบาดทั้งหมดเป็นเพราะเธอ ทางที่ดีเธอควรไปขอโทษอีกฝ่ายสักครั้ง ไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่สนใจจะไปงานแต่งอะไรกับเธอหรอก”พูดจบ เขาก็สาวเท้ายาวเดินไปที่ห้องทำงานของตัวเองเช่นกันซ่งสือเวยยิ้มเยาะตัวเองโดยที่ไม่ได้พูดอะไรวันร
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 6
ซ่งสือเวยฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาอย่างยากลำบาก เธอพิงกำแพง ถือยาไว้ในมือแน่น ขณะที่ปิดหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้สูดเกสรดอกไม้เข้าไปอีกครั้งยังไม่ทันได้มีเวลาพักหายใจเพียงชั่วครู่ หูก็ได้ยืนเสียงซักไซ้ของลู่อวิ๋นเซิน“เธอเพ่งเล็งเซี่ยงหานขนาดนี้เลยเหรอ ดอกไม้พวกนี้ที่เซี่ยงหานเพิ่งให้พวกเรา เธอต้องทำลายมันด้วยเหรอ!”เสียงโกรธเกรี้ยวของฉีซื่อดังตามมา“ซ่งสือเวย ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เธอไร้เหตุผลมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ได้!”ได้ยินแบบนี้ ซ่งสือเวยก็สูดหายใจเข้าลึกเธอตัวสั่นไปทั้งร่าง ทั้งยังโกรธมาก มีความเดือดดาลมากมายที่อยากระบายออกมา แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นเพียงสะอื้นประโยคหนึ่งขณะที่เบ้าตาแดงก่ำ“ฉันเปลี่ยนไปเหรอ? เป็นฉันที่เปลี่ยนไป หรือพวกนายที่เปลี่ยนไปกันแน่”“ฉันเป็นโรคหอบหืด ทั้งยังแพ้เกสรดอกไม้ด้วย พวกนายไม่รู้เหรอ?”น้ำเสียงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงทว่าแต่ละคำล้วนราวกับเสียงฟ้าผ่า ซึ่งระเบิดเข้าหูของลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อเมื่อก่อนพวกเขากังวลเรื่องซ่งสือเวยมากที่สุดทุกครั้งที่ซ่งสือเวยมีอาการหอบหืด ก็เป็นทั้งสองคนนี้ที่เป็นห่วงมากที่สุด ต่อให้ต้องปีนก
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 7
ในที่สุดก็จัดการเรื่องบ้านเรียบร้อย ซ่งสือเวยจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกความกดดันบนตัวหายไปมากในทันทีขณะที่เซ็นสัญญา ซ่งสือเวยก็สังเกตเห็นว่า วันนั้นที่จัดการขั้นตอนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ เป็นวันที่เธอออกเดินทางพอดีเป็นแบบนี้ก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องอธิบายกับลู่อวิ๋นเซินและฉีซื่อทันทีที่เซ็นชื่อของตัวเอง ทั้งร่างของเธอก็ผ่อนคลายอีกไม่นาน ทุกอย่างก็จะจบลงแล้วตอนนี้เหลือเพียงเรื่องสุดท้ายเท่านั้นเธอไปที่ห้องสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เลือกอย่างพิถีพิถัน ซื้อเครื่องนวดกับสร้อยข้อมือหยกคู่หนึ่ง และไปที่บ้านของคุณป้าทันทีที่เข้าไป ป้าซ่งก็รีบเข้ากอดซ่งสือเวยไว้ในอ้อมแขน“เวยเวย ป้าไม่อยากให้หนูไปเลยจริง ๆ หนูอยู่ที่ไห่เฉิงมาหลายปีขนาดนี้ ป้ามองหนูเหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง ถ้าหนูไปแบบนี้ ป้าคงไม่ชินจริงๆ”ป้าซ่งเช็ดน้ำตา จับมือซ่งสือเวยแน่นไม่ยอมปล่อยซ่งสือเวยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบจมูกขึ้นมาบ้าง ขณะที่ฝืนยิ้มและปลอบใจป้าซ่ง “ป้าคะ หนูก็ไม่อยากไปจากป้าเหมือนกัน แต่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว เครื่องบินกับรถไฟฟ้าความเร็วสูงก็สะดวกมาก วันตรุษจีนก็ยังมาเจอกันได้นะคะ”ป้า
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 8
ซ่งสือเวยหันกลับไป เมื่อทั้งสองคนยืนยันได้แล้วว่าเธอไม่ได้โกรธ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกลู่อวิ๋นเซินก้าวไปข้างหน้า คว้ามือเธอไว้ “เธอไม่ต้องเก็บกระเป๋าเดินทางหรอก มันทั้งเยอะและเหนื่อยเกินไป ถึงเวลาฉันจะเรียกคนขับรถที่บ้านฉันมา แล้วพวกเราค่อยบ้านไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกัน”ฉีซื่อก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกันในตอนนี้ ซ่งสือเวยราวกับเห็นแววตาของพวกเขาที่เคยมีเพียงเธอเหมือนในอดีตจำได้ว่าตอนยังเด็ก ต่างฝ่ายต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันทั้งวันแต่ตอนนี้ คำสัญญาในวัยเด็กสุดท้ายก็กลายเป็นคำโกหกซ่งสือเวยเหลือบมองเซี่ยงหาน พลางส่ายศีรษะ “ไม่ต้องหรอก มีของมากมายที่ฉันต้องไปจัดการ”พูดจบ ก็ไม่สนใจท่าทีของทั้งสองคน เธอหันหลังเดินจากไปหลังกลับมาที่บ้าน เธอก็เก็บกระเป๋าเดินทางครู่หนึ่ง ก่อนจะอาบน้ำ ขณะที่เพิ่งล้มตัวลงนอน จู่ ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จากเซี่ยงหานเสียงนุ่มนวลของเธอส่งผ่านมาช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจที่ปิดไม่มิด“พี่เวยเวย เย็นนี้ฉันไปที่ตระกูลลู่กับตระกูลฉีมา พ่อแม่ของอวิ๋นเซินกับอาซื่อดีต่อฉันมากเลย”“พ่อแม่ของพวกเขายังเอาสมบัติสืบทอดประจำตระกูลออกมา บอกว่าจะให้ฉันด้วย พี่ว่า
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 9
พูดจบ ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็พาเซี่ยงหานไปนั่งลงโต๊ะข้าง ๆ ซ่งสือเวยชายหนุ่มทั้งสองแย่งกันตักอาหารให้เซี่ยงหาน ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูเฉียวมู่เห็นฉากนี้ก็โกรธจนแทงสเต๊กเละ แต่ซ่งสือเวยยังคงมีท่าทีเฉยเมย เฉียวมู่จึงทำได้เพียงอดทนโดยไม่ได้พูดอะไรผ่านไปไม่นาน หลังจากทั้งสองคนกินเสร็จก็แยกย้ายกันจากนั้นซ่งสือเวยก็บอกลาเฉียวมู่อีกครั้งแล้วกลับบ้านคืนนี้ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อก็ยังไม่กลับบ้านซ่งสือเวยก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน เธอยุ่งอยู่กับการจัดสัมภาระส่วนสุดท้ายตอนเช้าเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ก็รู้ว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อกลับบ้านแล้วพวกเขาก็ควรกลับมาได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นวันที่ต้องย้ายไปบ้านใหม่เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า บ้านใหม่ของพวกเขาและในอนาคตของพวกเขาจะไม่มีเธออีกแล้วเสียงรบกวนด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ คิดว่าคงกำลังย้ายสัมภาระ ซ่งสือเวยไม่สนใจจะฟัง หลังจากตรวจสอบสัมภาระทั้งหมดแล้ว แม่ซ่งก็โทรมาเมื่อรับสาย น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่ซ่งก็ดังขึ้น“เวยเวย เที่ยวบินกี่โมง พวกแม่จะไปรับที่สนามบิน”ซ่งสือเวยเปิดแอปพลิเคชันดูตั๋วเครื่องบินครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงเบา
อ่านเพิ่มเติม
บทที่ 10
ซ่งสือเวยขึ้นเครื่องบินโดยไม่หันกลับมา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อจะเป็นอย่างไรขณะที่เครื่องบินขึ้น เธอก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทว่าในวิลล่าริมอ่าวทะเลสาบที่ไห่เฉิง กลับมีบรรยากาศกดดันจนน่ากลัวผ่านไปสามชั่วโมงแล้ว ลู่อวิ๋นเซินกับฉีซื่อพาเซี่ยงหานมาที่วิลล่าริมอ่าวทะเลสาบ แต่ผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นเงาของซ่งสือเวยในวิลล่ามีเพียงสัมภาระของพวกเขาทั้งสามคน แต่กลับไม่เห็นร่องรอยสัมภาระของซ่งสือเวยเลยลู่อวิ๋นเซินตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเรื่องที่ยากจะคาดเดาบางอย่างกำลังเกิดขึ้นฉีซื่อซึ่งนั่งอยู่บนโซฟา มีสีหน้าไม่น่ามองอย่างน่าประหลาดเช่นกันเซี่ยงหานที่รู้เรื่องอยู่แก่ใจ กลับไม่คิดจะพูดอะไรเมื่อเห็นทั้งสองคนยังคงเงียบ เธอก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน“พี่เวยเวยอาจจะยังเก็บของไม่เสร็จ ทำไมพวกเราไม่ให้คนจัดของก่อนล่ะ ไม่ใช่บอกว่าเย็นนี้จะกินข้าวด้วยกันเหรอ พี่เวยเวยไม่มีทางลืมแน่นอน”แม้ลู่อวิ๋นเซินจะพยักหน้าเห็นด้วย แต่ในใจกลับไม่สบายใจเขาไม่ได้ขยับตัวอยู่นาน ทว่าในใจกลับเร่งเร้าให้เขาออกไปข้างนอกฉีซื่อมองบนโทรศัพท์ซึ่งเป็นสีแดงเหมือนกับลู่อ
อ่านเพิ่มเติม
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status