LOGINดวงตาดอกท้อเบิกโพลง สะดุ้งตัวขึ้นมานั่ง ร่างเล็กของไป๋ลี่เฟยหอบหายใจอยู่บนเตียงกว้าง เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามกรอบหน้า นางก้มลงมองร่างของตนเอง ควานหาคันฉ่องเล็กที่มักเก็บไว้ข้างหมอน
ยังไม่ตายจริงด้วย!
เมื่อตั้งสติไปประมาณหนึ่งไป๋ลี่เฟยจึงเริ่มสูดหายใจเข้าออกยาวๆ เพื่อให้ใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี้สงบลง ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่กรอบหน้าก็ต้องตกใจอีกครั้ง เพราะยามที่ลากมือผ่านหน้าผากมีแสงสีม่วงลวดวายดั่งไม้ใหญ่ที่เคยพบเมื่อครั้งแรกที่ไปยังภพประหลาดนั้น
แปลว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง แล้วข้ากลับมาที่ช่วงเวลาใดกัน…ใบหน้าเช่นนี้คงไม่เกินสิบสามปีเป็นแน่
ไม่นานเกินรอบ่าวประจำตัวที่ได้ยินเสียงนางขยับเขยื้อนก็ยกน้ำเข้ามาเตรียมรอให้ไป๋ลี่เฟยล้างหน้าบ้วนปาก
“คุณหนูตื่นเร็วนัก วันนี้ต้องไปวัดระดับพลัง เหตุใดจึงไม่นอนเอาแรงอีกเสียหน่อยเจ้าคะ” จูจูข้ารับใช้คนสนิทเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ส่งให้ลี่เฟยรู้ว่ายามนี้นางมีอายุสิบสองปี
“อาจเป็นเพราะข้าตื่นเต้นเกินไป เป็นสตรีชั้นสูงพลังไม่มากก็ไม่เป็นอันใดหรอกจูจู” คุณหนูไป๋ภายนอกดูพูดจาเจือความขบขัน แต่ภายในใจนั้นกำลังนึกถึงซินหยาน
น้องสาวต่างมารดาผู้ที่แม้พลังจะกลางๆ แต่ก็ดึงความสนใจของคู่หมั้นของนางไปได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้เปิดหูเปิดตาไป๋ลี่เฟยแล้วว่าการได้รับความรักมาไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด หรือเพียบพร้อมที่สุดแม้สักนิด
ไป๋ลี่เฟยคิดอย่างจนใจเพราะหากจะฉุดชะตาขององค์ชายสามอย่างที่ตั้งใจไว้ ย่อมเท่ากับว่านางอาจต้องทำร้ายซินหยานทางอ้อม แต่เมื่อนึกถึงภาพที่เขาใช้เท้าเขี่ยตัวนางที่ล้มพับลงไปเช่นนั้น ความโกรธก็ปะทุขึ้นมาจนเส้นโลหิตร้อนรุ่มขึ้นมาอีกครา
หากรักกันจริง แม้หมดโชควาสนาก็ต้องพร้อมฟันฝ่า จ้าวหลงไฉ่จะไม่มีวันได้สิ่งที่มันต้องการอีก!!
“จูจูเตรียมอาภรณ์สีกลีบเหลียนฮวาให้ข้าด้วย” นางหันไปสั่งบ่าว ก่อนจะบรรจงผัดหน้าให้สลัดความจืดชืดทิ้งไป เพราะนักแสดงที่เล่นเป็นนางจืดชืดเสียจนลี่เฟยเก็บเอามากังวล แต่นางก็ยังออมมือเพื่อคงความสดใสตามวัยที่ควรจะเป็นอยู่ เพียงแค่ใช้สีเข้มอ่อนตามจุดต่างๆ ของใบหน้าเพื่อเพิ่มมิติตามที่มีมี่เคยสอนยามว่าง
หลังตรวจสอบใบหน้า ทรงผมและอาภรณ์จนพร้อม ไป๋ลี่เฟยก็เดินไปยังเรือนของบิดาที่มีไป๋ซินหยานยืนรอกับท่านพ่อและแม่รองอยู่ก่อนแล้ว แม้จะบอกว่าไป๋ซินหยานเป็นน้องแต่เหตุที่ตัวนางและน้องรองผู้นี้ ถึงคราวทดสอบพลังพร้อมกันเป็นเพราะฮูหยินใหญ่ และฮูหยินรอง คลอดบุตรในช่วงเวลาห่สงกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
“คาระวะท่านพ่อ คาระวะแม่รองเจ้าค่ะ ท่านแม่ของข้าเล่าไปไหนเสียแล้ว” ไป๋ลี่เฟยที่ไม่เห็นมารดาของตนจึงร้องถาม ชาติแรกท่านแม่ของนางยืนรออยู่ก่อนมิได้หายไปเช่นนี้
“แม่เจ้าฝันเลวร้าย ทำให้ออกมาช้าเสียหน่อย” ท่านพ่อของนางตอบด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย
ลี่เฟยพยักหน้ารับไม่ได้กดดันถามรายละเอียดต่อ จึงไม่ได้รู้เลยว่าความฝันของมารดาคือเรื่องราวที่ไป๋ลี่เฟยพบเจอมาในชาติเดิม
.
.
.
คนสกุลไป๋เดินทางออกมาพร้อมกันทั้งหมดสี่รถม้าด้วยกัน บรรดาพี่ชาย และน้องสาวน้องชายที่เหลือต่างอยากมาดูไป๋ลี่เฟยและไป๋ซินหยานทดสอบพลัง
ชาติก่อนนางขึ้นไปทดสอบก่อน เมื่อพลังออกมาในขั้นที่สูงที่สุดในบรรดาผู้ทดสอบหญิง จึงทำให้ซินหยานที่ทดสอบตามหลังไม่ได้รับความสนใจ
ลี่เฟยรู้ว่าเหตุหนึ่งที่องค์ชายสามไม่ปล่อยนางไปก็เป็นเพราะพลังนี้ ความกลัวแผดเผาไปทั่วแผ่นหลังเล็กๆ นี้
“คุณหนูใหญ่เหตุใดจึงทำหน้าคล้ายตื่นตกใจกลัวเช่นนั้น หากพลังไม่ถึงขั้นก็ยังมีทางออกอีกมาก มารดาเจ้าก็มาฝันร้าย อาจเป็นลางไม่ดีจริงๆ” เสียงจิกกัดของฮูหยินรองดังออกมาในระหว่างที่ลี่เฟยกำลังตัดสินใจ
“คำพูดนี้ของแม่รอง มีเจตนาช่วยเหลือข้าหรือทำให้เจ็บช้ำกันแน่” ฮูหยินรองผู้นี้ไม่เคยทำอะไรรุนแรง แต่คำพูดของนางก็มักจะทำให้ชี่เฟยรู้สึกขัดหูอยู่เนืองๆ
“ลี่เฟยเป็นบุตรฮูหยินเอก ทั้งยังมีคู่หมายเป็นถึงองค์ชาย ต่อให้ไม่มีพลังก็ไม่มีวันลำบาก เจ้าห่วงตนเองเถิด” มารดาของลี่เฟยที่ไม่ชอบใจกับการมาจิกกัดกันนอกบ้านให้เป็นที่จับตาจึงเอ่ยปรามออกมาบ้าง
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จากที่ลี่เฟยเคยคิดว่าจะใช้วิชาปกปิดระดับพลังของตน จนคล้ายว่าไม่มีพลังอันใดก็ต้องเปลี่ยนใจให้ยังเหลือไว้บ้างไม่ให้เป็นเป้าหมายแก่ ‘แม่รอง’ มากจนเกินไป แม้นั่นจะทำให้การใช้วิชาปิดพลังยากเย็นขึ้นแต่นางก็ยินยอมแลกมา
ระดับขั้นในภพนี้แบ่งออกเป็นเจ็ดขั้นหลักตามสีที่ปรากฎ คือ ส้ม แดง ม่วง น้ำเงิน เขียว เหลือง ขาว และย่อยเป็นสามขั้นตามความเข้มข้นของพลัง คือขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง พลังระดับสีเหลืองขั้นกลางไปจนถึงขาวขั้นสูงนั้นไม่ถูกพบมาหลายร้อยปี พลังสีขาวขั้นสูงคนล่าสุดที่ปรากฎในใต้หล้าคือจักรพรรดิหูหลงฉาง ผู้สร้างสิ่งล้ำค่าไว้ให้คนรุ่นหลังตามล่า และแย่งชิงมากมายผู้นั้น
แต่ทว่าการตรวจวัดครั้งแรกนั้นไม่เคยปรากฎพลังสี เหลือง และสีขาวมาก่อน การได้สีน้ำเงินก็นับว่าดีมากแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ที่สีแดงขั้นสูงจนถึงสีม่วงขั้นกลางเท่านั้น
ในภพก่อนนี้นางตรวจวัดได้ระดับสีเขียวขั้นกลาง นับว่าเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิดไปมากมาย พลังระดับน้ำเงินขั้นต่ำของซินหยานจึงดูจืดจางไปเสียสนิท เมื่อต้องมาเปรียบเทียบกัน
ชาตินี้คงต้องให้น้องรองได้เฉิดฉายบ้าง…
“ไป๋ลี่เฟยขึ้นแท่นทดสอบได้”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก นางก้างเดินอย่างมั่นคงตั้งสมาธิกดลมปราณ และหันหลังให้คณาจารย์ทั้งหลัง เพื่อเดินวิชากดพลัง พรางไว้ด้วยท่าทีกระวนกระวาย จากนั้นจึงแตะมือลงไปบนหินก้อนใหญ่ที่จะแสดงสีของพลังผู้รับการวัดออกมา ภายในช่องท้องของลี่เฟยปั่นป่วน กลัวว่าวิชากดพลังที่ใช้จะไร้ผลกับหินทดสอบนี้ และการปิดบางส่วนนั้นยากกว่าการปิดทั้งหมด ทำให้เหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากเสียมากมาย ทั้งมือเล็กยังสั่นอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
ความกังวลตบตีอยู่ภายใน ทั้งยังต้องต่อสู้กับไอปราณของหินทดสอบที่พยายามจะทะลุทะลวงเส้นปราณเพื่อวัดค่า จนลี่เฟยรู้สึกอยากจะอาเจียน และล้มเลิกไปหลายหน แต่เมื่อใกล้จะหมดแรงไอปราณที่ออกมาจากหินปรากฎเป็นสีม่วงสมใจหวัง
สำเร็จม่วงขั้นต่ำ!
นางเดินลงจากแท่นด้วยความรู้สึกโล่งโปร่งอย่างถึงที่สุด เมื่อระดับอยู่ในขั้นดาดดื่น ประโยชน์ของนางในสายตาหลินไฉ่คงลดน้อยลงไปแล้ว หน้ากากแสแสร้งคงจะแตกออกไวขึ้นหลายเท่าตัว
ก็ลองมาดูเถิดว่าหากพลังของข้าไม่ได้มีส่วนส่งเสริมให้เจ้ามีชื่อเสียงดีงามอีกแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรต่อ…หึ
เรื่องราวหลังจากนั้นเป็นอย่างที่นางคาด เมื่อไม่มีใครที่ได้ระดับสีเขียวปรากฎตัวขึ้น ระดับน้ำเงินของน้องรองก็ดึงดูดอาจารย์ และคนรอบข้างให้ไปรุมสนใจ
แน่นอนว่าสายตาและคำพูดถากถาง จากฮูหยินรองก็ตามมาทิ่มแทงลี่เฟยอย่างทันท่วงทีเช่นกัน ขัดกับซินหยานที่ส่งสายตาขอโทษแทนมารดาของตนมาให้
“ซินหยานของข้ามีบุญบารมีอย่างแท้จริง” ฮูหยินรองหันไปพูดกับบรรดาฮูหยินที่มาดูบุตรหลานของตนทดสอบ
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังตื่นเต้นกับซินหยาน ลี่เฟยจึงขอท่านแม่ของตนออกไปเดินผ่อนคลาย เมื่อคนเป็นแม่เห็นเช่นนั้น ก็คิดไปเองว่าบุตรสาวอาจน้อยใจที่ผลออกมาเช่นนี้ จึงปล่อยให้ไปอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าบุตรผู้นี้มิได้เสียใจอันใด แต่นางมีความคิดจะไปขโมยวาสนาของผู้อื่นต่างหาก!
________
เหลียนฮวา หมายถึงดอกบัว
บทพิเศษ 4 บรรจบเป็นวงกลมในที่สุดสหายรักของไป๋ลี่เฟยก็เดินทางถึงเมืองหลวงในแคว้นจ้าวอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนเสียที หลังเดินทางเข้ามาถึงตงหม่าจางต้องทำเรื่องขอกลับเข้าเป็นองครักษ์ ส่วนฉือจี้ผ่าก็จำเป็นต้องกลับไปอยู่บ้านเดิมให้บิดามานดาของนางเห็นหน้ามากหน่อย กว่าจะได้มาพบปะสหายทั้งหลาย เวลาก็ผ่านไปเกือบรอบจันทร์แล้ว“ข้ามาแล้ว” จี้ผ่าเอ่ยทักเมื่อเข้ามาในร้านประมูลของแม่นางอูที่เปิดขึ้นใหม่เมื่อสองปีก่อน“จี้ผ่า คิดถึงเจ้านัก” ลี่เฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เสียดายที่มิได้ร่ำลากัน”“โชคยังดีที่มีโอกาสได้กลับมา” จี้ผ่ายิ้มเล็กน้อย“และโชคดีที่พวกเจ้าออกมาหาข้าได้ มิเช่นน
บทพิเศษ 3 งานปักผ้าของจี้ผ่าชีวิตของฉือจี้ผ่าและตงหม่าจางหลังออกจากเมืองหลวงมิได้ลำบากนัก ด้วยทรัพสินเงินทองที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ติดตัวมิได้น้อยเลย หากจะมีลำบากก็เพราะตงหม่าจางต้องติดสินบนปลอมแปลงเอกสารยืนยันตัวตน เพื่อผ่านทางไปยังแคว้นอื่นที่สงบจากภัยสงครามในขณะนี้แต่เมื่อผ่านมาได้แล้วทั้งสองก็เลือกปักหลักอยู่ที่เมืองทางทิศใต้ของทะเลสาบต้งถิง เป็นเมืองที่มีผู้คนผ่านไปมามาก จึงทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองสามารถกลืนไปกับผู้คนในเมืองได้ไม่ยากเย็นนัก จวนที่ซื้อต่อจากสกุลวานิชเล็กๆ สกุลหนึ่ง กลายเป็นบ้านใหม่ของคู่สามีภรรยาเยาว์วัยคู่นี้ทุกๆ วันตงหม่าจางจะเข้าป่าเพื่อสร้างสถานที่เก็บตำราของฮ่องเต้ พร้อมกับคิดค้นกับดักและร่ายอักขระไว้ปกป้องตำราภายในด้วย ส่วนจ
บทพิเศษ 2 ความร้อนในกายช่วยให้อบอุ่นโจวเฉิงจับข้อมือของไป๋ลี่เฟยอ้าออกก่อนจะก้มลง เพื่อใช้ลิ้นร้อนฉ่าทักทายยอดบัวชมพูอย่างตั้งใจ อีกมือหนึ่งผละจากท่อนแขนมากอบกุบความนุ่มนวลตรงหน้านี้ สลับข้างไปมาอย่างคนถูกมอมเมามิอาจละตัวให้ห่างไปได้เลย“อ๊ะ..พะ พี่” ลี่เฟยที่ถูกจู่โจมเช่นนี้รู้สึกวูบวาบจนเริ่มหายใจติดขัด จะกล่าววาจาใดก็ไม่ถนัดดังเช่นยามปกติเห็นเช่นนั้นท่อนแขนแข็งแรงช้อนตัวไป๋ลี่เฟยให้ขึ้นไปนั่งยังบริเวณขอบบ่อ หยดน้ำพราวเกาะบนผิวยิ่งทำให้ร่างกายนี้เย้ายวนเหนือบรรยาย ใบหน้าของชายหนุ่มไล่สายตาจนมาหยุดอยู่ที่กึ่งกลางร่างกายของไป๋ลี่เฟย“เฟยเฟยอ้าขาออก”
บทพิเศษ 1 พักตากอากาศเมืองซุ่ยปาคือจุดมุ่งหมายที่สองบิดามารดามือใหม่ตั้งใจจะไปพักผ่อนให้สบายจิตใจ เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสงบมีผู้คนอยู่อาศัยไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นขุนนางที่ปลดระวางตนเองจากตำแหน่งหน้าที่แล้วมาอยู่อาศัย ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงเกินไป เพื่อให้สะดวกหากมีขุนนางคนใดอยากเข้ามาปรึกษาหารือประเด็นต่างๆเมืองซุ่ยปามีทิวเขางดงาม ป่าไม่อุดมสมบูรณ์มีแหล่งพลังปราณธรรมชาติหนาแน่น สตรีมีครรภ์และผู้มีอายุจึงนิยมมาอาศัยในเมืองแห่งนี้เพื่อบำรุงร่างกาย ข้อเสียเพียงอย่างเดียวมีเพียงอากาศที่เย็นกว่าพื้นที่ส่วนอื่นของแคว้นอย่างน่าประหลาดจ้าวโจวเฉิงจับจูงไป๋ลี่เฟยให้เดินชมสวนของจวนไม่เล็กไม่ใหญ่หลังนี้ “ชอบหรือไม่”
บทที่ 67 คลี่คลายง่ายนัก“ท่านหมอ พอรู้หรือไม่ว่าต้องทำอย่างไร” ไป๋ลี่เฟยเอ่ยถามออกไป แต่ไม่ทันที่จะได้เว้นช่วงให้หมอเทวดาตอบ นางก็มิอาจกลั้นอาเจียนไว้ได้อีกต่อไป“พระชายาไป๋ นั่งลงก่อน” หมอเทวดาดวงตาเป็นประกาย เมื่อเห็นความท้าทายในการรักษาถึงสองอาการ คนหนึ่งหลับไปเฉยๆ โดยที่มิได้รับความบาดเจ็บใด ส่วนอีกผู้หนึ่งอาเจียนเป็นเลือด แต่ยังเดินเหินและดูแข็งแรงปกติไป๋ลี่เฟยนั่งลงให้ท่านหมอตรวจอาการ และไม่ลืมนำน้ำหกธาตุพิชิตออกมาให้หมอเทวดาผู้นี้ดู ก่อนจะเล่าว่าอาการของตนและองค์ชายหกเกิดได้อย่างไร แต่มิได้บอกความมหัศจรรย์ของพิษจิตแตก บอกแต่เพียงว่าเป็นพิษ“วิเศษนัก” ท่านหมอกล่าวระหว่างยกขวดโอสถขึ้นมาส่องดู ก่อนจะวางลงข้างกาย “อาการขององค์ชายหก
บทที่ 66 ความสุขกลับคืนทีละน้อยเช้าวันรุ่งขึ้นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวงว่าองค์รัชทายาทต้องการพาพระชายาไปพักผ่อนให้เป็นส่วนตัว จึงมิได้ให้องครักษ์คนใดติดตามไป เกิดเป็นเรื่องราวน่าใจหายองค์ชายถูกสัตว์รุมกัด มีร่องรอยการต่อสู้ดุเดือด ส่วนไท่จื่อเฟยก็หนีอยากหวาดกลัว กล่าวกับผู้คนว่าองค์ชายปกป้องตนเองจนตัวตายท่าทางของพระชายาคนงามดูอ่อนแอบอบบางจนมีแต่ผู้คนสงสาร เล็บมือเล็บเท้าของสตรีสูงศักดิ์ฉีกขาดเพราะการหนีตาย ยิ่งทำให้หมดข้อสงสัยว่าไป๋ซินหยานมีส่วนรู้เห็นกับการตายขององค์ชายสาม ช่วงเวลาต่อมาวังเมฆาแสงจันทร์ถูกปิดตาย ด้วยคำสั่งพระชายามีเพียงหมอหลวง และคนจากสกุลเดิมเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตเข้าออกวังแห่งนี้ได้ ส่วนตัวไป๋ซินหยานเองก็ออกมาด้ายนอกเพียงเพื่อร่วมพิธีศพเท่านั้น“ซินหยาน เป็







