‘ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...’ เสียงเคาะประตูดังสนั่นไปทั่วบ้าน ฉันที่กำลังล้างจานอยู่ จึงต้องรีบล้างมือ เพื่อเดินออกไปเปิดประตู ดูว่าใครกันที่มาหากันตั้งแต่เช้าในวันหยุดแบบนี้
ฉันเปิดประตูต้อนรับผู้มาเยือนในยามเช้า ที่แท้ก็เป็นคุณป้าข้างบ้านคนดังนี่เอง ท่าทีของเขาดูสั่นกลัวเล็กน้อย มือสองข้างกุมกันแน่นถนัด แถมสายตายังไม่กล้าจะสบตาฉันด้วยซ้ำ
“มีอะไรเหรอคะ คุณป้า” ฉันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเย็นเฉียบ
“หนูฟ้าครามจ๊ะ คือว่า....”
“...” ฉันเงียบ กอดอกมองดูคุณป้าตรงหน้าอย่างเฉยเมย
ที่เห็นว่าเขามีท่าทีกลัวฉันแบบนี้ แท้จริงแล้วคุณป้าข้างบ้านกับฉันเรามีเรื่องกันมา
ย้อนกลับไปเมื่อสองวันก่อนป้าคนนี้อาละวาดด่ากราดหน้าปากซอยใส่คนไปทั่ว จนคนในซอยนี้เอือมระอากรนด่าหนักแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครจะต้านสกิลปากร้ายของป้าเขาได้เลย
ฉันเพิ่งเลิกจากที่ทำงานต้องเดินผ่านตรงที่เกิดเรื่องพอดี กลับมัวเดินสนใจแต่มือถือ จึงกลายเป็นว่าฉันเดินชนป้าเขาอย่างจัง จากนั้นฉันจึงกลายเป็นเป้าสนามอารมณ์ให้กรนด่าหน้าปากซอยในวันนั้นให้คนเห็นกันไปทั่วจนเป็นจุดสนใจ
ฉันโดนป้าคนนี้ยืนด่าฉอด ๆ หาว่าไร้มารยาท แม้จะกล่าวขอโทษไปแล้ว แต่ป้าคนนี้ก็สรรหาคำด่า ขุดมาตั้งแต่พระเจ้าเหาขนมาสาดด่าหมดทุกเม็ด ฉันเองก็พยายามไม่สนใจอยากเดินผ่าน แต่ก็ถูกป้าดึงมือรั้งเพื่ออยากจะด่าต่อ
ความอดทนคนเรามันมีขีดจำกัด บวกกับเพิ่งกลับมาจากการทำงานที่แสนเหนื่อยล้า ฉันที่ยืนเงียบมาสักพัก จึงกัดฟันเอียงตัวเข้าไปกระซิบข้างหูคุณป้าเบา ๆ เพียงไม่กี่ประโยค
เมื่อคุณป้าได้ยินดังนั้นก็ยืนนิ่งสีหน้าแห้งเผือกปล่อยฉันให้เดินเข้าซอยแต่โดยดี แม้คนรอบข้างจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมจู่ ๆ ป้าปากแซ่บคนนี้ถึงเงียบไป แต่เชื่อได้เลยว่าป้าตรงหน้าจะไม่แสดงกิริยาต่ำ ๆ ไล่ด่าคนอื่นอีกแล้ว
และการที่ป้าหอบตัวเองมายืนตัวสั่นถึงหน้าบ้านฉันแบบนี้ นั่นแสดงว่าที่ฉันพูดไปเป็นความจริงทั้งหมด
“ป้ามาทำอะไร จะพูดหรือไม่พูดเนี่ยเสียเวลาฉันนะ” ฉันเท้าสะเอวมองอย่างหาเรื่อง
“หนูฟ้าครามคนงาม ป้ามาดีนะมาดี ป้าแค่อยากรู้ว่า...เอ่อ...” ป้าเขายังไม่กล้ามองหน้าฉัน น่ารำคาญชะมัด
“ป้าจะถามฉัน ว่าทำไมฉันถึงรู้ว่า ป้าเคยมีผัวเก่าแถมยังตายไปแล้วใช่มั้ย”
“ใช่จ๊ะ ตั้งแต่ป้ามาอยู่ที่นี่ไม่เคยมีใครรู้ว่าป้าเคยมีผัวเก่าที่ตายแล้ว ป้าเลยสงสัย เรื่องนี้ป้าไม่เคยบอกใครเลย”
“นั่นไง...” ฉันพยักเพยิดใบหน้าไปด้านหลังของป้า เธอหันหลังไปตามที่ฉันมอง
“หนูฟ้าคราม ป้าไม่เห็นอะไรเลย ยะ...อย่าทำให้กลัวสิ” สีหน้าคุณป้าเริ่มซีดเผือก
“ป้าไม่เห็น ใช่ว่าคนอื่นจะไม่เห็น ก็ผัวเก่าป้า เขายืนอยู่ข้างหลังคุณป้าทนโท่ ฉันเห็นตั้งแต่สองวันก่อนแล้วด้วย ตามติดป้าตลอด ดูลุงเขารักป้าเนอะ” ฉันพูดไปตามความจริง แม้ว่าสีหน้าของคุณลุงที่มองคุณป้าคนนี้จะออกไปทางอาฆาตมากกว่า
“อะไรนะ!!!!!” คุณป้าเมื่อได้ยินดังนั้น ก็ถอยเซล้มลงพื้นด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกโพลง ตัวสั่นระริก ฉันเห็นดังนั้นจึงนั่งยอง ๆ ลงต่อหน้าป้าคนนี้
“ป้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่คุณลุงตอนเสียชีวิตใส่เสื้อลายทาง เสียคาทีในบ้านใช่มั้ยล่ะ จะให้ฉันพูดด้วยมั้ยว่า เขาตาย...ยัง...ไง” ฉันจ้องมองป้ามองลึกเข้าไปยังดวงตาของเธอที่มีแต่ความวิตกจนน้ำตาคลอเบ้า
“ปะ...ป้าไม่ได้ทำอะไรนะ ป้าแค่...”
“ป้าไม่ต้องเล่าให้ฉันฟัง ฉันไม่ใช่นักสืบ หรือตำรวจ ฉันแค่รำคาญป้าที่ยืนด่าคนอื่นฉอด ๆ ก็เท่านั้น อีกอยากคุณลุงผัวเก่าป้าก็ตามมายุ่งวุ่นวายให้ฉันมาบอกป้าเนี่ย”
“ขะ..เขาอยากบอกว่าอะไร” สายตาป้ามองฉันด้วยความกลัวและวิงวอน
“อะแฮ่ม มึงเอาเงินที่มึงขโมยกูมาเสพสุขกับผัวใหม่ ไปคืนให้แม่กูเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นกูจะคอยตามจองล้างจองผลาญมึงให้ไม่ตายดีทั้งมึงและผัวใหม่มึงแน่” ฉันเลียนเสียงผู้ชาย แม้จะฟังดูแปลก ๆ ไปหน่อย แต่ก็อยากถ่ายทอดออกมาให้เหมือนที่สุด “คุณลุงว่ามาแบบนั้นแหละป้า”
“ห๊ะ!!!!! ไม่จริงงงงงงงงง ฉะ...ฉันไม่อยากตาย!!!” คุณป้าร้องเสียงสติไปแล้ว แต่การที่เขามากรีดร้องหน้าบ้านฉันแบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันจึงต้องเขย่าตัวป้าที่นั่งกับพื้นให้เขาได้สติ
“นี่ป้า จะมาร้องหน้าบ้านคนอื่นหาพระแสงอะไรคะ แทนที่จะมากรีดร้องสู้ไปทำให้มันเข้าที่เข้าทางให้คุณลุงไปสู่สุคติ สำนึกผิด ไม่ดีกว่ารึไง”
“ป้าต้องทำไงบ้างหนูฟ้าคราม ช่วยป้าเถอะ ป้าขอร้อง ให้ป้าทำอะไรก็ยอม” คุณป้าจับมือฉันก้มหน้าวิงวอนด้วยน้ำตา เฮ้อปกติก็ไม่ได้อยากเข้าไปยุ่งอะไรสักหน่อย
“เรื่องกล้วย ๆ หนึ่งป้าต้องเอาเงินไปคืนแม่ของคุณลุง สองป้าต้องไปทำบุญให้คุณลุงด้วยความตั้งใจจริง ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน และสามเลิกทำตัวไปด่ากราดชาวบ้านได้แล้ว คุณลุงขอมาเท่านี้”
“ได้จ๊ะ ฝากบอกเขาทีป้าจะทำทุกอย่างเลย ป้าสำนึกแล้ว”
“ในเมื่อป้ารับปากแล้ว ก็ลุกขึ้นมาก่อน ใครเดินผ่านมา จะหาว่าฉันมีเรื่องกับป้าได้”
“จ๊ะ” ฉันพยุงคุณป้ายืนขึ้น ป้าปัดฝุ่นตามตัวก่อนจะขอตัวกลับ ในเมื่อความเกลียดชังหายกันแล้ว ฉันจึงเดินไปส่งป้าที่ประตูรั้วหน้าบ้านตัวเอง
เมื่อกำลังจะเดินเข้าประตูบ้าน คุณลุงก็มองฉัน จากใบหน้านิ่งงันก็ค่อย ๆ ยิ้มให้แล้วร่างของคุณลุงก็สลายหายไปกับตา
“ขอให้คุณลุงไปสู่สุคตินะคะ สาธุ” นั่นคือสิ่งที่ฉันจะทำให้พวกเขาได้ พวกเขาเหล่านั้นแค่ต้องการความช่วยเหลือ และฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนที่สามารถมองเห็นความต้องการของพวกเขาได้ก็เท่านั้นเอง
พอถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยสินะ อย่างนั้นฉันจะขอแนะนำตัวก่อนนะ ฉันชื่อวิกานดา หรือเรียกว่าฟ้าครามก็ได้ค่ะ เห็นฉันอยู่บ้านหลังเล็ก ๆ ในซอยหมู่บ้านแออัดแบบนี้ จริง ๆ ฉันรวยมากนะขอบอก พ่อแม่ฉันเสียไปแล้วเนื่องจากอุบัติเหตุเมื่อ ห้าปีก่อน ในขณะที่ฉันกำลังเรียนมหาวิทยาลัย และได้ทิ้งสมบัติมากมายไว้ให้ฉัน ซึ่งฉันก็เก็บมันไว้ใช้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันฉันอายุ 28 ปี ทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่งในตำแหน่ง GM ซึ่งมี CEO เป็นเพื่อนสนิทชนิดที่ว่าฉันเป็นคนเดียวที่สามารถขึ้น มึง กู กับมันได้เป็นเรื่องปกติ และฉันเองก็มีหุ้นอยู่ที่นั่นนิดหน่อยด้วย เลยเป็นการทำงานที่ค่อนข้างสบายใจ และไม่กดดัน
นั่นอาจดูเป็นประวัติคร่าว ๆ ทั่วไป แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าฉันน่ะมีความสามารถพิเศษไม่เหมือนใคร และคงไม่มีใครอยากจะเหมือน นั่นคือฉันมีสัมผัสที่หก ไม่สิหรืออาจจะมากกว่านั้นเพราะดวงตาสีอ่อนของฉันเห็นมันอย่างจังไม่ว่าจะกลางวันกลางคืน จนตอนนี้แทบแยกไม่ออกแล้วว่า ใครเป็นผี ใครเป็นคน บางครั้งจึงสร้างความสับสนให้คนรอบข้าง ว่าฉันคุยกับใคร และดูมีนิสัยแปลกในสายตาของคนปกติ(ที่ไม่เห็นวิญญาณ)
31- ความเป็น ความตาย–“ช่วยด้วย......” ร่างของฉันกระตุกดีดตัวขึ้นร้องเสียงดังไปทั่วห้อง ดวงตาบวมเป่งจากการร้องไห้อย่างหนัก ใบหน้าผุดเหงื่อจากอาการหวาดผวา ฉันหอบหายใจรัวระรินราวกับขาดอากาศหายใจเจียนตาย นั่นมันไม่ใช่ความฝันหรอก แต่สถานที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่างความเป็นกับความตาย ฉันนึกว่าฉันจะไม่รอดกลับมาในโลกคนเป็นซะแล้ว พอคิดแบบนั้นก็พาลทำให้รู้สึกแย่แทบบ้าแล้วอะไรที่ทำให้ฉันกลับมาได้กันนะ นั่นคือสิ่งที่สมองฉันกำลังคิด“เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอครับ” เสียงเข้มดังขึ้นนั่นจึงทำให้ฉันหลุดจากภวังค์เหม่อลอย ฉันเพิ่งจะรู้ตัวว่า มือของฉันถูกกุมไว้ด้วยมือหนาตั้งแต่ต้น และเขาเองก็นอนอยู่ข้าง ๆ ฉันมาตลอด เพียงฉันหันหน้าไปมองเขาความกลัวจนอกสั่นขวัญแขวนก็พลอยรู้สึกปลอดภัยขึ้นเขาละมือหนาออกจากมือฉันก่อนจะดึงฉันเข้าสวมกอดพลางลูบหัวอย่างอ่อนโยน“ฝันร้ายเหรอครับ ไม่เป็นไรผมอยู่ตรงนี้ตลอด คุณจะไม่เป็นไร คุณฟ้า” เพียงคำพูดของเขาเปล่งออกมา นั่นก็ทำให้ฉันร้องไห้ขึ้นอีกครั้ง มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความกลัว หรือ เสียใจ แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความรู้สึกดี อบอุ่นซาบซึ้งใจจนเอ่อล้นสองมือของฉัน โอบกอดเอวของเขาก่อนจะซ
30- รู้ว่าเสี่ยง...แต่คงต้องขอลอง –ฉันคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องพลางมองนาฬิกาข้อมือ“21.00 น. ยังพอมีเวลา น่าจะได้ความคืบหน้าอะไรมาสักหน่อยล่ะนะ” ฉันเดินตรงดิ่งผ่านตึก B ซึ่งฉันมีบัตรผ่านอยู่เพราะเป็นผู้ร่วมดูแลความรับผิดชอบ แต่เมื่อไปเกือบถึงตึก C ฉันก็ต้องค่อย ๆ ลัดเลาะมองซ้ายขวาเพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น ขืนมีคนมาเห็นเข้ามีหวังโดนมองเป็นผู้ต้องสงสัยไปอีกคนฉันเดินมาจนถึงทางเข้าตึก C ทางหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทางหลัก พยายามยืนนิ่ง ๆ ก่อนที่ผีคุณปานจะปรากฏ“คุณปานว่าไงคะ ได้คุยกับวิญญานตนนั้นรึยัง” ฉันหันไปพูดกับผีคุณปานที่ตอนนี้ลอยอยู่ใกล้ ๆ ฉัน‘ค่ะ แต่ เขา ยัง เอา แต่ เสีย สติ เพราะ บ่วง ห่วง อยู่ ค่ะ ไม่ ต่าง จาก ปาน’ ผีคุณปานพูดด้วยความหดหู่ ทั้งที่เรื่องเขาเองก็น่าหดหู่อยู่แล้ว“คุณปานช่วยทำยังไงก็ได้ให้เขามาตรงนี้ได้มั้ยคะ คือฟ้าเข้าไปด้านในไม่ได้จริง ๆ มันอันตรายเกินไป” ฉันทำหน้าวิงวอนผีคุณปาน ซึ่งเธอก็พยักหน้ารับก่อนจะหายวับไปอีกครั้งฉันเดินไปมาเงียบ ๆ พลางก้มมองดูนาฬิกา ด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่อยากอยู่นานกลัวถูกจับได้ฉันกัดนิ้วหัวแม่โป้งด้วยความกังวลจนเป็นรอย ไม่นานผีคุณปานก
29- คดีอุบัติเหตุ หรือ ฆาตกรรม –หลังว่าสาย ไม่มีคำพูดใด ๆ ของพวกเรา ต่างคนต่างรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เก็บของสำคัญลงกระเป๋าก่อนจะรีบวิ่งแจ้นออกจากบ้านไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้านทันที‘บรืน............’ รถของพวกเรามุ่งหน้าไปทางท่าเรืออย่างเร่งด่วนตอนนี้ ไม่มีเวลาแม้แต่จะสนใจกัน ใบหน้าของคนขับรถเข้มดุ คิ้วขมวด กัดริมฝีปากบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์ส่วนฉันเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เมื่อปลายสายที่โทรเข้ามาคือไอ้กรณ์ มันโทรมาเพื่อจะถามข่าวเกี่ยวกับศพบนโรงแรมที่กำลังเป็นข่าวไปทั่วเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน แต่เพราะฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น เลยให้คำตอบมันไม่ได้ฉันก็ต้องตื่นตระหนกอยู่แล้ว เพราะทำงานที่นั่น แต่คนที่ควรจะเครียดมากกว่าฉัน มันก็ต้องเป็นคนข้าง ๆ อย่างเขาเนี่ยแหละ เพราะโรงแรมแห่งนี้ยังไม่ทันจะเปิดให้บริการแต่กลับมีศพบนเกาะแน่นอนว่าถ้าข่าวสะพัดไปเป็นวงกว้าง ผลกระทบที่ตามมามันมากมายแน่นอนเรามาถึงท่าเรือ และเลือกที่จะนั่งสปีดโบ๊ทเพราะต้องการไปถึงเกาะให้เร็วที่สุด เมื่อเรือเทียบท่า คุณเอ็ดเวิร์ดก็เดินเข้มเข้าไปในโรงแรมทันทีพร้อมกับเรียกประชุมด่วนของพนักงานในบริษัท (ก็ไม่ได้เกี่ยวกับฉันล่ะนะ)ฉันเด
28- อยากรักต้องกล้าหน่อย –เช้าวันใหม่ฉันตื่นขึ้นมาหาววอด ๆ พลางกะพริบตาถี่ ๆ เพื่อค่อย ๆ รับแสง อาทิตย์ที่สาดเข้ามาผ่านกระจกระเบียงพอสร่างเมาแล้วความคิดต่าง ๆ ก็ถาโถมเข้ามาในสมองไม่หยุดไม่หย่อนฉันรู้ว่าตัวฉันไม่สามารถจะโหวกเหวกโวยวายได้ เพราะเวลาฉันเมาแล้วนั้น มันมักจะลืมตัวทำอะไรในแบบที่ปกติฉันไม่มีทางทำแน่ ๆแต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันหงุดหงิดทุกทีจริงๆ ขนาดฉันปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้ เขาแค่นอนทื่อ ๆ สวมกอดฉันก็เท่านั้น พาลทำให้หงุดหงิดอะไรก็ไม่รู้ จนตอนนี้อยากจะลุกขึ้นออกไปสูดอากาศให้รู้สึกหัวโล่งซะหน่อยเพียงที่ฉันคิดจะลุกขึ้น ฉันก็รู้สึกว่าร่างของฉันถูกพันธนาการด้วยสองแขนแกร่งแน่น ใบหน้าของเขาอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าฉันมากนัก มันสามารถมองชัดจนเห็นขนตางอนของเขาที่รับกับใบหน้าได้เลยฉันจึงไม่พยายามขยับอีกเพราะกลัวเขาตื่น แต่กลับจ้องมองเขาด้วยความถวิลหา อิฟ้ามันก็ผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายหล่อมาก ๆ ก็ค่อนไปทางสเปกแถมอยู่ห่างไม่ถึงคืบจะไม่ให้หวั่นไหวได้ไงอ่ะพวกแก“คุณฟ้า จะจ้องผมนานมั้ยครับ” เสียงเข้มแหบพร่า เพราะว่าเพิ่งตื่นนอนเอ่ยขึ้น แต่ดวงตาของเขาก็ไม่ได้เปิดออกแต่อย่างใด“ฉันไม่
27- ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ(2) –ฉันพูดออกไป พลางเกยคางสะอื้นเบา ๆ เงียบ ๆ แบบนั้น เรี่ยวแรงหายหมด ทั้งยังปวดหัวตึก ตึก เป็นระยะ“คุณฟ้า...” เสียงเขาเรียกฉัน นั่นทำให้ฉันขยับใบหน้าเอียงมองเขาด้วยสายตามที่พริ้มด้วยอาการที่ยังมึนเมาค้างอยู่“คะ???”“ผมบอกคุณว่าวันนี้ไม่ต้องมาห้องผม แต่ผมไม่ได้บอกให้คุณออกมาเที่ยวนะครับ”“ละ..แล้วทำไมฉันจะออกมาเที่ยวไม่ได้ละคะ”“ก็คุณฟ้า พึ่งจะไม่สบายมานะครับ ผมก็เลยไม่ให้คุณมาห้องผม”“ไม่ใช่ว่าวันนี้ คุณต้องนอนกับผู้หญิงคนนั้นเหรอคะ” ฉันเอ่ย หน้าเอียงคอถามเขา“ผู้หญิงคนนั้น?? คนไหน” เขาเอ่ยเสียงทุ้มเข้มมองหน้าฉันคิ้วขมวด เหอะ.... คงเยอะจนไม่รู้ว่าใครเป็นใครล่ะสิ“ก็คนสวย ๆ ในห้องทำงานของคุณเอ็ดเวิร์ดไงคะ ทำเป็นจำไม่ได้ ออกจะทอดสายตาหวานซึ้งขนาดนั้น” ฉันพูดพลางเบือนหน้าเกยบ่าเขาไป เพราะจู่ ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดทุกทีที่คิดถึงผู้หญิงคนนั้นของเขา“หึ... นี่คุณหึงผมเหรอคุณฟ้า” เพียงคำนั้นของเขาทำให้ฉันสะดุ้งมองหน้าเขาอย่างลนลาน“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไงคะ ใคร..ใครหึงคุณกัน คุณจะนอนกับใครอะไรที่ไหนก็เรื่องของคุณเอ็ดเวิร์ดอยู่แล้ว ฉันเป็นแค่ลูกจ้าง ไม่ใช่ผู้หญิง
26- ความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ(1) –เขาอุ้มฉันจะออกมาด้านนอก จวบจนเดินมาถึงรถยนต์ของเขา ความรู้สึกอึดอัดพาลให้ฉันหายใจโล่งขึ้น ใบหน้าของเขาพลันปรากฏต่อสายตาฉันชัดเจน และใกล้จนเขาน่าจะสามารถรับรู้การหายใจถี่ ๆ ขอฉันได้ ทำไมนะเหรอ ก็หัวใจเจ้ากรรมดันเต้นแรงตึกตัก ไม่รู้เพราะเมาเหล้า หรือเมารักแต่ถึงยังไงฉันก็ไม่อยากไปกับเขาหรอก พอคิดว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรกับฉัน แถมเขาก็เพิ่งจะแยกกับผู้หญิงคนนั้นมา พาลทำให้ฉันอารมณ์เสียถ้าเขาจะงุนงง ว่าฉันเป็นบ้าอะไรคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะฉันก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นบ้าอะไร เรื่องงานฉันอาจจะเก่ง คิด วิเคราะห์ แยกแยะ แต่กับเรื่องความรักฉันไม่สันทัดจริง ๆ“คุณจะปล่อยฉันได้รึยัง” เพียงฉันพูดออกมา เขาก็คลายแขนปล่อยให้ฉันลง ฉันหันไปคว้ากระเป๋าใบเล็กของฉันที่เขาถืออยู่ก่อนจะหันหลังเดินออกไปดุ่ม ๆ มุ่งไปทางออกถนนใหญ่แบบไม่พูดอะไรถึงท่าเดินที่ไม่เป็นเส้นตรง แถมสายตาก็เบลอ ๆ ก็ไม่ทำให้ฉันกลับไปกับเขาหรอก“นั่น.... คุณจะไปไหน” เสียงของคุณเอ็ดเวิร์ดพูดตามหลังฉัน“กลับบ้าน....สิ” ฉันหันไปมองเขาพร้อมกับพูดไปแบบนั้นก่อนจะหันเดินต่อเพื่อออกไปยังถนนใหญ่“ผมบอกให้คุณ