พูดตรงๆ เรื่อง 'friends with benefits' มักถูกเล่าในภาพยนตร์และซีรีส์ด้วยโทนที่ผสมทั้งความตลก ขม และหวานจนทำให้คนดูรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ก่อน ตัวอย่างคลาสสิกที่ชัดเจนคือ 'Friends with Benefits' กับ 'No Strings Attached' สองเรื่องนี้ทั้งคู่เล่นกับแนวคิดเดียวกันคือกฎเหล็กของความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด แต่ท้ายที่สุดก็มักพังทลายเพราะอารมณ์ของตัวละครไม่เป็นไปตามแผน การแสดงเคมีระหว่างตัวละครใน 'Friends with Benefits' ทำให้น้ำหนักทางอารมณ์ของฉากที่ทั้งคู่ยอมเปิดใจดูกลมกลืนและหนักแน่นขึ้น ขณะที่ 'No Strings Attached' ให้มุมที่อบอุ่นกว่าเล็กน้อยแต่ก็ยังคงมีความเข้าใจถึงความ
ยุ่งเหยิงที่มาพร้อมกับการพยายามรักษาเขตแดนทางใจแบบไกลตัว
การหยิบยกซีรีส์มาวิเคราะห์จะเห็นความหลากหลายของการสื่อความหมาย เรื่องอย่าง 'Easy' บนแพลตฟอร์มสตรีมมิงชอบนำเสนอเรื่องเพศและความสัมพันธ์แบบเป็นตอนสั้นๆ ที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริงในชีวิตประจำวัน ทำให้การมีเพื่อนที่เป็นมากกว่าเพื่อนหรือ 'friends with benefits' ดูสมจริงและหลากมิติ ส่วน 'You're the Worst' มอบภาพของความสัมพันธ์ที่คลุมเครือและมีปัญหาทางอารมณ์อย่างชัดเจน จนทำให้ผู้ชมได้เห็นผลกระทบระยะยาว ทั้งการละเลยความรู้สึก การป้องกันตัวเอง และการจัดการกับความอิจฉา นอกจากนี้ซีรีส์อย่าง 'Love' ยังเสนอการเดินทางของคู่หนึ่งที่ผ่านความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัดมาจนถึงการเรียนรู้ที่จะสื่อสารอย่างจริงใจ
จุดที่ทำให้การถ่ายทอดเรื่องแบบนี้มีคุณภาพไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉากเซ็กซ์หรือมุกตลกเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับการตั้งคำถามว่าใครได้ประโยชน์ ความไม่เท่าเทียมทางอารมณ์เกิดขึ้นหรือไม่ แล้วตัวละครมีการเติบโตหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไร หนังหรือซีรีส์ที่น่าสนใจมักจะมีฉากเล็กๆ ที่จับความเงียบระหว่างสองคน หรือบทสนทนาที่เปราะบางซึ่งเผยให้เห็นความกลัวว่าอีกฝ่ายอาจไม่รู้สึกเหมือนกัน ฉากที่ตัวละครยอมรับว่ากฎที่ตั้งไว้ไม่ใช่เรื่องจริงมักเป็นโมเมนต์ที่ทำให้ผู้ชมฮึกเหิมหรือสะท้อนใจได้มากกว่าฉากหวือหวา ความสมจริงในรายละเอียด เช่น การคงไว้ซึ่งมิตรภาพหลังจากความสัมพันธ์แปรเปลี่ยน หรือการยอมรับว่าบางคนไม่สามารถทำแบบนี้ได้โดยไม่เจ็บ ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวน่าจดจำ
สรุปง่ายๆ ว่าถ้าต้องแนะนำงานที่อธิบายแนวคิดนี้ได้ดี จะเริ่มจาก 'Friends with Benefits' และ 'No Strings Attached' เพื่อเห็นโครงเรื่องทั่วไป แล้วตามด้วย 'Easy' หรือ 'You're the Worst' เพื่อรับมุมที่ลึกขึ้นและไม่โรแมนติคเกินจริง ผลงานเหล่านี้สอนให้รู้ว่าความตั้งใจและการสื่อสารสำคัญแค่ไหน และสุดท้ายแล้วฉันรู้สึกว่าฉากที่แสดงความเปราะบางอย่างแท้จริงคือสิ่งที่ทำให้เรื่องแบบนี้มีพลังและน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน