เราเคยสะดุดกับประโยคนี้บ่อยในนิยายโรแมนติกไทยจนกลายเป็นคำที่ทำให้ยิ้มทั้งที่ใจเต้นแรง '
จับพลัดจับผลู' ในเชิงนิยายสำหรับฉันมันไม่ใช่แค่คำว่าโชคหรือพรหมลิขิตแบบตรงๆ แต่มันคือวิธีเล่าเรื่องที่ผสมทั้งความบังเอิญ ความอึดอัด และความอบอุ่นในคราวเดียวกัน งานเล่านิยายแนวนี้มักหยิบเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่ใครมองข้ามมาเป็นจุด
ชนวนให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป — เช่น การชนกันบนบันได รถติดจนต้องแชร์ร่ม หรือต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาเล็กๆ ที่ท้ายที่สุดทำให้ตัวละครเริ่มเห็นกันและกันมากขึ้น
ในมุมมองของคนอ่านที่โตมากับนิยายรักท้องถิ่น ฉันชอบว่า 'จับพลัดจับผลู' มักใส่อารมณ์ขันแบบที่ทำให้ตัวละครดูเป็นมนุษย์จริง ๆ ไม่ใช่เทพนิยาย ทุกครั้งที่นักเขียนจับเหตุบังเอิญมาเล่า ฉันจะมองเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ — การพูดติดอาย การหันหน้าหนีของฝ่ายหนึ่ง รอยยิ้มเขิน ๆ ของอีกฝ่าย — ที่ทำให้ความสัมพันธ์น่าเชื่อถือกว่าแค่ประกาศว่า 'เราตกหลุมรักกัน' ฉากหนึ่งที่ยังคงชัดเจนในหัวคือช่วงที่ตัวเอกต้องไปเยียวยา
งานเลี้ยงลับ ๆ และบังเอิญได้คุยกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้คุย ปรากฏว่าเรื่องราวเล็ก ๆ นั้นเปลี่ยนมุมมองของเขาไปตลอดกาล ซึ่งทำให้ฉันนึกถึงการใช้โหมดเล่าเรื่องแบบพลาดแล้วได้พบความหมายแทนการวาง
โชคชะตาลงบนหัวตัวละครแบบเป๊ะๆ เช่นใน 'บุพเพสันนิวาส' ที่แม้จะเป็นฉากประวัติศาสตร์แต่การบังเอิญและจังหวะชีวิตยังคงผลักดันความสัมพันธ์
สุดท้ายแล้วฉันมองว่าเสน่ห์ของวลีนี้อยู่ที่ความไม่สมบูรณ์แบบของมัน — คนสองคนไม่ได้พบกันเพราะสัญญาณของ
สรวงสวรรค์เท่านั้น แต่เพราะความผิดพลาดเล็กๆ ที่กลายเป็นโอกาส เป็นช่องว่างให้ความรู้สึกเติบโต และฉันมักจะยิ้มทุกครั้งที่นักเขียนไทยใช้ 'จับพลัดจับผลู' ให้กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวละครได้ค้นพบกันอย่างอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ เหมือนการเจอกันแบบไม่ได้ตั้งใจแต่นำมาซึ่งเรื่องราวที่อยากจดจำ