ในวันที่โลกแฟนตาซีดึงฉันเข้าไปจนลืมเวลา ผมพบกับเสน่ห์แปลกใหม่ของ '
จิ่วฉงจื่อ' ที่ผสมระหว่างการเดินทางค้นหาตัวตนและการเมืองใน
ยุทธภพ ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่นิยายลมๆ แล้งๆ แต่เป็นการเล่าเรื่องที่กระชับและเต็มไปด้วยรายละเอียดชีวิตของตัวละครที่ทำให้เอาใจช่วยตลอดเวลา
พล็อตหลักของ 'จิ่วฉงจื่อ' คือการติดตามชีวิตของตัวเอกที่ถูกชะตาให้รับผิดชอบหรือมีการเชื่อมโยงกับวัตถุลึกลับชื่อเดียวกับเรื่องซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่โลกแห่งพลังและปริศนา ตัวเอกถูกบังคับให้เติบโตทั้งทางฝีมือและความคิดเมื่อต้องเผชิญกับการทรยศ การต่อสู้ระหว่างสำนัก และเงื่อนงำเกี่ยวกับอดีตของครอบครัว ทำให้การเดินทางไม่ใช่แค่การเพิ่มพลังแต่เป็นการเรียนรู้ว่าต้องเลือกระหว่างอุดมคติส่วนตัวกับความรับผิดชอบต่อผู้อื่น สุดท้ายเส้นเรื่องมุ่งไปสู่การเปิดเผยความจริงที่สะเทือนใจซึ่งเปลี่ยนชะตากรรมของโลกรอบตัวและคั่นด้วยการเสียสละที่ทำให้เรื่องมีน้ำหนัก
จากมุมมองของผม สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้โดดเด่นคือการผสมผสานระหว่างฉากแอ็กชันที่
เร้าใจและช่วงฉากเงียบที่ให้เวลาตัวละครได้เติบโต ฉากการต่อสู้ไม่ใช่แค่โชว์พลังแต่สะท้อนมิติเชิงอารมณ์ เช่นการเผชิญหน้ากับคนที่เคยไว้ใจหรือการตัดสินใจยากๆ เช่น เลือกช่วยคนไม่กี่คนที่รักหรือปกป้องสังคมโดยรวม นอกจากนี้โครงเรื่องรองเกี่ยวกับความลับในตระกูลและการทรยศในสำนักเพิ่มความเข้มข้น ทำให้ฉากเล่าเรื่องมีหลายชั้นและไม่จำเจ การใช้สัญลักษณ์ของวัตถุศักดิ์สิทธิ์อย่าง 'จิ่วฉงจื่อ' เป็นเมทาฟอร์สำหรับอำนาจและความรับผิดชอบก็ทำให้ธีมเรื่องชัดเจนยิ่งขึ้น
สิ่งที่ประทับใจส่วนตัวคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลักกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังความลับ เหตุการณ์เล็กๆ ที่ดูเหมือนเป็นฉากเติมเต็มกลับกลายเป็นตัวจุด
ชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฉากเศร้าๆ ที่ไม่หวือหวาแต่เรียบง่ายกลับทำให้ผมน้ำตาซึมเพราะมันจริงและเชื่อได้ เรื่องสรุปด้วยความรู้สึกทั้งหนักแน่นและหวังว่าต่อจากนี้ตัวละครจะได้มีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ซึ่งเป็นตอนจบที่ผมชอบเพราะมันให้ทั้งความสะใจและความอ้อยอิ่งในเวลาเดียวกัน