การอ่าน 'รามเกียรติ์' ทำให้ผมมองเห็นศูนย์กลางทางจริยธรรมและเนื้อเรื่องที่ชัดเจนของงานชิ้นนี้ นั่นคือบทบาทของ
พระรามซึ่งผมยืนยันว่าเป็นตัวละครสำคัญที่สุด ไม่ใช่เพราะเขาแค่เป็นพระเอกตามพล็อต แต่เพราะการตัดสินใจและความสัมพันธ์ของเขากำหนดทิศทางของเรื่องทั้งหมด ผมรู้สึกว่าพระรามคือแรงขับเคลื่อนของค่านิยมแบบโบราณและความยุติธรรมที่เรื่องต้องการสื่อออกมา
พระรามมีหลายมิติที่ทำให้เขาโดดเด่น: การยอมรับชะตากรรมตอนถูกเนรเทศ แสดงถึงการวางตัวเหนืออำนาจและยึดมั่นในหน้าที่ การตั้งใจตามหาสีดาและการรวมพลังกับพันธมิตรอย่างหนุมานและพระลักษณ์ชัดเจนว่าเขาไม่ได้เดินคนเดียว ทุกการกระทำของพระรามมีผลกระทบต่อชะตากรรมของตัวละครอื่น ๆ เช่น การตัดสินใจเดินทางไกลเพื่อช่วยเหลือคนรัก หรือการนำกองทัพต่อสู้กับ
ทศกัณฐ์ ล้วนเป็นเหตุให้เหตุการณ์ต่อเนื่องเกิดขึ้นจนจบเรื่อง ความเป็นต้นเหตุ-ผลที่ชัดเจนนี้ทำให้พระรามกลายเป็นแกนกลางที่พล็อตทั้งหลายหมุนรอบ
นอกจากมุมของพล็อตแล้ว มุมสัญลักษณ์และวัฒนธรรมก็ย้ำความสำคัญของพระรามได้ดี ในงานศิลปะ วัง วรรณกรรม และการแสดงพื้นบ้านของไทย พระรามมักถูกนำเสนอเป็นแบบอย่างของความสง่างาม ความมีระเบียบวินัย และอุดมคติของการปกครอง ฉากเช่นการสร้างสะพานข้ามทะเลหรือการเผชิญหน้ากับทศกัณฐ์จึงไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่เป็นบทพิสูจน์อุดมคติที่ผู้ชมต้องการเห็นกลับมา ประกอบกับความขัดแย้งภายในใจของพระรามเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก ทำให้เขาเป็นตัวละครที่มีทั้งความเป็นเทพและความเป็นมนุษย์ในเวลาเดียวกัน
การยกพระรามเป็นตัวละครสำคัญที่สุดจึงไม่ใช่การมองแค่มิติเดียว แต่เป็นการจับจุดร่วมของพล็อต สัญลักษณ์ และผลกระทบต่อผู้อื่น หากมองในมิติเหล่านี้ พระรามคือศูนย์กลางที่ผมเห็นว่าไม่อาจถูกทดแทนได้ — เป็นทั้งแรงขับและกระจกสะท้อนค่านิยมที่ 'รามเกียรติ์' อยากส่งต่อ