แหล่งกำเนิดของคำว่า 'อาบัตตาคัม' ดูเหมือนจะไม่ได้มาจากตำนานเก่าแก่ชุดเดียวที่เป็นที่รู้จักโดยตรง แต่ชื่อแบบนี้สะท้อนการผสมผสานของรากศัพท์ภาษาบาลี-สันสกฤตและการสร้างคำแบบสมัยใหม่ในนิยายแฟนตาซี ซึ่งเป็นเทคนิคที่นักเขียนหลายคนใช้เพื่อให้ชื่อมีความลึกลับและหนักแน่นทางวัฒนธรรม ตัวพยางค์ 'อาบัตตา' อาจทำให้คิดไปถึงคำบาลีที่มีรูปลักษณ์คล้ายกัน เช่นคำว่ 'อปัตตะ' (apatta) ที่เกี่ยวกับความผิดพลาดหรือการล่วงละเมิด ในขณะที่พยางค์ท้าย 'คัม' ฟังแล้วคล้ายเสียงจากคำว่า 'กัมม' (kamma) ซึ่งแปลว่า 'กรรม' ในบาลี-สันสกฤต การรวมกันแบบนี้จึงให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแนวคิดเชิงจริยธรรมหรือคำสาปที่ผูกโยงกับชะตากรรมของตัวละครหรือวัตถุในเรื่อง
การสร้างชื่อใหม่ ๆ โดยหยิบแก่นภาษาพื้นเมืองโบราณมาประกอบกัน เป็นของที่เห็นได้บ่อยในงานนิยาย เกม และอนิเมะ ตัวอย่างระดับสากลที่ใช้รากศัพท์อินเดีย-เอเชียเพื่อให้ความขลังคือคำว่า 'avatar' จากสันสกฤตที่หยิบมาใช้ในนิยามสมัยใหม่ หรือการนำคำอย่าง 'karma' มาปรับใช้ในเรื่องราวแฟนตาซีและ
ไซไฟ การตั้งชื่อแบบ 'อาบัตตาคัม' จึงน่าจะมาจากผู้สร้างผลงานที่อยากให้ชื่อมีน้ำหนักทางศาสนา-จริยธรรมและเหมาะกับโลกที่มีแรงครอบงำหรือคำสาปโบราณอยู่เบื้องหลัง
หากมองจากมุมของ
ตำนานพื้นบ้านแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย มีแนวคิดใกล้เคียง เช่น เรื่องราวของวิญญาณที่ติดพันกรรม วัตถุอาถรรพ์ที่ทำให้ผู้ครอบครองต้องชดใช้ หรือการลงทัณฑ์จาก
เทพเจ้า แต่นาม 'อาบัตตาคัม' เองไม่ได้มีหลักฐานชัดในตำนานพุทธ-ฮินดูคลาสสิกที่เป็นที่แพร่หลาย ยิ่งถ้าพบชื่อนี้ในเกม นิยายหรืองานแฟนฟิคสมัยใหม่ โอกาสสูงคือมันถูกคิดขึ้นใหม่โดยได้แรงบันดาลใจจากคำแบบโบราณมากกว่าจะยกมาจากตำนานบทใดบทหนึ่งโดยตรง
ในเชิงการใช้งาน ผมชอบความเป็นไปได้ที่ชื่อแบบนี้สามารถบอกได้ทันทีว่าเรื่องนั้นน่าจะผสมทั้งโชคชะตา ศีลธรรม และบางอย่างที่เก่าแก่เกินกว่าจะอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างที่ทำให้คิดถึงคือไอเท็มหรือคอนเซ็ปต์ในเกม RPG ที่มีชื่อฟังเท่มากจนความหมายไม่ชัดเจน แต่เมื่อเปิดเผยเนื้อเรื่องกลับพบว่ามันผูกพันกับบาป กรรม หรือบทลงโทษของเทพ การตั้งชื่อแบบนี้จึงช่วยสร้างบรรยากาศได้ดี และส่วนตัวรู้สึกว่ามันสนุกตรงที่นักอ่านหรือนักเล่นจะได้ค่อย ๆ คลี่คลายที่มาที่ไปของคำว่า 'อาบัตตาคัม' แล้วรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อความหมายเริ่มเชื่อมโยงกับชะตาชีวิตตัวละครในเรื่อง