แค่พูดถึง 'สามก๊ก' ก็ทำให้ภาพตัวละครหลากมิติผุดขึ้นมาในหัวทันที
การเล่าเรื่องแบบยุทธการ การเมือง และจิตวิทยาใน 'สามก๊ก' ปลูกฝังให้ตัวละครไม่ใช่แค่ฮีโร่หรือวายร้ายตายตัว แต่กลายเป็นผลงานทดลองทางบุคลิกภาพ ขณะอ่านเราเห็นว่าความโลภ ความจงรัก ความทะเยอทะยาน และความเหนื่อยล้าทางจิตใจถูกถ่ายทอดผ่านการตัดสินใจในสนามรบหรือโต๊ะเจรจา ทำให้ตัวละครมีมิติและการเติบโตที่สมจริงมากกว่านิยายการผจญภัยทั่วไป
อีกมุมหนึ่งคือการใช้บทสนทนาและการอธิบายเหตุผลเป็นเครื่องมือขยายความลึกของตัวละคร ซึ่งมักทำให้ฉากสำคัญมีความหมายซ้อน เช่น การรอคอยของกวนอู ความรอบคอบของจูกัดเหลียง หรือความทุกข์ระทมของ
เล่าปี่ ทุกคนล้วนสะท้อนปัจจัยทางวัฒนธรรม คุณธรรม และการเมืองในยุคนั้น ทำให้พฤติกรรมของพวกเขามีเหตุผล แม้ว่าจะกระทำสิ่งที่โหดร้ายในมุมมองปัจจุบัน
ผลลัพธ์คือการที่นักเขียนรุ่นต่อๆ มาเอาโมเดลนี้ไปต่อยอด ไม่ว่าจะสร้างตัวละครที่มีข้อเสียชัดเจนหรือใช้เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เป็นฉากหลังเพื่อทดสอบศีลธรรมของตัวละคร การเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้เราเข้าใจว่าตัวละครไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแค่ทำให้เหตุการณ์เดินต่อ แต่เพื่อให้ผู้อ่านได้ตั้งคำถามกับความถูกต้องและแรงจูงใจของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังคงดึงดูดผู้คนให้กลับไปอ่านซ้ำได้เสมอ