หลายแหล่งรวมกันกลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้กับ 'กอบลิน' ไม่ใช่แค่
ตำนานพื้นบ้านชิ้นเดียว แต่เป็นการหยิบเอาเสน่ห์ของเรื่องเล่าเก่าๆ มาผสมกับอารมณ์โรแมนติกสมัยใหม่ ฉันคิดว่าแกนกลางมาจากตำนานดั้งเดิมเกี่ยวกับ '도깨비' หรือกอบลินในเกาหลี ที่มีทั้งความแปลก ประหลาด และลงทะเบียนความเป็นเหนือธรรมชาติ แต่บทของเรื่องเลือกที่จะขยายอารมณ์ความเหงา ความผิดบาป และการไถ่บาปของตัวละครที่เป็นอมตะ ซึ่งเติมเต็มด้วยองค์ประกอบจากพุทธศาสนาและความเชื่อชาวบ้าน เช่น การเวียนว่ายตายเกิด ความผูกพันกับชะตากรรม และการลงโทษที่ยืดเยื้อ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้กอบลินในซีรีส์มีมิติที่ลึกกว่าแค่สัตว์ประหลาดในนิทาน
นอกจากตำนานท้องถิ่นแล้ว ภาพจำในรูปแบบละครสมัยใหม่ก็มีบทบาทสำคัญ งานเขียนที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนธรรมดากับสิ่งเหนือธรรมชาติ มักหยิบเรื่องราวในอดีตมาเทียบกับโลกสมัยใหม่ ฉันเห็นร่องรอยของการเล่าเรื่องแบบละครโรแมนติกที่คุ้นเคย—การใส่แฟลชแบ็กประวัติศาสตร์ ความขัดแย้งจากอดีตที่ตามหลอกหลอนตัวละครในปัจจุบัน และการใช้ภาพวิชวลที่งดงามเพื่อเน้นอารมณ์ ซึ่งทีมผู้กำกับและโปรดักชันช่วยเติมเต็มจินตนาการนั้นให้ชัดเจนขึ้น ทั้งฉากเก่าๆ ใน
ยุคโบราณกับฉากชีวิตในกรุงโซลที่ทันสมัยสร้างความคอนทราสต์ที่ตรึงใจ
นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลจากวรรณกรรมและสื่ออื่นๆ ที่สะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับการเป็นอมตะและการรู้สึกโดดเดี่ยว หนังสือ นิทาน และแม้แต่เพลงที่พูดถึงความโดดเดี่ยวของผู้ที่ไม่สามารถมีชีวิตเหมือนคนอื่นได้ มีผลต่อโทนอารมณ์ของเรื่องอย่างชัดเจน ทำให้การเล่าเรื่องไม่ใช่แค่การผจญภัยเหนือธรรมชาติ แต่กลายเป็นการสำรวจสภาพจิตใจแบบลึกซึ้ง จังหวะการดำเนินเรื่องที่ผสมความเศร้ากับอารมณ์ขันจึงทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากขึ้น ถึงจะมีองค์ประกอบแฟนตาซี แต่แก่นของเรื่องกลับเป็นเรื่องความรัก การเสียสละ และการไถ่บาปที่จับต้องได้
สุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้ฉันเชื่อมต่อกับแรงบันดาลใจของ 'กอบลิน' คือการนำตำนานพื้นบ้านมาปรับให้เป็นเรื่องราวเชิงอารมณ์สำหรับผู้ชมยุคใหม่ การผสมผสานตำนาน พิธีกรรม ความเชื่อ และรูปแบบละครโรแมนติกร่วมสมัยทำให้เรื่องไม่เหมือนใคร และยังคงความอบอุ่นในแบบที่ทำให้ฉันยิ้มและอยากย้อนกลับไปดูซ้ำอยู่เสมอ