ลองนึกภาพฉากเปิดที่มี 'หลี่หลานตี๋' ยืนอยู่
ท่ามกลางความขัดแย้ง แล้วค่อยๆ เผยตัวละครรอบข้างที่ทำให้เรื่องราวมีมิติมากขึ้น คนที่ผมถือว่าสำคัญต้องเริ่มจากครอบครัวใกล้ชิดทั้งพ่อแม่หรือพี่น้อง เพราะส่วนใหญ่แรงจูงใจสำคัญของตัวเอกจะเกิดจากรากเหง้าและความสัมพันธ์พวกนี้ ช่วงที่ตัวละครต้องตัดสินใจใหญ่ๆ มักจะหวนกลับมาที่ความทรงจำหรือคำพูดจากคนในครอบครัว ซึ่งฉากง่ายๆ เหล่านี้ให้ความหนักแน่นทางอารมณ์มากกว่าสงครามหรือการต่อสู้หลายเท่า
ถัดมาให้จับตาอาจารย์หรือผู้ชี้นำที่มีบทบาทสอนและเปลี่ยนวิธีคิดของ 'หลี่หลานตี๋' ตำแหน่งนี้อาจมาในรูปแบบคนแก่คอยชี้ทาง หรือนักปราชญ์ที่ให้มุมมองใหม่ๆ บ่อยครั้งบทบาทครูจะเป็นสะพานที่เชื่อมอดีตกับปัจจุบัน ทำให้เรารู้ว่าทักษะหรือจริยธรรมของตัวเอกมาจากที่ไหน ตัวอย่างชวนคิดถึงฉากที่ความเชื่อของตัวเอกถูกทดสอบ คล้ายกับฉากสอนใจใน 'Nirvana in Fire' หรือเส้นเรื่องที่ครู-ศิษย์ใน 'The Legend of the Condor Heroes' มีบทบาทชัดเจนในการกำหนดทิศทางชีวิตของตัวละคร
อีกกลุ่มที่ไม่ควรมองข้ามคือคนรักหรือพันธมิตรเชิงโรแมนติก เพราะความสัมพันธ์เหล่านี้มักทำให้ตัวเอกเปิดเผยด้านอ่อนโยนและตัดสินใจนอกกรอบได้มากขึ้น สายสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้มีแค่ความรักโรแมนติก แต่รวมถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นหรือคนที่ร่วมต่อสู้ข้างกัน ตัวร้ายหรือคู่แข่งที่ซับซ้อนก็สำคัญไม่แพ้กัน คนที่คอยทดสอบศีลธรรมและความสามารถของ 'หลี่หลานตี๋' มักจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเติบโตของตัวละคร บทบาทศัตรูที่มีมิติ เช่นใน '
the untamed' หรือในซีรีส์การเมืองอย่างบางตอนของ 'Story of Yanxi Palace' ทำให้เรื่องเข้มข้นและไม่ตื้นเขิน
มุมมองเชิงการเมืองและตัวละครหลักฝ่ายปกครองก็มีผลมากเมื่อเรื่องราวเกี่ยวข้องกับอำนาจหรือการแย่งชิงตำแหน่ง ตัวละครประเภทข้าราชการ เจ้านาย หรือผู้นำกลุ่มจะกำหนดเงื่อนไขภายนอกที่บีบให้ 'หลี่หลานตี๋' ต้องเลือกทางเดินที่เสี่ยง ตัวละครรองที่ดูเหมือนไม่สำคัญก็อาจเป็นกุญแจสำคัญ เช่นผู้รับใช้ คนขับรถ หรือครูโรงเรียน ทั้งหมดนี้ช่วยเติมเต็มโลกของเรื่องให้สมจริงขึ้น
ในฐานะแฟนตัวยง ผมมักจะจับสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ทั้งบทสนทนา
แววตา และฉากที่คนรอบข้างทำแทนคำอธิบายยาวๆ มากกว่า เพราะนั่นคือที่มาของความเป็นมนุษย์ของตัวละคร หากคุณดูซีรีส์ที่มี 'หลี่หลานตี๋' ให้ลองสังเกตว่าบทบาทครอบครัว อาจารย์ คนรัก ศัตรู และผู้มีอำนาจต่างขับเคลื่อนเขาอย่างไร — นี่แหละที่ทำให้การดูต่อไปมีรสชาติมากขึ้น และส่วนตัวผมก็ชอบเวลาที่ตัวละครรองถูกดึงขึ้นมาเป็นจุดเปลี่ยน โดยไม่ต้องอาศัยฉากบู๊ยืดยาวแค่นั้นก็ทำให้ใจเต้นได้