อ่านจบแล้วหัวใจยังเต้นไม่หยุดกับฉากเปิดเรื่องที่พาเราก้าวเข้าไปในโลกของ '
คุณลุง ไม่ ติด เหรียญ' แบบไม่ให้พักหายใจเลย — ฉากแถวตลาดที่คุณลุงเดินเร่แจกยิ้มแทนเหรียญเป็นสิ่งที่แฟน ๆ พูดถึงกันบ่อยที่สุดในกลุ่มที่ผมคุยด้วย
ฉากนี้ไม่ได้ยาวหรือหวือหวา แต่รายละเอียดเล็กๆ ทำให้มันติดตา: เสียงฮัมเพลงเบา ๆ เวลาแกพูดกับเด็ก ๆ กลิ่นขนมปังอบจากเตาแผงข้าง ๆ และการที่แกเลือกจะลงมือซ่อมรองเท้าให้เด็กแทนการรับเงิน ท่าทีเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีมันทำให้ผมนั่งนิ่งไปเลยในตอนนั้น เหมือนถูกเตือนถึงความอบอุ่นที่หายไปในชีวิตประจำวัน
ตอนที่ตามมาซึ่งผมคิดว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้กันคือฉากกลางดึกในบ้านเก่าที่เต็มไปด้วยจดหมายและเทปเก่า ๆ แกค่อย ๆ เปิดเผยอดีตของตัวเองเป็นบทสนทนากับความเงียบ สายตาและคำพูดไม่กี่ประโยคกลับบอกอะไรได้มากกว่าพันหน้า นั่นเป็นช่วงเวลาที่เรื่องราวเปลี่ยนจากความน่ารักแบบท้องถิ่น เป็นเรื่องของคนที่เลือกเดินทางของตัวเองโดยไม่แคร์คำตัดสินจากคนอื่น มันทำให้ผมรู้สึกอยากปกป้องตัวละครนี้และก็ขบคิดถึงการตัดสินใจในชีวิตของตัวเองด้วย
ฉากไคลแม็กซ์ในงานชุมชนที่แกขึ้นพูดไม่ใช่การปราศรัยครั้งใหญ่ แต่เป็นการวางใจความจริงบนโต๊ะกลางวงประชุม แกพูดด้วยคำง่าย ๆ แต่มีพลังจนคนในห้องเงียบกันหมด นั่นแหละคือเสน่ห์ของนิยายเล่มนี้ — มันสอนให้เห็นคุณค่าที่หาได้จากความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่จากมูลค่าในกระเป๋า พออ่านจบผมยิ้มในแบบที่อบอุ่นและเศร้าปนกัน เสียงหัวเราะกับน้ำตาอยู่ใกล้กันอย่างแปลกประหลาด เหมือนกับได้คุยกับเพื่อนผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เล่าเรื่องชีวิตให้ฟังก่อนนอน