ยอมรับเลยว่า '
harry Potter and the Order of the Phoenix' ทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกเวทมนตร์มีด้านมืดและความไม่แน่นอนมากขึ้น—ไม่ใช่แค่การใช้คาถาแล้วชนะ แต่เป็นเรื่องของการเมือง ความสูญเสีย และการเติบโตที่เจ็บปวด
1) การกลับมาของโวลเดอมอร์ไม่ได้ถูกยอมรับโดยกระทรวงมหัศจรรย์ การปฏิเสธจากผู้ใหญ่และสื่อทำให้ฮ็อกวอตส์กลายเป็นสถานที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและการปิดกั้นข้อมูล ซึ่งเป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆ เลวร้ายขึ้นกว่าเดิม ผมยังจำความรู้สึกสิ้นหวังเมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่มองข้ามสิ่งที่ชัดเจน—มันสอนว่าการมีอำนาจไม่เท่ากับการมีความรับผิดชอบ
2) โดโลเรส อัมบริดจ์ กลายเป็นตัวแทนของระบบการกดขี่ภายในโรงเรียน เธอใช้กฎ ระเบียบ และบทลงโทษเพื่อกดคนที่คิดต่าง การใช้ปากกาหมึกเลือดและการทรมานทางอารมณ์เป็นภาพที่ฝังใจ ฉันรู้สึกราวกับถูกเขย่าเมื่อเห็นว่านักเรียนต้องเจอกับการลงโทษจากคนที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของความโหดร้าย
3) การก่อตั้ง 'Dumbledore's Army' เป็นการหาวิธีรอดที่อบอุ่นและมีพลัง—ฮาร์รี่,
เฮอร์ไมโอนี่, โรน และพรรคพวกรวมตัวกันสอนกันเองเพื่อเตรียมรับมือกับความจริงที่กระทรวงปฏิเสธ การที่เด็กๆ หันมาช่วยกันฝึกฝนกันเองแสดงให้เห็นถึงความเป็นชุมชนและความกล้าหาญแบบที่ระบบอย่างกระทรวงไม่สามารถทำได้
4) การเชื่อมต่อจิตใจระหว่างฮาร์รี่กับโวลเดอมอร์กลายเป็นเครื่องมือที่ศัตรูใช้หลอกล่อ—นิมิตเท็จเกี่ยวกับซีเรียสถูกส่งมาเพื่อดึงฮาร์รี่เข้าไปในกับดัก นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าความเปราะบางของฮาร์รี่ไม่ใช่แค่ด้านอารมณ์ แต่เป็นช่องโหว่เชิงกลยุทธ์
5) การตายของซีเรียส แบล็ก เป็นหนึ่งในฉากที่แทบจะหยุดความรู้สึกฉันไว้—การสูญเสียคนที่เป็นบ้านและที่พึ่งทางอารมณ์ของฮาร์รี่ทำให้การต่อสู้ไม่ใช่แค่เรื่องการต่อสู้กับปีศาจ แต่เป็นเรื่องของการรับมือกับความโศกเศร้าที่แท้จริง ฉากนี้เปลี่ยนทิศทางของฮาร์รี่และผลักให้เขาต้องโตขึ้นจริงๆ
อ่านภาคนี้แล้วฉันรู้สึกได้ถึงการหดหู่ที่กลมกลืนกับความหวังเล็กๆ ของกลุ่มเพื่อน การเรียนรู้ว่าผู้ใหญ่ก็ผิดพลาดได้และความสูญเสียสามารถสร้างคนใหม่ขึ้นมาก็ทำให้เรื่องมีมิติขึ้นอย่างมาก ช่วงนี้ไม่ใช่แค่บทผจญภัย แต่เป็นบทฝึกใจที่โหดร้ายและงดงามในคราวเดียว