ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงรถเก๋งสีขาวก็แล่นมาถึงลานจอดรถหน้าหอพักสี่ชั้น ด้านหน้าหอพักติดกับประตูรั้วมีต้นไม้ใหญ่ที่มีผ้าสามสีพันเอาไว้หลายชั้นพร้อมกับชุดไทยที่แขวนเอาไว้สองสามชุด ไม่ไกลจากต้นใหญ่ก็เป็นบ้านสีขาวสองชั้นหลังใหญ่ที่มีสวนหย่อมเล็กๆ หน้าบ้านพร้อมกับศาลพระภูมิสีขาวตั้งอยู่
“นี่หอพักที่พ่อกับแม่ทิ้งเป็นมรดกให้เราหลังจากท่านเสีย ในรูปที่พี่ให้ดูไง ตอนที่ชมพูถูกหวย ชมพูก็เอาเงินทั้งหมดมารีโนเวทที่นี่ พอจะจำได้ไหม”
ชมชีวันเงยหน้ามองหอพักสีขาว เธอไล่สายตาจากชั้นบนค่อยๆ เลื่อนลงมาถึงชั้นล่างก่อนจะส่ายหัวช้าๆ เป็นการตอบกลับชื่นชีวา ทว่าคนเป็นพี่ก็ไม่ได้แปลกใจกับคำตอบ เพราะเธอเคยถามคำถามนี้กับน้องสาวมาแล้ว
โชติรวีดึงมือชมชีวันให้หนไปทางขวาของมุมตึก ที่มีตึกแถวสองชั้นสี่คูหาตั้งตระหง่าน “ตรงมุมขวาสุดเป็นร้านขายของชำกับอาหารตามสั่งของป้าน้อย พี่ชอบไปซื้อข้าวกะเพราหมูกรอบบ่อยๆ ข้างร้านป้าน้อยก็เป็นร้านทำผมป้าศรีที่พี่ชอบไปให้แกสระผมให้ทุกอาทิตย์ ส่วนข้างร้านป้าศรีก็เป็นร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ของผมเอง มุมซ้ายสุดก็เป็นสำนักงานของหอพัก”
“ข้ามิคุ้นเลย”
“รู้ว่าจำไม่ได้ บอกเฉยๆ อ่อ...นั่นบ้านที่เราอยู่ แต่พี่ไม่ค่อยนอนบ้านหรอก ชอบนอนในสำนักงานที่ตึกมากกว่า”
“แต่ตอนนี้ต้องนอนที่บ้านกับพี่ เพราะพี่จะต้องสอนชมพูอีกหลายอย่าง แกรีบเอากระเป๋าเดินตามมาเลยวี” ชื่นชีวาจูงมือชมชีวันเดินตรงไปยังบ้านหลังใหญ่ที่พวกเธออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด
เมื่อเดินถึงหน้าบ้านชื่นชีวาก็เลือกที่จะพาน้องสาวไปไหว้ศาลพระภูมิเจ้าที่เสียก่อน เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้จะเจอแต่เรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก ก่อนหน้านี้ตึกหอพักของเธอก็มีปัญหาไฟไหม้ พอได้เงินรีโนเวทเรียบร้อยมีคนกลับมาเช่า น้องสาวของเธอก็ดันมาเกิดอุบัติเหตุหลังจากแต่งงานได้ไม่นาน แล้วก็ต้องกลายมาเป็นคนที่ความจำเสื่อม พูดจาภาษาต่างจากคนทั่วไปแบบนี้
“ทำอันใดฤา” ชมชีวันมองพี่สาวที่กำลังยกมือไหว่สิ่งปลูกสร้างขนาดเล็กด้วยแววตาฉงน
“ไหว้ศาลเจ้าที่ไง ให้ท่านช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป”
รู้เช่นนั้นชมชีวันก็รีบยกมือไหว้ตามชื่นชีวา เธอเข้าใจคำว่าปัดเป่าสิ่งไม่ดี เผื่อว่าการไหว้ครั้งนี้จะทำให้เธอหายสับสนในตัวเองหรือจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง
เงยหน้าขึ้นได้ชมชีวันก็มองจ้องไปยังด้านในศาลพระภูมิด้วยแววตาฉงนหนัก ยังไม่ทันที่เธอจะได้ทักท้วงอะไรในสิ่งที่เห็นก็ถูกพี่สาวจูงมือเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ไปเสียก่อน
ชื่นชีวาพาน้องสาวมานั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องคุยกับชมชีวัน “ที่นี่เป็นบ้านที่เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ หลังจากที่พ่อกับแม่เสีย ชมพูก็ย้ายไปนอนที่สำนักงานของหอพักตลอด เพราะไม่อยากคิดถึงบรรยากาศตอนที่อยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตา”
“ท่านพ่อกับท่านแม่ของพวกเราเสียด้วยเหตุอันใดฤา”
“อุบัติเหตุจากรถยนต์ที่พี่พาเรานั่งกลับมาไง”
“รถยนต์ นั่งรถยนต์แล้วต้องเสียชีวิตฤา”
“ไม่ใช่ทุกคน แค่คนที่ขับรถประมาทไม่ค่อยมีสติ หรือไม่ถ้าโชคร้ายก็ถูกรถคันอื่นมาชนเสียชีวิตอย่างพ่อแม่ของเรา”
“น่าสงสารท่านพ่อท่านแม่ของพวกเรานัก”
“ใช่ พ่อกับแม่เราน่าสงสาร แต่ตอนนี้คนที่น่าสงสารคือชมพู เพราะชมพูจำอะไรไม่ได้ แล้วพี่จะสอนวิธีการพูดใหม่ รวมถึงวิธีการใช้ชีวิตด้วย” พูดจบชื่นชีวาก็พาน้องสาวเดินรอบบ้าน อธิบายว่าอะไรอยู่ตรงไหนยังไงคร่าวๆ จากนั้นก็สอนให้น้องของเธอได้พูดจาเช่นคนปกติ เลิกใช้คำว่าข้ากับเจ้า หรือแม้กระทั่งภาษาที่ดูเหมือนละครจักรๆ วงศ์ๆ รวมไปถึงอีกหลายๆ เรื่องที่น้องสาวของเธอจะต้องเจอในชีวิตประจำวัน
ใช้เวลาร่วมครึ่งค่อนวันกว่าชื่นชีวาจะสอนน้องสาวของเธอจนหมดทุกอย่างที่นึกขึ้นมาได้ จากนั้นชื่นชีวาก็ปล่อยให้มชีวันได้พักผ่อน และทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอได้สอนไปด้วยตัวเอง ส่วนเธอก็ปลีกตัวไปทำอาหารเย็น
“เหรียญหนึ่งบาท เหรียญสองบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสิบบาท...” ชมชีวันนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอนใหญ่ของเธอ พยายามจดจำสกุลเงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของที่พี่สาวเพิ่งสอนให้ได้
“ขนมสิบบาท จ่ายแบงค์ยี่สิบ แม่ค้าจะต้องทอนเงินมาให้สิบบาท”
“คุณเป็นใคร”
ชมชีวันเงยหน้าจากการจับจ้องเหล่าเงินตราตรงหน้า เธอหันซ้ายหันขวาไม่เห็นเจ้าของเสียงก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่น จะว่าเป็นเสียงของโชติรวีก็ไม่ใช่ แต่รู้สึกได้ว่าคุ้นเคยกับเสียงที่ได้ยินมากพอสมควร
“เสียงของผู้ใดกัน เอ่อ...เสียงของใครกัน ทำไมฉันถึงมองไม่เห็นใคร”
“ผมก็ไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน คุณช่วยผมได้ไหม ผมอยากกลับบ้าน”
“ช่วยอย่างไร ฉันไม่เห็นคุณ ฉันต้องช่วยคุณอย่างไร” เอ่ยจบก็พยายามเงี่ยหูฟังเสียงอีกรอบ ทว่ารอแล้วรอเล่าเธอก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นอีก จึงกลับมาสนใจกับเงินตราที่ต้องท่องจำให้ได้ก่อน ไหนจะต้องนับหนึ่งให้ถึงหนึ่งร้อยตามที่ชื่นชีวาได้เขียนเอาไว้ให้อีก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นหลังจากชมชีวันอยู่ในห้องของเธอร่วมสองชั่วโมง
“หิวรึยังชมพู ...เอ อย่าบอกว่าตั้งแต่พี่ออกจากห้องไปก็ยังไม่ได้ลุกจากเก้าอี้เลย”
“ใช่ค่ะ ฉันทบทวนสิ่งที่พี่ชบาสอน”
“ไหน ให้พี่ลองภูมิหน่อยซิ นี่เลขอะไร” ชื่นชีวาชี้ไปยังตัวเลขในกระดาษที่เธอเขียนเรียงกันเอาไว้จากหนึ่งถึงร้อย
“สามสิบแปดค่ะ”
“พูดจามีหางเสียงซะด้วย แล้วนี่ล่ะเลขอะไร”
“ยี่สิบห้าค่ะ”
“พี่ขายปากกาให้ชมพูยี่สิบห้าบาท เอาเงินมาจ่ายพี่”
“นี่ค่ะ” ชมชีวันหยิบแบงค์ยี่สอบพร้อมเหรียญห้าให้กับมือของชื่นชีวา
“ถูกต้อง เรียนรู้ทุกอย่างได้ไวแบบนี้ แสดงว่าเริ่มจำเรื่องเก่าๆ ได้แล้วใช่ไหม”
ชมชีวันส่ายหัวพร้อมอมยิ้มน้อยๆ ที่เธอทำได้ตามสิ่งที่ชื่นชีวีวาสอนก็เพราะตั้งใจเรียนรู้เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับความทรงจำเก่าที่มีแม้แต่น้อย
กรรณิกากลับมาจากซื้อของสดในช่วงเช้าตรู่เธอก็เห็นชายสูงวัยรูปร่างซูบผอมผิวหน้าดำคล้ำมีกระเป๋าเป้สะพายหลังสีดำหนึ่งใบกำลังล้มทั้งยืนอยู่ที่หน้าบ้านของเธอ จึงรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์แล้วเข้าไปช่วยพยุง“คุณลุงคะ ไหวไหมคะ”“ลุงไม่มีแรงเลย ไม่ได้กินอะไรมาสามสี่วันแล้ว”“เข้ามานั่งในร้านฉันก่อนค่ะ” สาวเจ้าพยุงร่างชายสูงวัยเข้ามานั่งที่เก้าอี้หน้าร้านอาหารของตัวเอง จากนั้นจึงรีบหาน้ำหาท่ามาให้ชายสูงวัยได้ดื่ม“ขอบใจมากนะหนู”“แล้วบ้านคุณลุงอยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่คะ”“ลุงไม่มีบ้านแล้วล่ะ ลุงเดินมาที่นี่ก็เพราะจะเอาพระที่เก็บสะสมเอาไว้มาปล่อยแถวนี้”“ถ้าอย่างงั้นคุณลุงนั่งพักที่นี่ก่อนนะคะ เดี่ยวฉันจะทำอาหารให้ค่ะ”“แต่ลุงไม่มีเงินจ่ายนะหนู”“หนูให้ฟรีค่ะ ถือว่าช่วยกันนะคะ”“เจริญๆ นะหนูนะ”กรรณิการีบไปเอาของที่ซื้อมาจากตลาดสดมาเก็บเอาไว้ในตู้แช่อาหารหลังร้าน จากนั้นก็เร่งมือทำอาหารง่ายๆ ให้กับชายสูง
เสร็จจากการสวดอภิธรรมศพคืนที่สองของสมาน มนตรามัจฉาก็รีบบอกให้กรรณิกาได้รับรู้เรื่องที่เธอได้ติดต่อกับนายแบบชื่อดังให้เข้ามาช่วยโปรโมทร้านของเธอ“คุณโรมบอกว่าจะมาที่ร้านกระถินอาทิตย์หน้า เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ แล้วได้คนมาช่วยหรือยัง”“ค่ะ ได้ป้าเดือนกับลูกสาวมาคอยช่วยค่ะ วันนี้คนจากโรงพยาบาลมาซื้อข้าวร้านฉันหลายคนเลย ไหนจะต้องรีบทำอาหารมาส่งที่งานนี่อีก ดีนะคะที่พี่ชมพูเตือนว่าให้หาคนมาช่วยก่อน ไม่งั้นวันนี้รับลูกค้าไม่ทันแน่”“พี่ว่าอีกหน่อยจะเยอะกว่านี้หลายเท่า เตรียมตัวล่ะ”“ค่ะ”“พี่กลับก่อนนะ” คุยธุระเสร็จเรียบร้อยมนตรามัจฉาก็รีบเดินขึ้นรถที่มีชื่นชีวาคอยอยู่เรียบร้อยแล้ว“วีล่ะคะ” เธอหันไปถามพี่สาวมที่กำลังขับรถออกจากลานจอดทั้งที่โชติรวียังไม่มาขึ้นรถ“ให้เพื่อนมารับกลับไปแล้ว”“ทำไมวีไม่กลับกับเราคะ” คิ้วเรียวสวยเริ่มมุ่นเข้ากัน คราแรกที่มาก็ยังมาพร้อมกันแต่ดันไม่กลับด้วยกันเสียอย่างนั้น“ก็ตั้งแต่รู้ว่าชมพูคุยกับนางไม้ได้จริงๆ ก็กลัวน่ะสิ ไม่รู้ว่าจะเลิกตาขาวเมื่อไร ทีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นไม่เห็นจะกลัว อ่อ...แล้วชมพูจะกลับไปทำงานกับพี่ป้องไหม”“ยังค่ะ”“ทำไมเหรอ หรือว่าจะไม่ไปทำง
“ทำไมฉันไม่เห็นคุณล่ะคะคุณอัคคี”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ทำไมผมถึงออกไปหาคุณไม่ได้ แต่ผมรับรู้ได้ถึงความเย็นในใจ วันนี้คุณไปทำบุญให้ผมอีกแล้วใช่ไหมครับ”“ฉันช่วยเหลือคนน่ะค่ะ อันที่จริงพูดว่าเป็นผู้ช่วยนางไม้เพื่อช่วยคนมากกว่า”“ยังไงเหรอครับ ผมอยากฟัง”“เรื่องมันยาวนะคะ เราจะคุยกันนานได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”“ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมจะคุยกับคุณได้นานนะครับ ลองเล่าให้ผมฟังเถอะ”“ก่อนหน้านี้ป้าน้อยที่ขายอาหารตามสั่งอยู่ที่หอแกกำลังเจอปัญหาหนักค่ะ นางไม้เลยสื่อสารกับฉันให้ไปบอกหวยป้าน้อยค่ะ ปรากฏว่าแกถูกรางวัลใหญ่เลยนะคะ”“โชคดีจังเลยนะครับ”“ใช่ค่ะ คงเป็นเพราะบุญของแกด้วยค่ะ แต่หลังจากข่าวเรื่องที่ฉันสื่อสารกับนางไม้ทำให้คนถูกหวยลือไปทั่ว มันก็ทำให้ฉันต้องช่วยคนมากขึ้น แต่ก็ดีค่ะ ฉันจะได้ได้บุญเยอะๆ เอาไว้แผ่ให้คุณแล้วก็ตัวเองด้วยค่ะ”“แบบนี้คุณก็ต้องเหนื่อยแย่สิครับ”“ไม่หรอกค่ะ คนที่ฉันจะต้องช่วย นางไม้จะเป็นคนเลือกมาให้เอง”“แล้วคนที่คุณช่วยวันนี้เขามีปัญหาอะไรเหรอครับ”“เธอเป็นผู้หญิงอายุสิบแปดย่างสิบเก้าค่ะ เธออยากมีเงินเรียนต่อ แต่แม่ก็ดันมาป่วย พี่ชายก็ติดการพนันจนเอาเงินที่เธอเก็บ
มนตรามัจฉาและกรรณิกาเดินมานั่งคุยกันที่ศาลาริมคลองหน้าวัด เธอจำได้ว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีเด็กสาวอยู่กับกลุ่มคนที่เข้ามาในรั้วหอพักยามวิกาล ทว่าทำไมนางไม้ถึงได้เลือกที่จะช่วยหญิงสาวคนนี้ได้“แต่พี่จำได้ว่าไม่เห็นกระถินเมื่อคืนนี้” มนตรามัจฉาเริ่มเกริ่นถามคนที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม“ฉันไม่ได้เข้าไปในรั้วค่ะ ได้แต่ยืนไหว้ต้นไม้อยู่ข้างนอก”“กระถินอายุเท่าไรเหรอ”“ฉันอายุสิบแปดย่างสิบเก้าค่ะ ฉันอยากเรียนต่อก็เลยมาขอให้นางไม้ช่วย ก่อนหน้านี้ฉันกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่แม่ดันมาป่วยพี่ชายก็เอาเงินที่ฉันเอาไว้จ่ายค่าเล่าเรียนไปเล่นพนันบอล ตอนนี้ฉันก็เลยต้องดรอปเรียนแล้วมาทำงานก่อนค่ะ”“คนที่เล่นการพนันไม่รู้จริงๆ เหรอว่าไม่มีทางรวยได้จริงๆ” มนตรามัจฉาว่าด้วยสีหน้าอ่อนใจ“คนคิดไม่ได้ก็คิดไม่ได้จริงๆ นั่นแหละค่ะ”“เดี๋ยวพี่ขอคุยกับท่านสาลิกาก่อนนะว่าจะช่วยกระถินยังไงได้บ้าง” เอ่ยจบก็เริ่มะละลึกถึงนางไม้รูปงามที่แสนใจดี“บอกนางให้เตรียมตัว เพราะต่อไปจะมีลูกค้าหลั่งไหลมาสั่งอาหารไม่ขาดสาย ให้นางหาลูกมือเอาไว้ นางจักเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่จักมีเงินรักษาแม่ ส่วนพี่ชายของนาง มินานจักกลับตัว
เช้าของวันใหม่ไม่ค่อยเป็นที่น่าสดใสนัก มนตรามัจฉาตื่นขึ้นมาก็มารับรู้เรื่องที่น่าเศร้าสลดขึ้น เพราะสมานได้จากโลกนี้ไปแล้ว เท่าที่เจ้าหน้าที่สันนิษฐานเป็นเพราะดื่มเหล้ามากเกินไปทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงจนทำให้หัวใจวายเสียชีวิตในค่ำคืนที่ผ่านมามนตรามัจฉาในชุดเสื้อเชิ้ตพร้อมกางเกงขายาวสีดำ เธอสะพายกระเป๋าเตรียมตัวที่จะไปช่วยงานป้าน้อยที่วัดในช่วงบ่าย ทว่าก่อนไปก็เดินเข้ามายืนที่หน้าต้นไม้ใหญ่ เพราะยังมีเรื่องที่ยังค้างคาใจที่จะต้องคุยกับนางไม้“ท่านบอกข้าว่าจักจัดการสามีของป้าน้อยเอง เหตุที่ทำให้ลุงหมานต้องตาย เป็นเพราะ...”“มิใช่ข้าที่ทำให้คนผู้นั้นตาย” สาลิกาปรากฎกายให้มนตรามัจฉาได้เห็นก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยคำถามจบ “คนผู้นั้นถึงคราวตายแล้วต่างหาก ถึงเพลาที่คนผู้นั้นจักต้องกลับไปชดใช้กรรมของตัวเองแล้ว ข้ามิมีสิทธิ์ทำให้ใครอยู่หรือใครตายหรอกหนา”“ข้าขออภัยที่คิดเช่นนั้น”“ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าจักเดินทางไปที่วัดใช่ฤาไม่”“เจ้าค่ะ ข้าอยากไปช่วยป้าน้อย”“จักมีหญิงสาวนามว่ากระถินมาหาเจ้า หากเจ้าอยากรู้สิ่งใดให้นึกถึงข้าในใจ ถึงข้าจักไปหาเจ้ามิได้ แต่ก็พอจักสื่อสารกับเจ้าได้”“เป็นคนที่ข้า
ชื่นชีวาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ทั้งกลิ่นธูปควันเทียนก็เริ่มขโมง เธอจึงต้องรีบพุ่งตัวเข้าไปหยุดสถานการณ์ตรงหน้าก่อน“ทุกคนกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลอยู่นะคะ หยุดจุดธูปกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”“แต่พวกเราอยากถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเหมือนนังน้อยบ้างนี่นา จะเก็บเงินพวกเราก็ได้ แต่ขอให้เราได้ขอหวยจากต้นไม้นี้ก่อนได้ไหม หรือไม่ถ้าไม่ให้ขอหนูชมพูก็บอกหวยพวกเรามาสิ ได้ข่าวว่าคุยกับนางไม้ได้ไม่ใช่เหรอ”“ใช่/ใช่” เมื่อหัวโจกเอ่ยนำ เหล่าคนพื้นที่ที่มารวมตัวกันก็ว่าตาม“ไปกันใหญ่แล้วค่ะ ชมพูจะไปสื่อสารกับนางไม้ได้ยังไง ถ้าพวกป้าๆ ลุงๆ อยากจะมาขอหวยที่นี่ฉันก็มีข้อแม้ค่ะ”“ยังไงว่ามาเลย”ชื่นชีวาหันมามองหน้าชมชีวันที่อยู่อยู่ไกลๆ เพราะเธอก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน หากจะไล่ผู้คนเหล่านี้ออกไปเลยก็คงจะทำได้ยาก ทว่าจะให้มาจุดธูปจุดเทียนก็กลัวกลิ่นธูปควันเทียนจะรบกวนลูกหอ หากเลวร้ายกว่านั้นก็อาจจะเกิดอัคคีภัยได้ เพราะใต้ต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างมีใบไม้แห้งเยอะพอสมควร“บอกผู้คนเหล่านี้ว่าจักสื่อสารกับข้ามิต้องใช้ธูปเทียน ใช้เพียงใจที่บริสุทธิ์ คนที่จักให้ข้าช่วยต้องเป็นคนที่มีบุญบารมี แลมิใช่ทุ