“ท่านแม่อุ้มท้องเราสองคน และเลี้ยงเรามาจนโตได้ขนาดนี้ เจ้าคิดว่าท่านแม่จะอ่อนไหวกับเรื่องเพียงแค่นี้หรือ เมื่อมีหน้าที่ต้องทำก็ทำมันให้ดี สมกับเส้นทางที่เจ้าเลือก ยามที่สุดเส้นทางแล้วเหนื่อยเมื่อไหร่ บ้านเรายังคงเปิดรอเจ้ากลับมาเสมอ”
สิ่งที่ผู้เป็นพี่กล่าวมันคือคำยืนยัน ว่าครอบครัวของนางจะจับมือกันฝ่าฟันต่อทุกเส้นทางที่เลือก แม่ทัพสาวคลี่ยิ้มออกมาได้ เมื่อสบเข้ากับแววตารักใคร่ของคู่แฝด
“ข้าจะไม่ทำให้พวกท่านต้องผิดหวังเจ้าค่ะ”
หยวนไป่หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นางรู้ดีว่ามารดานั้นห่วงนางสองพี่น้องมากแค่ไหน แต่มิว่านางสองคนจะเลือกเส้นทางดำเนินชีวิตแบบใด มารดามักจะบอกเพียงว่าจะยืนอยู่ตรงนี้ พร้อมอ้าแขนรับในทุกคราที่ลูก ๆ เหน็ดเหนื่อย
ในอดีตนางไม่ได้ตั้งใจที่จะก้าวเข้ากองทัพ แต่เพราะความรู้ดั้งเดิมทำให้นางอดช่วยเหลือทหารบาดเจ็บไม่ได้ ความที่ท่านแม่ทัพชราและเหล่าขุนพลเมตตา จึงคอยสอนการต่อสู้ และให้นางเป็นผู้ช่วยหมอในกองทัพ
และวันที่ชีวิตเปลี่ยนแปลงได้มาถึง เมื่อท่านแม่ทัพชราตกอยู่กลางวงล้อมของศัตรู พร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส นางและท่านหมอใหญ่ รวมถึงเหล่าขุนพลได้ติดตามไปช่วยเหลือ จากผู้ช่วยหมอนางกลายเป็นขุนพลและก้าวสู่ตำแหน่งแม่ทัพ ก่อนจะย้ายขึ้นเหนือด้วยการผลักดันของแม่ทัพชรา
“เส้นทาง…เมื่อเลือกแล้ว ทุกก้าวย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย ไม่ว่าข้าหรือเจ้าน้องรัก มันขึ้นอยู่กับว่าเราจ่ายไปแล้ว จะตักตวงผลกำไรได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น”
“สมกับเจ้าของการค้าเสียจริง ทุกอย่างสำหรับพี่ใหญ่ล้วนต้องมีผลกำไร ฮ่า ๆ”
“ไยข้าต้องจ่ายโดยไร้ผลตอบแทนเล่า สำหรับข้าแล้วความร่ำรวยคือวิถีแห่งความยั่งยืน หึ ๆ”
มันมิใช่คำพูดสวยหรู แต่มันคือความสัตย์จริงที่สองพี่น้องลั่นวาจาเอาไว้ ทุกก้าวเมื่อกล้าที่จะจ่าย สำหรับเบิกถางเส้นทาง ก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่อยู่โดยรอบ เพื่อเติมเต็มต้นทุนที่หว่านลงไป ทำนาต้องได้ข้าวฉันท์ใด การทำงานย่อมต้องได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่าเช่นกัน
สองเดือนถัดมา
การอยู่ร่วมเรือนของหนุ่มสาว เหมือนจะไม่มีผลอันใดต่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เมื่อต่างฝ่ายต่างอยู่ในพื้นที่ของตนเอง ทว่านั่นคือในสายตาของบ่าวไพร่
แต่สำหรับคนเป็นพ่อแม่ ต่างรู้ดีว่าบุตรชายนั้นมีความเคลื่อนไหวอยู่เป็นระยะ แม้ไม่โจ่งแจ้ง แต่การแอบใส่ใจหญิงสาว นั่นนับเป็นสัญญาณที่ดีต่ออนาคตภายหน้าของทั้งคู่
“ท่านแม่ทัพ คุณหนูชูมาขอพบขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มเงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองไปยังด้านหน้าประตู ความคิดบางอย่างแทรกผ่านเข้ามาให้หัว ก่อนที่เขาจะสลัดมันทิ้งไป
“พานางไปรอข้าที่ศาลาชมบัว ประเดี๋ยวข้าตามไป”
“เอ่อ...คือว่า!”
“มีอะไร”
“คุณหนูชูอยู่หน้าเรือนแล้วขอรับ”
“อืม!”
อาการหนักใจของผู้เป็นนาย ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะปกติแล้วท่านแม่ทัพมักจะยินดีเสมอ ในยามที่คุณหนูชูเยี่ยนมาพบ หรือได้พบนางยามออกไปข้างนอก
“ท่านแม่ทัพมีสิ่งใดหนักใจหรือขอรับ” บ่าวคนสนิทเอ่ยถามผู้เป็นนายด้วยความเป็นห่วง
“ทำตามที่ข้าบอก ไม่ต้องถามให้มากความ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยตัดบทเสียงกร้าว
“ขอรับ”
จ้าวลู่เชียนนั่งนิ่งมองไปที่ประตูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะลุกขึ้น เพื่ออกไปพบแขกที่เขาเคยอยากชิดใกล้ ทว่าหลังจากเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเมื่อสามวันก่อน ยากนักที่เขาจะทำใจกับมันได้
งานเลี้ยงจวนสกุลกู้
ณ สวนดอกไม้ด้านข้างเรือนจัดเลี้ยง ร่างสูงที่ตั้งใจจะมาตามคู่หมั้นให้เข้าไปในงาน จำต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่ เมื่อมีหญิงสาวหลายคนอยู่ภายในสวน
“ชูเยี่ยน เจ้าไม่กลัวว่าท่านแม่ทัพจะลืมเลือนเจ้ารึ!” หนึ่งในบุตรสาวขุนนางเอ่ยขึ้น
“คนอย่างจ้าวลู่เชียน ไม่มีทางมองคนอย่างหยวนไป่หลิงหรอกนะ งดงามแล้วอย่างไร ก็แค่แม่ค้าที่อวดตัวว่าร่ำรวย เจ้าคิดรึ! ว่าสตรีที่ไร้บุรุษเคียงข้างจะทำการค้าได้ ถ้ามิใช้อย่างอื่นแลกมา”
ชูเยี่ยนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน นางไม่เชื่อว่าจะมีสตรีคนไหน จะเก่งกาจจนขนาดทำการค้า และเป็นนายของบุรุษได้ หากไม่ใช้เรือนร่างแลกมาด้วยความสำเร็จ
“เจ้าหมายความว่า...นางต้องใช้ร่างกายแลกมาใช่หรือไม่”
“พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ไหนจะน้องสาวที่เป็นแม่ทัพนั่นอีก สตรีดี ๆ ที่ไหนจะไปอยู่ท่ามกลางบุรุษหยาบช้ามากมายเช่นนั้นได้ ร่างกายของพวกทหารทั้งเหม็นเน่าและสกปรกสิ้นดี”
“แต่องค์หญิงใหญ่ก็ทรงเป็นแม่ทัพ” หนึ่งในหญิงสาวที่นั่งร่วมสนทนาเอ่ยขึ้นบ้าง
“หากนางมิใช่องค์หญิง จะได้เป็นแม่ทัพเช่นนั้นรึ! แล้วอย่างไรสุดท้ายก็ลาออกไปแต่งงานกับคนต่างแผ่นดินอยู่ดี มีแค่ตำแหน่งทว่าก็ต้องอยู่อย่างอดสูในบ้านเมืองผู้อื่น”
ชูเยี่ยนที่ไม่ได้ชื่นชอบในตัวองค์หญิงใหญ่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสาแก่ใจ ที่องค์หญิงใหญ่ต้องไปอยู่ต่างแผ่นดิน
“นั่นสินะ! ถึงว่าพี่น้องสกุลหยวน จะเก่งกาจเยี่ยงบุรุษได้อย่างไร ถ้าไม่เอา...แลกมา”
ทุกถ้อยคำของหญิงสาวหลายนาง ทำให้จ้าวลู่เชียนเข้าใจสิ่งที่มารดา เพียรพยายามบอกกล่าวเขามาตลอดได้ในทันที สิ่งที่เขาขาดในการมองโลกนอกเหนือกองทัพ การเรียนรู้นิสัยใจของสตรีที่กำเนิดจากสกุลใหญ่ พวกนางมองบุรุษเป็นเพียงสะพานสำหรับก้าวสู่อำนาจ
เรื่องที่มารดาเคยเกริ่น ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของชูเยี่ยน กับท่านอ๋องสาม เห็นทีเขาคงต้องเปิดหูตาให้กว้างอีกสักหน่อย เพื่อจะได้ไม่เป็นตัวตลกในวงสนทนาของเหล่าสตรีอีก
ส่วนอีกด้านหนึ่งของสวนดอกไม้ สตรีสองนางยืนนิ่งฟังคนทั้งหมดอยู่อย่างสงบ ทุกถ้อยคำล้วนบ่งบอกนิสัยของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี นางไม่แปลกใจเลยว่าทำไม่คุณหนูเหล่านี้ ถึงนั่งรอเพียงเบี้ยหวัดจากครอบครัวและสามีไปวัน ๆ
“พวกนางต่ำช้านักเจ้าค่ะ”
อู่หรงพูดด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ ที่บรรดาลูกหลานขุนนางว่าร้ายผู้เป็นนาย
“ใส่ใจไปไย พวกนางก็แค่ยังไม่เคยพบโลกภายนอกที่ไร้ความสุขสบาย และไม่เคยมีผู้ใดสอนพวกนางให้รู้จักเผื่อใจ สำหรับการใช้ชีวิตในยามสิ้นเสาหลัก”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“เรากลับเข้าด้านในกันเถอะ”
“เหนื่อยหรือไม่ลูกรัก”หยวนไป่หลีเดินเข้ามาหาบุตรสาวด้วยรอยยิ้มละมุน ใบหน้างามของมารดามิเคยจืดจางรอยยิ้มเลย แม้ในยามที่เหน็ดเหนื่อย สองพี่น้องเดินเข้าโอบประคองผู้เป็นแม่คนละข้าง“แค่ท่านแม่มีความสุข แค่นี้นับว่าน้อยมากเจ้าค่ะ”หยวนไป่หลิง ซบใบหน้าลงกับไหล่ของมารดาด้วยความรักใคร่ หยวนไป่หลียกมือขึ้นวางบนแก้มของบุตรสาวทั้งสอง“เจ้าสองพี่น้องล้วนคือความสุขของแม่ รวมถึงเจ้าตัวเล็กของแม่ทุกคนด้วย”หยวนไป่หลีมองไปยังหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน กว่าจะมีวันนี้นางสามแม่ลูก ล้วนผ่านการเสียน้ำตากันมาไม่น้อยเลย“ข้ารักท่านแม่เจ้าค่ะ”สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน หากวันนั้นที่บิดาทอดทิ้ง มารดามิคิดถึงพวกนางที่อยู่ในท้อง ป่านนี้คงไร้ลมหายใจตั้งแต่มิทันลืมตาดูโลก“ท่านแม่ต้องกลับชายแดนเหนือกับข้านะเจ้าคะ คู่แฝดนั่นกำลังซุกซนนัก บิดาพวกนางล้วนมิเคยขัดใจลูกสักครั้ง”หยวนไป่หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เพราะพี่สาวที่ใกล้คลอดมีแม่สามีอยู่เคียงข้างแล้ว แต่นางที่ต้องออกทำหน้าที่รักษาชายแดน ย่อมไม่มีเวลาที่จะดูแลคู่แฝดได้อย่างเต็มที่ หากปล่อยให้สามีของนางเลี้ยงลูกลำพัง เห็นที่จะไร้ความเป็นสตรีอ
เป็นคำอวยพรของสหายทั้งหลาย ก่อนจะผลักร่างเมามายของเจ้าบ่าวเข้าภายในห้อง พร้อมปิดประตูให้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากประตูปิดลงร่างสูงพลันยืดตัวตรง ก่อนจะก้าวไปยังเตียงนอนด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม สุราแค่นี้หรือจะทำอันใดเขาได้ แม่ทัพหนุ่มหย่อนกายลงนั่งเคียงข้างภรรยา ก่อนจะค่อย ๆ เป็นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก รอยยิ้มละมุนคือสิ่งที่เขาปรารถนาได้เห็นมันมาตลอดทั้งวัน “หิวหรือไม่!” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นเราไปกินข้าวกัน” แม่ทัพหนุ่มประคองภรรยาให้เดินไปยังโต๊ะกลางห้อง ที่มีการจัดเตรียมอาหารเอาไว้รอท่าแล้ว โดยมีเตาอุ่นสำหรับทำให้อาหารยังคงความร้อน คู่สามีภรรยาต่างสบตากัน เมื่อสุรามงคลได้ถูกแลกเปลี่ยนแล้ว การสนทนาเป็นไปอย่างนุ่มนวล ต่างจากเมื่อแรกพบหน้า เรื่องราวที่พวกเขาผ่านมันมาด้วยกัน ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย “จะอยู่ตรงนี้กันทั้งคืนเลยรึ! ดึกแล้วมิรู้จักกลับบ้านไปหลับนอน” แม่ทัพสาวเอ่ยถามสหาย ที่พากันแอบอยู่หลังพุ่มดอกไม้หน้าห้องหอ เสียงของนางไม่ได้เบาเลยสักนิด ป่านนี้คนด้านในคงได้ยินกันหมดแล้ว
สองวันถัดมาการเดินทางของคนจากชายแดน ได้แยกเป็นสองคณะ ซึ่งแขกคนสำคัญล้วนอยู่ในขบวนสินค้าจากชายแดน ส่วนในคณะจะเป็นคนของมวลเมฆา ที่ปลอมตัวเป็นคณะของแขกต่างแคว้น การเดินทางทั้งสองคณะนั้นจะแยกไปคนละเส้นทาง และจากสาสน์ลับที่บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคณะต่างเร่งเดินทางชนิดที่เรียกได้ว่ามิได้หลับนอนกันเลยทีเดียว เพราะหากล่าช้า อาจเกิดการสูญเสียที่ยากจะกู้คืนมาได้ หยวนไป่หลิงพยายามป้อนยาให้แก่จ้าวลู่เชียน ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาอาการไข้ของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น ผลคงมาจากความมั่นใจ ว่าตนเองทนไหวต่อการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย จนมันลุกลามเป็นหนักขึ้น “กินยาสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ หาไม่แล้วเราอาจต้องทิ้งท่านไว้ระหว่างทาง” หมับ! แม่ทัพหนุ่มรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะพยายามลืมตามองใบหน้าของสตรีใจร้าย ที่คิดจะทิ้งเขาเอาไว้กลางทาง นางช่างไม่มีหัวใจเอาเสียเลย “เจ้ากล้ารึ!” “ท่านเคยเห็นข้าขู่ใครหรือไม่เล่า” “แต่มันขม!” หยวนไป่หลิงได้แต่อมยิ้ม เมื่อคนตัวโตแสร้งเว้าวอนราวเด็กสิบขว
“โหวปู้หยา ข้ารู้จักเจ้าและอำนาจที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามันได้เป็นอย่างดี แค่ความคิดที่เจ้าจะแตะต้องเขา ข้าก็พร้อมที่จะปลิดลมหายใจเจ้าอย่างไม่คิดที่จะลังเล”หยวนไป่หลิงโน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน โหวปู้หยาขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว คนที่เคยเอ่ยเช่นนี้กับเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ‘เชียวอิง’อึก! หยวนไป่หลิงดันดาบในมือจนมิดด้าม มือบางอีกข้างที่ลูบยังลำคอของชินอ๋อง มันทำให้เขารู้สึกราวแมวข่วนเบา ๆ ก่อนที่ทุกอย่างในครรลองสายตาจะพร่าเลือน“ตอนท่านสังหารสามีข้า แม้ความปราณีสักนิดก็ไม่มี การที่ข้าทำเยี่ยงนี้ใช่เมตตาต่อท่าน แต่ข้ามิอยากให้ลูกของข้าเห็นภาพที่ไม่ชวนมอง”หยวนไป่หลิงเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่า แล้วหมุนกายเดินกลับไปหาจ้าวลู่เชียน ซึ่งแม่ทัพหนุ่มเองก็รีบถลามาโอบกอดหญิงสาวเอาไว้แน่น ก่อนจะผละออกแล้วจับร่างงามหมุนไปมา เพื่อดูให้แน่ใจว่านางปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ก่อนจะรวบกอดหญิงสาวอีกครั้ง“ท่านพ่อ! ฮือ ๆ พวกท่านทำกับเราเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาข้าเป็นถึงโอรสฮ่องเต้นะ”ท่านหญิงโหวถลาเข้าสวมกอดร่างอ่อนแรงของบิดา ที่ตอนนี้มีลมหายใจเหลือเ
“หากเจ้ายังคิดขวางทางข้า เกิดอะไรขึ้นอย่าได้หาว่าข้าไม่เตือน” “เช่นนั้นรึ!” หยวนไป่หลิงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเปิดทาง ในเมื่อวันนี้มาถึงนางก็จะจบเรื่องนี้ด้วยตนเอง แม่ทัพหนุ่มคิดที่จะห้ามปราม ทว่าท่านชายลั่วกลับรั้งเขาเอาไว้ แววตาเชื่อมั่นของผู้เป็นนาย ที่มีต่อคู่หมั้นของเขา มันทำให้แม่ทัพหนุ่มหวาดหวั่นอยู่ในใจ เกรงว่าคู่แข่งทางหัวใจจะมาเหนือความคาดหมาย “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เอาไว้จบเรื่องนี้ข้าจะเล่าให้ฟัง” ลั่วหยางเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่มเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจ ตอนที่ไม่เคยรักใคร่ ปากก็มีแต่จะถอนหมั้น แต่มาดูตอนนี้สิน่า! แทบจะสิงร่างของหยวนไป่หลิงแล้ว ทุกคนเดินออกมายืนอยู่โดยรอบลานกว้างด้านหน้าเรือน เพื่อดูการต่อสู้ระหว่างฮูหยินแม่ทัพแคว้นเยี่ย กับอดีตองค์รัชทายาทจากแคว้นฉู่ หยวนไป่หลิงส่งสัญญาณให้อู่หรง นำอาวุธมามอบแก่โหวปู้หยา “จ้าวฮูหยิน เรื่องนี้ข้าขอเป็นคนชำระความเองได้หรือไม่” เว่ยหลงก้าวเข้ามาเอ่ยขอต่อหญิงสาว “บิดาเจ้ายังตายใต้คมดาบของข้า เจ้าจะ...อ๊ะ!” ปลายกระบี
เสียงของบิดาที่ก้าวผ่าน ทำให้คนที่นอนน้ำตานองหน้า อยากที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือยิ่งนัก แม้จะมิเสียกายแต่เมื่อใครมาเห็นนางในสภาพนี้ ชื่อเสียงของนางย่อมป่นปี้จะมีบุรุษสูงศักดิ์ใดเล่าจะต้องการนางอีก เกิดมามิเคยอดสูเยี่ยงนี้มาก่อน หญิงสาวทำได้เพียงรำพันอยู่ภายในใจ ด้วยความบอบช้ำจนยากจะเยียวยาภายในห้องนอนแม่ทัพหนุ่มกับคู่หมั้น ทั้งคู่ต่างนั่งจ้องตากัน คล้ายกับว่าใครหลบสายตาก่อน ผู้นั้นพ่ายแพ้ในทันที“ใบหน้าของข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือเจ้าคะ”“ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าหมางใจ”หยวนไป่หลิงคลี่ยิ้มน้อย ๆ ทว่าภายในใจของนางกำลังขำขัน เรื่องที่นางลงมือต่อท่านชายจากฉู่ คงทำให้คนตรงหน้ารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วกระมัง“ที่ข้าทำเช่นนั้น เพื่อตัดทุกวงจรความมิรู้พอของเขา หากเขายังมีมันอยู่ มิแคล้ววนเวียนทำร้ายสตรีไปทั่ว โดยมิสนลูกใครเมียใครเจ้าค่ะ”“ข้าไม่คิดที่จะใช้มันพร่ำเพรื่อกับผู้ใด นอกจากภรรยา”แม่ทัพหนุ่มยังคงไม่วายกังวล เกรงว่าตนเองอาจเป็นรายต่อไป หากมีสตรีใดเข้าใกล้เขา เช่นที่ท่านหญิงแคว้นฉู่ได้ทำกับเขาเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนี้“นอนพักเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เรายังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก