หลังจากทุกคนจากไปแล้ว เหลือเพียงคนในครอบครัว แม่ทัพหนุ่มได้ลุกขึ้น ก่อนจะเดินไปนั่งอีกฝั่ง เพื่อจะได้เห็นสายตาของคู่แฝดอย่างชัดเจน
“มิทันแต่งเข้าจวนข้า เจ้าก็กล้าที่จะหยาบคายต่อคนสกุลจ้าวเสียแล้ว”
“หึ ๆ ข้าหรือหยาบคาย คนเราย่อมต้องรู้จักที่จะตอบโต้บ้าง หากสิ่งที่ถูกกระทำมันล้ำเส้นจนเกินไป ยิ่งกับคนที่มิรู้จักคำว่ามารยาท เราก็ไม่ควรที่จะทนจนเกินจำเป็น”
“ข้ายังทนฟังเจ้าโต้เถียงผู้อื่นได้เลย”
“นั่นเพราะไม่มีผู้ใดด่าทอมารดาของท่าน ครั้งแรกข้าเงียบ ครั้งต่อ ๆ มาข้าก็ยังนิ่งเงียบ แต่การให้โอกาสคนนั้น มิควรมากจนอีกฝ่ายมิเกรงใจเรา ถึงข้าจะเป็นเพียงหญิงบ้านนอกแล้วอย่างไร ไม่มีใครในโลกนี้ควรถูกหยามเกียรติทั้งสิ้น ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นเพียงคนวิปลาสหรือยาจกข้างถนนก็ตามที”
“หึ ๆ เจ้าช่างมากด้วยเล่ห์มารยาเสียจริง เจ้ากลัวไปไยว่าท่านพ่อท่านแม่ของข้าจะไม่รับเจ้าเป็นสะใภ้ ในเมื่อทุกคำของข้าพวกท่านยังมิใคร่ใส่ใจ เจ้าไม่จำเป็นที่เจ้าต้องมาเสแสร้งพูดให้สวยหรูหรอก”
“นั่นคือปัญหาทางความคิดของท่าน มิใช่ปัญหาที่ข้าต้องนำมาคิดให้รกสมอง มีสิ่งใดอยากจะพูดก็เชิญกล่าวมาให้หมด วันหน้าจะได้ไม่ต้องสนทนากันให้เมื่อยปาก”
สองสามีภรรยาและแม่ทัพสาว ต่างพากันนั่งดื่มกินกันอย่างเงียบ ๆ โดยปล่อยให้สองหนุ่มสาว ฟาดฟันกันด้วยสายตาและคำพูด นี่นับเป็นสัญญาณอันดี ที่พวกเขาจะเริ่มผูกสัมพันธ์กัน ภายหน้าจะได้ครองคู่กันจนแก่เฒ่า
หยวนไป่หลินไม่ได้เดือดร้อนอันใด กับการถกเถียงกันระหว่างพี่สาวกับว่าที่พี่เขย เพราะอย่างน้อยท่านแม่ทัพจ้าว ก็มิหยาบคายด่าทอหรือแสดงความต่ำช้าทางวาจาเช่นญาติของเขา
เรื่องของสองคนนี้ไหนเลยจะเทียบกับนาง หญิงสาวรู้สึกว่าของที่นางเก็บไว้ในอกเสื้อ มันราวของร้อน ที่นางไม่รู้จะเริ่มต้นบอกแก่ครอบครัวอย่างไร สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ คือรอให้พี่สาวเสร็จสิ้นเรื่องตรงหน้าเสียก่อน ค่อยหารือว่าจะทำเช่นไรต่อไปกับเรื่องของนาง
“ไม่มีสิ่งที่จะพูดแล้วใช่ไหมลู่เชียน เช่นนั้นแม่จะขอพูดบ้าง นับตั้งแต่วันนี้ หลิงเอ๋อร์จะพักอยู่ร่วมเรือนกับเจ้า อย่าได้ปฏิเสธเป็นอันขาด เพราะเจ้าที่ไม่รีบจัดการกับท่านปู่รอง จนทำให้ฐานะของหลิงเอ๋อร์เปิดเผย เจ้ารู้ใช่ไหมว่าผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร ถ้าคู่แข่งทางการค้า รู้ว่านายหญิงของมวลเมฆาคือใคร เรื่องนี้เจ้าจะปัดความรับผิดชอบมิได้เป็นอันขาด และนี่คือคำสั่งของข้าที่เป็นใหญ่ในบ้าน”
แม่ทัพหนุ่มหันไปหาบิดา เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ผลที่ได้คือบิดาที่เมื่อครู่ยังนั่งอยู่ ตอนนี้กลับเอนกายพิงเก้าอี้หลับไปเสียอย่างนั้น
“หลินเอ๋อร์เรื่องนี้เจ้าคงไม่ขัดข้องใช่หรือไม่ ป้าแค่ห่วงพี่สาวของเจ้าเกรงจะเป็นอันตราย”
“ตามที่ท่านป้าเห็นสมควรเจ้าค่ะ”
แม่ทัพสาวตอบรับอย่างไร้ข้อโต้แย้ง เรื่องนี้มันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะการหมั้นหมายมีมาตั้งแต่พวกนางยังเล็ก ไม่ช้าก็เป็นสามีภรรยากัน จึงไม่มีสิ่งใดที่นางต้องไปขัดขวาง
“หลิงเอ๋อร์ แม่อยากให้เจ้าเข้าใจแม่ได้หรือไม่”
จ้าวฮูหยินเกรงว่าที่สะใภ้จะเข้าใจผิด นางผ่านสังคมหน้ากากมามาก กว่าที่จะยืนอยู่ตรงนี้ได้จนผมจะสองสี ย่อมต้องมองสายตาของแขกที่มิได้รับเชิญนั้นออกทั้งหมด
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ”
“แต่ข้า...เอ่อ! เข้าใจขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มจำต้องหยุดคำพูดที่กำลังคิดเอาไว้ ก่อนจะตอบรับมารดาอย่างจำยอม เมื่อสบเข้ากับสายตาที่ตวัดมาของมามารดา ซึ่งมันหาได้อ่อนโยน เช่นที่มองคู่หมั้นของเขาแม้แต่น้อย มันคือความลำเอียงอย่างชัดเจนในความรู้สึกของเขา
ทางด้านคนที่เมามายหลับ ทำเพียงเหยียดยิ้มน้อย ๆ เขารู้อยู่แล้วว่าภรรยาต้องจัดการทุกอย่างได้ และที่น่าพอใจคือว่าที่สะใภ้ใหญ่ของเขา แสดงศักยภาพของผู้นำได้เป็นอย่างดี เก่งกาจแค่ไหนนางก็รู้จักที่จะไว้หน้าครอบครัวของเขา ทุกวาจาแม้จะด่าทอ ทว่าล้วนสุภาพมิหยาบช้า
‘การเดินหมากที่สนุก คู่ต่อสู้ต้องมีฝีมือทัดเทียมกัน หึ ๆ’
ท่านมหาอำมาตย์หัวเราะร่าอยู่ภายในใจ คนที่เขาต้องการกำราบหาใช่บุตรชาย แต่เป็นสกุลสายรอง ที่เขาจะทำอันใดมากไม่ได้ ด้วยความเป็นญาติจำต้องอดทนมาโดยตลอด คงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงเสียที
หลังจากสองพี่น้องมาถึงห้องพัก หยวนไป่หลิงรีบจูงมือน้องสาวมานั่งตรงหน้าในทันที แค่แววตาที่ไม่สุกใสเช่นเคยของคู่แฝด นางก็รู้ได้ในทันที ว่าน้องสาวกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ
สองพี่น้องนั่งสบตากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แม่ทัพสาวจะถอนหายใจออกมาหนัก ๆ หยวนไป่หลินล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนจะนำม้วนผ้าสีทองออกมาวางบนโต๊ะต่อหน้าพี่สาว
“สถานการณ์ไม่ดีเอาเสียเลยพี่ใหญ่ ข้าอาจต้องมีสามีก่อนท่านแล้วกระมัง ฝ่าบาทมีพระราชโองการ ให้ข้าแต่งแก่บุตรชายสกุลกั๋ว”
แม่ทัพสาวพูดด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ นางไม่คิดฝันว่าตนเองจะมาถึงจุดนี้ได้ แม้จะเคยได้ยินมาบ้าง ว่าราชสำนักเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมของเหล่าพยัคฆ์ชรา ที่ไม่ยอมวางมือจากอำนาจ และคมเขี้ยวนั้นกำลังขบลงมาบนกายนาง เพื่อบางหวังควบคุมหรือทำลายหากยืนคนละฝั่ง
“ไม่ชอบใจก็ปฏิเสธเสีย”
ไป่หลิงเอ่ยกับน้องสาวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า นางรู้อยู่แล้วว่าสักวันต้องเกิดเรื่องแบบนี้ เพราะในชีวิตเก่าที่นางเคยรุ่งโรจน์ในฐานะแม่ทัพ จุดจบคือการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ และสิ้นสุดด้วยลมหายใจ
“หากทำเช่นนั้น ขุนนางที่แปรพรรคคงไม่ตกหลุมพรางเรา”
“หากเจ้าทำเพื่อหน้าที่ ก็จงรักษาระยะของหัวใจให้ดี พวกเขามิว่าฝ่ายใด ล้วนมองเจ้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ แต่ถ้าเมื่อใดที่ทุกอย่างสงบลง ข้าเกรงว่าความสัมพันธ์จะยุติลงเช่นกัน ข้า...ข้าห่วงความรู้สึกของท่านแม่”
แม่ทัพสาวมีสีหน้าติดกังวลอยู่ไม่น้อย มารดาของพวกนางต้องฝ่าฟันกับคำของผู้คนมาไม่น้อย หากวันหน้านางเกิดมีชะตาเยี่ยงมารดา ไหนเลยสตรีผู้เป็นดั่งดวงใจของนางจะทานทนต่อมันได้
“เหนื่อยหรือไม่ลูกรัก”หยวนไป่หลีเดินเข้ามาหาบุตรสาวด้วยรอยยิ้มละมุน ใบหน้างามของมารดามิเคยจืดจางรอยยิ้มเลย แม้ในยามที่เหน็ดเหนื่อย สองพี่น้องเดินเข้าโอบประคองผู้เป็นแม่คนละข้าง“แค่ท่านแม่มีความสุข แค่นี้นับว่าน้อยมากเจ้าค่ะ”หยวนไป่หลิง ซบใบหน้าลงกับไหล่ของมารดาด้วยความรักใคร่ หยวนไป่หลียกมือขึ้นวางบนแก้มของบุตรสาวทั้งสอง“เจ้าสองพี่น้องล้วนคือความสุขของแม่ รวมถึงเจ้าตัวเล็กของแม่ทุกคนด้วย”หยวนไป่หลีมองไปยังหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน กว่าจะมีวันนี้นางสามแม่ลูก ล้วนผ่านการเสียน้ำตากันมาไม่น้อยเลย“ข้ารักท่านแม่เจ้าค่ะ”สองพี่น้องพูดขึ้นพร้อมกัน หากวันนั้นที่บิดาทอดทิ้ง มารดามิคิดถึงพวกนางที่อยู่ในท้อง ป่านนี้คงไร้ลมหายใจตั้งแต่มิทันลืมตาดูโลก“ท่านแม่ต้องกลับชายแดนเหนือกับข้านะเจ้าคะ คู่แฝดนั่นกำลังซุกซนนัก บิดาพวกนางล้วนมิเคยขัดใจลูกสักครั้ง”หยวนไป่หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเว้าวอน เพราะพี่สาวที่ใกล้คลอดมีแม่สามีอยู่เคียงข้างแล้ว แต่นางที่ต้องออกทำหน้าที่รักษาชายแดน ย่อมไม่มีเวลาที่จะดูแลคู่แฝดได้อย่างเต็มที่ หากปล่อยให้สามีของนางเลี้ยงลูกลำพัง เห็นที่จะไร้ความเป็นสตรีอ
เป็นคำอวยพรของสหายทั้งหลาย ก่อนจะผลักร่างเมามายของเจ้าบ่าวเข้าภายในห้อง พร้อมปิดประตูให้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากประตูปิดลงร่างสูงพลันยืดตัวตรง ก่อนจะก้าวไปยังเตียงนอนด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม สุราแค่นี้หรือจะทำอันใดเขาได้ แม่ทัพหนุ่มหย่อนกายลงนั่งเคียงข้างภรรยา ก่อนจะค่อย ๆ เป็นผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก รอยยิ้มละมุนคือสิ่งที่เขาปรารถนาได้เห็นมันมาตลอดทั้งวัน “หิวหรือไม่!” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นเราไปกินข้าวกัน” แม่ทัพหนุ่มประคองภรรยาให้เดินไปยังโต๊ะกลางห้อง ที่มีการจัดเตรียมอาหารเอาไว้รอท่าแล้ว โดยมีเตาอุ่นสำหรับทำให้อาหารยังคงความร้อน คู่สามีภรรยาต่างสบตากัน เมื่อสุรามงคลได้ถูกแลกเปลี่ยนแล้ว การสนทนาเป็นไปอย่างนุ่มนวล ต่างจากเมื่อแรกพบหน้า เรื่องราวที่พวกเขาผ่านมันมาด้วยกัน ล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย “จะอยู่ตรงนี้กันทั้งคืนเลยรึ! ดึกแล้วมิรู้จักกลับบ้านไปหลับนอน” แม่ทัพสาวเอ่ยถามสหาย ที่พากันแอบอยู่หลังพุ่มดอกไม้หน้าห้องหอ เสียงของนางไม่ได้เบาเลยสักนิด ป่านนี้คนด้านในคงได้ยินกันหมดแล้ว
สองวันถัดมาการเดินทางของคนจากชายแดน ได้แยกเป็นสองคณะ ซึ่งแขกคนสำคัญล้วนอยู่ในขบวนสินค้าจากชายแดน ส่วนในคณะจะเป็นคนของมวลเมฆา ที่ปลอมตัวเป็นคณะของแขกต่างแคว้น การเดินทางทั้งสองคณะนั้นจะแยกไปคนละเส้นทาง และจากสาสน์ลับที่บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ทั้งสองคณะต่างเร่งเดินทางชนิดที่เรียกได้ว่ามิได้หลับนอนกันเลยทีเดียว เพราะหากล่าช้า อาจเกิดการสูญเสียที่ยากจะกู้คืนมาได้ หยวนไป่หลิงพยายามป้อนยาให้แก่จ้าวลู่เชียน ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมาอาการไข้ของเขาได้ทวีความรุนแรงขึ้น ผลคงมาจากความมั่นใจ ว่าตนเองทนไหวต่อการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย จนมันลุกลามเป็นหนักขึ้น “กินยาสักหน่อยเถอะนะเจ้าคะ หาไม่แล้วเราอาจต้องทิ้งท่านไว้ระหว่างทาง” หมับ! แม่ทัพหนุ่มรวบจับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะพยายามลืมตามองใบหน้าของสตรีใจร้าย ที่คิดจะทิ้งเขาเอาไว้กลางทาง นางช่างไม่มีหัวใจเอาเสียเลย “เจ้ากล้ารึ!” “ท่านเคยเห็นข้าขู่ใครหรือไม่เล่า” “แต่มันขม!” หยวนไป่หลิงได้แต่อมยิ้ม เมื่อคนตัวโตแสร้งเว้าวอนราวเด็กสิบขว
“โหวปู้หยา ข้ารู้จักเจ้าและอำนาจที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามันได้เป็นอย่างดี แค่ความคิดที่เจ้าจะแตะต้องเขา ข้าก็พร้อมที่จะปลิดลมหายใจเจ้าอย่างไม่คิดที่จะลังเล”หยวนไป่หลิงโน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินเพียงสองคน โหวปู้หยาขบกรามแน่นเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาว คนที่เคยเอ่ยเช่นนี้กับเขา มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ‘เชียวอิง’อึก! หยวนไป่หลิงดันดาบในมือจนมิดด้าม มือบางอีกข้างที่ลูบยังลำคอของชินอ๋อง มันทำให้เขารู้สึกราวแมวข่วนเบา ๆ ก่อนที่ทุกอย่างในครรลองสายตาจะพร่าเลือน“ตอนท่านสังหารสามีข้า แม้ความปราณีสักนิดก็ไม่มี การที่ข้าทำเยี่ยงนี้ใช่เมตตาต่อท่าน แต่ข้ามิอยากให้ลูกของข้าเห็นภาพที่ไม่ชวนมอง”หยวนไป่หลิงเอ่ยเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่า แล้วหมุนกายเดินกลับไปหาจ้าวลู่เชียน ซึ่งแม่ทัพหนุ่มเองก็รีบถลามาโอบกอดหญิงสาวเอาไว้แน่น ก่อนจะผละออกแล้วจับร่างงามหมุนไปมา เพื่อดูให้แน่ใจว่านางปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ก่อนจะรวบกอดหญิงสาวอีกครั้ง“ท่านพ่อ! ฮือ ๆ พวกท่านทำกับเราเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาข้าเป็นถึงโอรสฮ่องเต้นะ”ท่านหญิงโหวถลาเข้าสวมกอดร่างอ่อนแรงของบิดา ที่ตอนนี้มีลมหายใจเหลือเ
“หากเจ้ายังคิดขวางทางข้า เกิดอะไรขึ้นอย่าได้หาว่าข้าไม่เตือน” “เช่นนั้นรึ!” หยวนไป่หลิงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนเปิดทาง ในเมื่อวันนี้มาถึงนางก็จะจบเรื่องนี้ด้วยตนเอง แม่ทัพหนุ่มคิดที่จะห้ามปราม ทว่าท่านชายลั่วกลับรั้งเขาเอาไว้ แววตาเชื่อมั่นของผู้เป็นนาย ที่มีต่อคู่หมั้นของเขา มันทำให้แม่ทัพหนุ่มหวาดหวั่นอยู่ในใจ เกรงว่าคู่แข่งทางหัวใจจะมาเหนือความคาดหมาย “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เอาไว้จบเรื่องนี้ข้าจะเล่าให้ฟัง” ลั่วหยางเอ่ยกับแม่ทัพหนุ่มเบา ๆ พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาใจ ตอนที่ไม่เคยรักใคร่ ปากก็มีแต่จะถอนหมั้น แต่มาดูตอนนี้สิน่า! แทบจะสิงร่างของหยวนไป่หลิงแล้ว ทุกคนเดินออกมายืนอยู่โดยรอบลานกว้างด้านหน้าเรือน เพื่อดูการต่อสู้ระหว่างฮูหยินแม่ทัพแคว้นเยี่ย กับอดีตองค์รัชทายาทจากแคว้นฉู่ หยวนไป่หลิงส่งสัญญาณให้อู่หรง นำอาวุธมามอบแก่โหวปู้หยา “จ้าวฮูหยิน เรื่องนี้ข้าขอเป็นคนชำระความเองได้หรือไม่” เว่ยหลงก้าวเข้ามาเอ่ยขอต่อหญิงสาว “บิดาเจ้ายังตายใต้คมดาบของข้า เจ้าจะ...อ๊ะ!” ปลายกระบี
เสียงของบิดาที่ก้าวผ่าน ทำให้คนที่นอนน้ำตานองหน้า อยากที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือยิ่งนัก แม้จะมิเสียกายแต่เมื่อใครมาเห็นนางในสภาพนี้ ชื่อเสียงของนางย่อมป่นปี้จะมีบุรุษสูงศักดิ์ใดเล่าจะต้องการนางอีก เกิดมามิเคยอดสูเยี่ยงนี้มาก่อน หญิงสาวทำได้เพียงรำพันอยู่ภายในใจ ด้วยความบอบช้ำจนยากจะเยียวยาภายในห้องนอนแม่ทัพหนุ่มกับคู่หมั้น ทั้งคู่ต่างนั่งจ้องตากัน คล้ายกับว่าใครหลบสายตาก่อน ผู้นั้นพ่ายแพ้ในทันที“ใบหน้าของข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือเจ้าคะ”“ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าหมางใจ”หยวนไป่หลิงคลี่ยิ้มน้อย ๆ ทว่าภายในใจของนางกำลังขำขัน เรื่องที่นางลงมือต่อท่านชายจากฉู่ คงทำให้คนตรงหน้ารู้สึกไม่ปลอดภัยแล้วกระมัง“ที่ข้าทำเช่นนั้น เพื่อตัดทุกวงจรความมิรู้พอของเขา หากเขายังมีมันอยู่ มิแคล้ววนเวียนทำร้ายสตรีไปทั่ว โดยมิสนลูกใครเมียใครเจ้าค่ะ”“ข้าไม่คิดที่จะใช้มันพร่ำเพรื่อกับผู้ใด นอกจากภรรยา”แม่ทัพหนุ่มยังคงไม่วายกังวล เกรงว่าตนเองอาจเป็นรายต่อไป หากมีสตรีใดเข้าใกล้เขา เช่นที่ท่านหญิงแคว้นฉู่ได้ทำกับเขาเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนี้“นอนพักเถอะเจ้าค่ะ พรุ่งนี้เรายังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก