เมื่อราชครูโม่ชิงเหยียนหมุนกายเดินนำ หว่านชิงก็สาวเท้าอย่างสงบเสงี่ยมติดตามอยู่เบื้องหลัง สายตาไม่เหลือบมองซ้ายขวา ท่าทีเรียบร้อยดุจนักเรียนหญิงที่มุ่งหน้าสู่ห้องเรียนครั้งแรก แต่ใจนางกลับระริกระรี้ เหมือนนักล่าสาวผู้เลือกสนามประลองเสียเอง ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของหว่านชิง
ศาลาไม้ประจำการเรียนตั้งอยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ ร่มเงาเขียวขจีตกทอดลงบนพื้นศิลา ดอกเหมยโปรยกลีบเบาอยู่ปลายฟ้า เสียงลมพัดผ้าม่านกระจายกลิ่นน้ำชาบางจางในอากาศ
ภายในศาลา ผู้ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วมีเพียงสองคนเท่านั้นก้รับสอนเฉพาะคนสำคัญสินะ หว่านชิงก็สำคัญเช่นนั้นที่นี่ก็ควรมีหว่านชิง
หยางหลินองค์รัชทายาทอายุน้อยตัวสูงโปร่งแต่ผอมบาง ร่างในชุดมังกรประจำรัชทายาทแต่งอย่างเรียบง่ายแต่พิถีพิถัน สีหน้าขาวซีดดั่งหยกต้องหมอก ยามสบตา หว่านชิงรู้สึกถึงความหวาดระแวงชัดเจนในแววตาคู่นั้น เหมือนลูกหมาป่าที่เคยถูกรังแกและยังไม่ลืมเลือนรสของคมเขี้ยว
ตกใจหรือ…คงนึกว่าวันนี้ข้ามาเพราะคิดจะแกล้งเล่นสนุกกับเจ้าอีกกระมัง หึ...ก็น่าระแวงอยู่นั่นล่ะ หว่านชิงหัวเราะในใจ
อีกหนึ่งร่างเบื้องขวา เยี่ยนอิงองค์หญิงรอง บุตรสาวคนแรกของฮองเฮานั่งอย่างสงบอยู่ริมเสา ดวงหน้างดงามลุ่มลึกน่าหลงใหลยิ่งกว่าสตรีในจอภาพยนตร์ ใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณนวลเนียนราวไข่มุก กระจับปากแดงสดไร้สีแต้ม เครื่องแต่งกายประณีตเยี่ยงหญิงงามวังหลวง มือขาวสะอาดกำลังร่างอักษรด้วยพู่กันทอง เส้นพู่กันเรียบสนิทไม่สะท้านแม้เสียงฝีเท้าจะดังใกล้เข้ามา นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ไม่ไหวติง ไม่เอ่ยวาจา
‘สมกับที่เป็นสายเลือดของฮองเฮา...แค่ท่านั่งยังประหนึ่งภาพวาดในตำราศิลป์’
หว่านชิงคิดในใจอย่างขบขัน รีแอคฯของแต่ละคนนี่น่าสนใจจริงๆ สายตากวาดมองทั้งสองก่อนยิ้มบางๆ
‘คนหนึ่งคือรัชทายาทแห่งแคว้น อีกคนคือองค์หญิงที่เพียบพร้อมเสมือนเทพธิดา…’ นางถอนใจช้าๆ
‘นี่สินะ พวกเขารู้จักข้าในฐานองค์หญิงใหญ่’
หว่านชิงก้าวขึ้นศาลา สบตาชิงเหยียนเพียงครู่ก่อนจะเอียงกายไปนั่งที่ทางซ้ายของหยางหลิน โต๊ะร่างอักษรของหยางหลิน นำหน้าโต๊ะร่างอักษรขององค์หญิงทั้งสองไปหลายจึ้งด้วยความเป้นไท่จือสินะ หว่านชิงตั้งใจนั่งให้ห่างเยี่ยนอิงทิ้งระยะห่างจากเยี่ยนอิงพอเหมาะ ต้องกันไว้ก่อน ดีกว่าถูกใส่ร้ายว่ารังแกองค์หญิงรอง…นางวางตัวอย่างมีชั้นเชิง หางตายังยกขึ้นน้อยๆด้วยความแสนรู้
‘อยู่ใกล้รัชทายาทน้อยยังปลอดภัยกว่า อย่างน้อยก็มีคนเห็นว่าข้าไม่ได้ระรานใครก่อน’
หว่านชิงนั่งลงด้วยท่วงท่ากุลสตรีอย่างเรียบร้อย มือประสานหน้าตัก สายตาทอดมองเบื้องหน้าเหมือนลูกศิษย์ที่ตั้งใจเรียนหนังสือโดยแท้
แต่ในใจ...กลับเริ่มวางกระดานหมากเกมใหม่ ที่ศาลาแห่งการเรียนรู้เช่นนี้แหละเกมที่นางชำนาญยิ่งกว่าการต่อบทละครใดใด…
แต่ข้างกายนั่นหยางหลินที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย้นด้วยกิติศัพทืของงอค์หญิงใหญ่หว่านชิงที่โ่งดังที่สุดนวังหลวงจะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไรนางยังจงใจมานั่งข้างหยางหลินให้ต้องเสียวสันหลังอีกด้วย
หว่านชิงเหลือบตามองน้องชายร่วมโลกที่น่ารักน่าเอ็นดูที่สุดตัวขาวปากแดงรูปร่างเก้งก้าง ก่อนจะยกมือขึ้นโอบที่ไหล่บางเหมือนไหล่ผู้หญิง
“ไม่ต้องกลัวๆๆข้าสช่วยเจ้าเรื่องการเรียนเองพี่สาวเก่งอยู่แล้วไ-ม่เข้าใจอะไรถามได้ ถามได้ไม่ต้องเกรงใจ”หยางหลินยิ้มแห้งๆกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
ผ่านไปแค่3ชั่วโมง….
น่าเบื่อสมคำร่ำลือ หรืออาจจะเกินกว่าคำร่ำลือก็ว่าได้
หลี่หว่านชิงนั่งนิ่งในท่วงท่าอ่อนหวานเรียบร้อย เงยหน้ามองตำราสามอักษรบนโต๊ะเบื้องหน้า ริมฝีปากจิ้มลิ้มยกยิ้มบาง ๆ อย่างตั้งใจทำตัวให้ดู “ตั้งใจ” แต่เบื้องในนั้น...สมองล่องลอยไปถึงขนม น้ำชา และแท่นนอนนุ่มๆที่มีกลิ่นกำยานลอยหอมอยากจะเปิดปากหาวแต่กลัวว่าอาจารย์จะหาไว้ไร้มารยาท ทุกคนก็คงง่วงนอนแหละแต่ก็ทนฝืน
“…ผู้ที่รู้จักลำดับก่อนหลัง ย่อมไม่ล่วงเกินผู้หลักผู้ใหญ่..…”
เสียงของราชครูโม่ชิงเหยียนกังวาน สงบนิ่ง เสมือนบทกลอนจากฟ้าสวรรค์ แต่กับหว่านชิงแล้ว…เหมือนเสียงกล่อมให้หลับมากกว่า
ดวงตาคู่สวยเริ่มปรือ สะบัดหน้าขึ้นมาแล้วรีบจรดพู่กันลงกระดาษ สะกดคำว่า “คนดี” ไปสามแถว
‘ข้าจะเป็นองค์หญิงตัวอย่างของแคว้น…’ แล้วเงียบ…แอบหาวอีกหนึ่งฟอด
แม้ใจจะลอย ก็มิได้ว่างเปล่า หว่านชิงแอบเหลือบตามองไท่จือหยางหลินที่นั่งด้านข้าง เจ้ารัชทายาทน้อยนั้นแทบไม่มองข้าเลย สายตาระแวดระวังเช่นเคย เหมือนมีกำแพงสูงล้อมไว้ตลอดเวลา ส่วนองค์หญิงรองเยี่ยนอิงก็ยังดูสงบนิ่ง เขียนพู่กันเงียบ ๆ งดงามอย่างไร้ที่ติ ไม่เอ่ยวาจาด้วยแม้แต่คำเดียว
‘สรุป...รัชทายาทยังไม่ไว้ใจข้า องค์หญิงรองก็...ยังคงวางตัวสงบแบบไม่ให้ช่องให้ใครแตะต้องง่าย ๆ’
หว่านชิงถอนหายใจเบา ๆ พร้อมกับลากพู่กันตวัดเส้นสุดท้ายของบทเรียนลงกระดาษ
จบ5ชั่วโมงทรมานแล้วในที่สุด
พอราชครูชิงเหยียนลุกจากที่นั่ง หว่านชิงก็แทบจะลุกพรวดทันที นางเดินออกจากศาลาราวกับพายุเบา ๆ พัดผ่าน ใบหน้าสวยที่เคยยิ้มเรียบร้อยเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นใบหน้าง่วงนอนเต็มขั้น
“จะให้ข้ากลืนตำราอีกสักบท ข้าคงหลับไปกลางคาบแน่...”
เดินยังไม่พ้นต้นหลิวประจำศาลาก็เห็นร่างเล็กๆของซื่อซื่อสาวใช้คนสนิท นั่งหลับฟุบอยู่ตรงขอบทางเดิน พอหว่านชิงเดินมาถึงก็ยกมือแกล้งกระแอมนิดหนึ่ง
"อะแฮ่ม~"
“อ๊ะ! อง-องค์หญิงใหญ่! ข้าน้อยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!” ซื่อซื่อสะดุ้งสุดตัวลนลานคุกเข่าจนแทบจะฟุบลงไปใหม่ ใบหน้าเล็กซีดเผือดด้วยความตกใจ
“หลับอยู่ตรงนี้ทำไม? แล้วเจ้ากลัวอะไรข้าหนักหนาฮึ ข้าเคยฆ่าบิดา ด่ามารดาเจ้าหรือไร”
หว่านชิงเลิกคิ้ว ซื่อซื่อหน้าเหวอ ก็ยิ่งกว่านั้นเถอะก่อนนั้นไม่จิกผมก็ฟาดมือลงบนแก้มใสจนมีรอยแดงไม่เว้นแต่ละวันมาพักหลังนี่แหละที่หว่านชิงไม่เคยลงไม้ลงมือกับซื่อซื่อ
“ท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงมาแล้วเจ้าค่ะ! มานานแล้วด้วย แต่กระหม่อมไม่กล้าเข้าไปรายงาน เลยรออยู่ตรงนี้จน…หลับไป…”ส่งเสียงพูดรนลาน
“ห๊าาาา?! มาแล้วเหรอ?! แย่แล้วๆ”หว่านอิงรวบกระโปรงที่ยาวละข้อเท้าวิ่งหน้าเริ่ดไปยังตำหนักใหญ่ของฮ่องเต้
หว่านชิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสนิท “เรื่องแบบนี้...ไม่ใช่เรื่องที่จะพูดส่งๆ ได้ ข้าไม่มีหลักฐานและอาจไม่มีวันได้หลักฐานด้วยซ้ำ สิ่งที่ข้าทำได้ คือ...ให้ทุกอย่างมันจบลงก่อนที่คนร้ายตัวจริงจะร้อนใจ...แล้วลากคนบริสุทธิ์สักคนมารับผิดแทนคนร้ายตัวจริง ท่านเชื่อข้าเถอะ…หว่านชิงไม่มีทางโกหกอาจารย์หรอกน่า”คำพูดของหว่านชิง ทรงพลังนัก โม่ชิงเหยียนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าช้าๆ“ข้า...ไม่ได้ไม่เชื่อเจ้า หรือคิดจะปฏิเสธ ข้าแค่ต้องรู้ให้แน่ใจก่อนก็เท่านั้น”หว่านชิงยิ้มออกมาอย่างดีใจ ยื่นจดหมายให้เขา“นี่คือสิ่งที่ท่านต้องเอาไปให้เสด็จพ่อในวันพรุ่งนี้ บอกพระองค์ว่า ข้ายืนยันจะขอไปศึกษาพระธรรมในวัด ทำใจให้สงบบ้างสักระยะ...ส่วนท่าน ก็ยืนยันแทนข้าด้วยว่า ข้าได้ยาดีจากท่าน จึงรอดมาได้และอาการดีขึ้นมาก จากนี้ไปข้าจะค่อยๆ แจ้งให้ท่านรู้ว่าจะทำอะไรบ้าง อาจารย์ไม่ต้องห่วงหว่านชิง เชื่อเถอะว่าหว่านชิงทำดีทีุ่ดแล้ว”“ได้ ข้าเชื่อเจ้า” โม่ชิงเหยียนไม่ลังเลที่จะตอบตกลงพลางถอนหายใจยาว“แต่ตอนนี้...อาจารย์ ท่านช่วยแนะนำข้าก่อน คนจะทำใจให้สงบคนจะออกบวช ควรต้องทำตัวยังไง ต้องโกนหัว ใส่ช
ณ ตำหนักเหนือเมฆา หว่านชิงเขียนจดหมายลงบนกระดาษเนื้อดีด้วยลายมืออ่อนหวานสง่างาม…อาจารย์ ข้ามีเรื่องจะขอร้องเป็นการส่วนตัว ให้ท่านมาเยือนที่ตำหนักเหนือเมฆาตอนเย็น…ก่อนจะพับมันอย่างประณีต“ซื่อซื่อ” “เจ้าค่ะองค์หญิง”“เอาจดหมายนี่ไปส่งให้ท่านราชครูโม่” ซื่อซื่อรับจดหมายไปอย่างนอบน้อม ก่อนก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว หว่านชิงจึงเขียนอีกฉบับ…สีหน้านิ่งแต่แววตาเต็มไปด้วยแผนการลึกล้ำยามเย็น “องค์หญิงใหญ่…”เสียงเรียกทุ้มขรึมดังขึ้น หว่านชิงหันไปเห็นโม่ชิงเหยียนยืนอยู่ตรงหน้า แต่งกายเรียบง่ายตามธรรมเนียมราชครู หว่านชิงพยักหน้าเบาๆ อีกคนกัลบทำท่าทีเหมือนว่ารู้สึกอึดอัดที่ต้องมาพบกับหว่านชิง“ซื่อซื่อ ออกไปรอด้านนอก ปิดประตูให้แน่นหนาด้วย” โม่ชิงเหยียนลอบกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ“เจ้าค่ะ”เมื่อประตูปิดลง เสียงจากภายนอกถูกกลบด้วยความเงียบอันหนักแน่นของตำหนักชั้นในโม่ชิงเหยียนขมวดคิ้วมองหว่านชิงบนแท่นนอน กลืนน้ำลายลงคอช้าๆ อีกครั้งมือเย็นเฉียบทั้งที่โม่ชิงเหยียนฝึกฝนเรื่องการวางตัวมาอย่างดี“องค์หญิง...ท่านเรียกข้ามาเช่นนี้ เพราะเหตุใด อีกทั้งท่านยังบาดเจ็บหนักอยู่…หรือว่ารู้สึกไม่ดีตรงไหน”หว่านชิงยิ้ม
ตำหนักเหนือเมฆา องค์หญิงรองเยี่ยนอิงก้าวเข้ามาข้างในทรุดกายลงนั่งหลังตรง สีหน้าพยายามเรียบสงบ แต่ในอกยังคงสะท้านเบาๆ เมื่อมองใบหน้าขาวเนียนซีดเซียวของพี่หญิงตนเอง“เจ้ามาพอดีข้ากำลังเหงาหลายวันมานี้เจ้าก็ไม่มาหยางหลินก็ไม่มาข้าเหงาเหลือเกิน น้องพี่มานี่เถอะมานั่งกินขนมด้วยกัน” หว่านชิงเรียกเยี่ยนอิงพร้อมกับไอถี่ๆ แสดงละครมายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บจากพิษร้าย เยี่ยนอิงไม่กล้าลุกเพราะคิดว่าหว่านชิงองค์หญิงใหญ่ที่ร้ายกาจกำลังจะแก้แค้นด้วยขนมที่เคลือบยาพิษเช่นกัน“พี่หญิงท่านดีกับข้าเสียจริง”“หือว่าอย่างไรนะไม่ดีกับเจ้าแล้วดีกับใครเจ้าเป็นน้องของพี่นะเยี่ยนอิง เจ้ากับหยางหลินเป็นน้องที่ดีนี่” หว่านชิงยิ้มกว้าง เยียนอิงกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ“ท่านไม่โกรธข้าหรือ” หว่านชิงเลิกคิ้วทำตาโต“โกรธเจ้าเรื่องอะไรพี่ไม่เข้าใจ” เยี่ยนอิงทรุดกายลงคุกเข่ากับพื้นเหมือนคนที่ตั้งใจมาสารภาพ“พี่หว่านชิง...ข้าไม่รู้เรื่องจริงๆ เจ้าค่ะ ข้าไม่เคยคิดร้ายต่อพี่หว่านชิงเลยนะ ข้าเพียงแค่...แค่อยากส่งขนมให้ท่านแม่ทัพและท่าน เพื่อขอบคุณเท่านั้น...ไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้” มาเพื่อแก้ตัวสินะ เสียงของเยี่ยนอิงเบา
แต่ประตูบานด้านหน้าถูกผลักออกเบาๆ“พี่หญิง...ข้ามาเยี่ยม....” เสียงหวานนุ่มขององค์หญิงรองเยี่ยนอิงดังขึ้น พร้อมกับภาพของนางในชุดคลุมชมพูอ่อน มือหิ้วตะกร้าผลไม้สด ดูน่ารักอ่อนโยน บอกกับหยางหลินว่าไม่ควรมาแต่เยียนอิงกลับกลับคำมาด้วยตัวเอง แต่ดวงตากลมหวานกลับเบิกกว้าง เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืน เสื้อคลุมเปิดอ้าเผยแผงอกแข็งแรง ข้างตัวมีองค์หญิงใหญ่ที่กำลังจับคอเสื้อเขาไว้ ดวงตาเงยขึ้นสบตาเขา...ราวกับเวลาหยุดลงชั่วครู่“ขะ...ข้ามาผิดเวลาเสียแล้วหรือเปล่า...” เยี่ยนอิงพูดเสียงเบา ดวงตาวาวขึ้นเล็กน้อย เหลือบตามองไป๋เหวินหลงสายตาของเยียนอิงแวบหนึ่งคล้ายตัดพ้อ และเศร้าสร้อยหว่านชิงกะพริบตาแล้วคลี่ยิ้มอย่างเฉื่อยชา“อา...เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดีเลยล่ะ ข้ากำลังให้เขาสอนวิธี...ป้อนยาแบบเร่งด่วนอยู่พอดี ไม่มีไม่มีอะไรเสียหน่อยอย่าคิดไปเองสิข้ากับท่านแม่ทัพ อ่า อะพอดียาหกรดเสื้อของท่านแม่ทัพ ขะขะข้าก็แค่จะถอดเสื้อให้เขาไม่ไม่ไม่ ข้าแค่จะช่วยเขาถอดเสื้อก็เท่านั้น ไม่ได้คิดจะทำอะไรกันเสียหน่อยฮ่าาาา”ไป๋เหวินหลงสะอึกเบาๆ รีบหันหลังรวบเสื้อคลุมกลับสวม ใบหน้าแดงเร
ม่านราตรีคลี่คลุมทั่วฟ้าดิน ลมกลางคืนพัดกรูแรงราวกับกระซิบความลับของใครบางคน พื้นหินเย็นเฉียบในป่าร้างนอกเมืองหลวง เงาสองเงาปรากฏท่ามกลางไอหมอกจางจางสองคนในเสื้อคลุมสีดำยาวยืนประจันหน้า หนึ่งในนั้นมีผ้าคลุมปิดครึ่งหน้าทิ้งไว้เพียงดวงตาคมกริบ อีกคนหนึ่งแม้ไร้ผ้าปิดบัง แต่สีหน้าก็เคร่งเครียดไม่ต่างกัน“เจ้าว่า...พิษนั้น...ถ้ากระอักเลือดสดออกมาแล้วไม่เกินสามชั่วยาม...ต้องตายแน่นอนใช่หรือไม่” เสียงทุ้มต่ำของหญิงที่ไร้ผ้าคลุมหน้าดังขึ้นแผ่วเบาหญิงอีกคนพยักหน้า สีหน้าแน่นิ่งราวรูปสลัก“แน่นอน พิษนั้นข้าเป็นคนปรุงเองกับมือ หากเลือดออกจากปากและจมูกพร้อมกัน แปลว่าพิษทะลวงหัวใจแล้ว...ยังไงก็ไม่รอด”“แต่ นาง ยังมีชีวิตอยู่” คนแรกพูดเสียงเย็นชาขึ้น ดวงตาวาววับจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “หว่านชิง...นังองค์หญิงใหญ่นั่น ยังไม่ตาย!ยังมีชีวิตอยู่ทำตัวน่าสงสารไปวันๆ”อีกคนเงียบไปครู่หนึ่ง...ก่อนพูดเสียงขุ่น“ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่”“หรือไม่...ก็ นางมียาถอนพิษในครอบครอง”คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศมืดมนยิ่งขึ้น ราวเมฆดำบดบังดวงจันทร์ หญิงอีกคนในผ้าคลุมหน้าแค่นหัวเราะเย็น“นางอ่อนแอแค่ไหน ใครๆ ก็เห็นกันทั้งวัง แต่บางค
หน้าตำหนักกุ้ยเฟย ใต้เงาต้นหลิว แสงจันทร์เริ่มไล้ขอบฟ้าแม่ทัพไป๋เหวินหลงเอ่ยลากุ้ยเฟยหยุนชินด้วยมารยาทงามตามธรรมเนียม แต่ก่อนจะก้าวเท้าออกจากตำหนัก เขาเหลือบไปเห็นองค์ชายหยางหลินที่ยังยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง จึงเอ่ยเรียกเสียงนิ่งทุ้ม“องค์ชาย...ออกมาส่งข้าหน่อย”หยางหลินที่กำลังว้าวุ่นใจเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วรีบก้าวตามท่านอาแม่ทัพออกมาสองเงาเคลื่อนผ่านเรือนเงียบสงบ พอพ้นจากสายตาผู้คน แม่ทัพไป๋เหวินหลงจึงหยุดเท้าใต้ต้นหลิว แสงจันทร์สีเงินลูบผ่านไหล่เสื้อคลุม ดวงตาคมเข้มหันมามองหลานชายตรงหน้า“หลินเอ๋อร์”เสียงเรียกที่แฝงแววกังวลเอ่ยขึ้น“เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องที่องค์หญิงรองพูดกับเจ้า?”หยางหลินชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะกัดริมฝีปาก “ท่านอา ข้า…ไม่รู้จะคิดอย่างไรเหมือนกัน”แม่ทัพยังคงนิ่ง ไม่เร่งเร้าหยางหลินเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาแฝงทั้งความสงสัยและกลัว“พี่เยี่ยนอิงบอกว่า…มีคนเริ่มพูดกันว่าข้าปอกสาลี่ให้องค์หญิงใหญ่ แล้วพี่หญิงกระอักเลือด...พวกเขาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะข้าได้”เสียงเขาแผ่วเบากล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด“นางยังพูดอีกว่า...เ