LOGINเสียงตะโกนของหว่านชิงดังสนั่นก้องศาลาราวกับระฆังยามศึก นางเบิกตากว้างเหมือนมีใครสาดน้ำเย็นใส่หน้าตอนเช้า
“ไม่ได้การแล้ว! ข้าต้องไปหาเขา!”
นางหมุนกายพรวดพราดกระโจนไปข้างหน้า กระโปรงลากระพื้นปลิวตามแรงก้าว ซื่อซื่อวิ่งตามแทบไม่ทัน ตะโกนด้วยความตกใจ
“องค์หญิง! ระวังเจ้าค่ะ เดี๋ยวทรงจะล้มเจ้าค่ะ!”
“แล้วเขาอยู่ไหน!” หว่านชิงหันมาถามทั้งที่ยังวิ่งอยู่
“มะ...ไม่ทราบเจ้าค่ะ เห็นเพียงว่าท่านแม่ทัพก้าวเข้าวังมาแล้ว รีบเดินเหมือนจะมุ่งหน้าไปที่ใดสักแห่ง”
หว่านชิงเบรกเท้าหยุดนิดหนึ่ง หันขวับ
“ถ้าอย่างนั้น...เขาต้องไปหาท่านพ่อ!”
พูดจบนางก็วิ่งต่อทันที เป้าหมายชัดเจน ตำหนักฮ่องเต้!
นี่แหละคือโอกาสของหว่านชิงแล้ว เก็บแต้มๆๆ ฮ่าาาาาไปเก็บแต้มกับพระเอกก้านนนนน
หว่านชิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูตำหนักเหมือนรูปสลัก แต่ภายในใจกลับร้อนรนยิ่งกว่าหม้อต้มน้ำในครัวหลวง ให้ตายเถอะ! มาแบบนี้ไม่บอกกล่าว จะให้ข้าทำหน้าอย่างไรให้ดูน่าเชื่อว่าไม่ได้ตั้งใจมาหาผู้ชายเฉยๆ …
ดวงตากลมโตร้อนรนกลอกไปมา ก่อนจะกะพริบแป๊บๆ อย่างคิดอะไรออก
“เอาละ! บ่อปลาคราฟนั่นแหละ ใช้เป็นข้ออ้างได้!กลบบ่อปลาคราฟให้หมดไม่อย่างนั้นหว่านชิงจะต้องตกบ่อปลาคราฟตาย” หว่านชิงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วพุ่งพรวดเข้าไปในห้องราวลูกธนู
“เสด็จพ่อ~! ลูกมีเรื่องจะกราบทูลเพคะ เรื่องบ่อปลาคราฟ…”
เสียงหว่านชิงขาดห้วงทันทีเมื่อสายตาปะทะเข้ากับแขกสองคนในชุดเกราะเหล็กคล้ายกัน กำลังก้มหน้าอยู่หน้าพระราชบัลลังก์ หว่านชิงชะงัก หัวใจเต้นตึกตัก ไม่เห็นหน้าก็ ไม่รู้ว่าใครคือแม่ทัพไป๋เหวินหลง
‘เอ้า หันหลังให้ประตูซะงั้น ต้องเป็นหนึ่งในสองคนนี้แน่...แต่ใครล่ะ?’
หว่านชิงยิ้มแห้ง ถอนหายใจแผ่วๆ แล้วแสร้งค้อมศีรษะ
“อ่า...ลูกขออภัยเพคะ ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อมีแขกอยู่ จะไปรอข้างนอกก่อนแล้วกันเพคะ”
ไม่รอคำอนุญาตใดๆ จากฮ่องเต้ หว่านชิงก็ผลุบออกมาพร้อมปิดประตูเสียงดัง ปัง! พิงหลังแนบประตู ใบหูแนบใกล้ราวแมวน้อยเฝ้าฟังเสียงฝีเท้าในห้องภายใน ดวงหน้าสวยฉายแววสนุกสนานแบบเด็กซนกำลังตามล่าความลับ ใครกันนะ? ใครคือแม่ทัพไป๋เหวินหลงที่ลือกันว่าเป็นมือขวาคู่บัลลังก์ของเสด็จพ่อคนนั้น…ต่อมเผือกก็ทำงานเขากำลังหารือเรื่องอะไรกันเสด็จพ่อของหว่านชิงจึงมีสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนั้น
ทหารที่ยืนเฝ้าหน้าประตูมองเธออย่างกระอักกระอ่วน เหงื่อไหลปรอย ๆ ขณะองค์หญิงใหญ่พิงประตูทำหูกางอย่างจริงจัง แล้วค่อยๆ ขยับตัวออกห่างใครบ้างจะไม่เคยเจอฤทธิ์ของหว่านชิงยามที่โมโห
“องค์หญิง…” ซื่อซื่อกระซิบ
“จุ๊ๆ เงียบก่อน…ขอข้ากำลังฟังอยู่” หว่านชิงตอบเบา ๆ โดยไม่ละหูจากบานประตู
ในหัวมีแต่เสียงชื่อ ไป๋เหวินหลง ไป๋เหวินหลง...หัวใจที่เต้นแรงขึ้นทุกทีเมื่อรู้ว่ากำลังจะได้เห็นหน้า "พระเอก" ตัวจริงในอีกไม่กี่อึดใจ
ระบบจัดพระเอกหน้าตาแบบไหนมาให้น้าาาาาถึงจะบอกไว้งั้นๆ แต่ก็อยากเห็นแหละ
หว่านชิงเรียบเรียงความคิดตนเองเงียบๆ ริมฝีปากขยับพึมพำเบาๆ แล้วยกมือแตะปลายคางอย่างใช้สมอง
“ลักษณะของพระเอก...จากที่เคยได้ยิน…ไม่สิเคยเห็นอ่านมาในนิยาย”
หล่อ ใบหน้าคมเข้ม หน้านิ่งราวน้ำแข็งในฤดูเหมันต์ ดวงตาดุกร้าว เพียงปรายตาก็ไร้ผู้ใดกล้าสบตาต่อ ออร่าแม่ทัพแรงขนาดที่ว่า...ขุนนางยังใจสั่นเมื่อเดินผ่าน เขาผ่านสนามรบจนแม้ไม่ต้องเอ่ยคำใด ขุนนางทั้งท้องพระโรงก็พร้อมจะโน้มศีรษะยอมสยบ ท่าทางองอาจไม่ผิดจากหลี่เซวียนอี้ฮ่องเต้บางคนกลับคิดว่าเป็นพ่อลูกกันด้วยซ้ำ หว่านชิงอมยิ้มเสด็จพ่อของหว่านชิงองอาจจริงๆ หรือคงเฉพาะตอนที่ไม่อยู่กับหว่านชิงสินะต่อหน้าคนอื่นก็ฮ่องเต้ผู้องอาจห้าวหาญ
อืม...แล้วท่านแม่ทัพคนนั้นยังมีอะไรอีกน้าาา? ใช่แล้วดูสูงมาก ขี่ม้าเก่ง ถือกระบี่เป็น และยามที่เขาเผลอยิ้มนี่โลกราวกับจะถูกหลอมละลายไปเลยทีเดียว แต่เขาไม่เคยยิ้มให้ใคร จริงสิมีไฝใต้ตาซ้าย
ประตูที่หว่านชิงกำลังพิงอยู่ถูกผลักเปิดออกอย่างกะทันหัน แรงผลักนั่นทำให้หว่านชิงวูบเซไปตามแรงเหวี่ยง ใบหน้าขาวสะอ้านเบิกตากว้าง สีแดงระเรื่อบนแก้มยังไม่ทันจางก็มีเสียงร้องตกใจจากข้างๆ ดังขึ้น
“องค์หญิง”
เสียงซื่อซื่อแหลมลั่นพุ่งเข้ามาหมายจะคว้าหว่านชิงที่กำลังจะล้มเพราะแรงผลักประตู แต่เร็วเท่าไรก็ยังไม่ทันมือของคนผู้หนึ่งที่ยื่นออกมารับร่างบางไว้ก่อน…
วงแขนแข็งแรงของใครบางคนคว้าเอวหว่านชิงไว้พอดี ทันเวลาราวจับจังหวะของสายลม มือใหญ่นั้นหนาและแน่น กล้ามเนื้อใต้แขนเสื้อนั้นราวกับเหล็กกล้า และในเสี้ยววินาทีที่หว่านชิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังคลุกใบหน้าลงกับอกอุ่นของเขา หัวใจก็เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ คนอะไรมีความดึงดูดเพียงนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือท่านแม่ทัพไป๋เหวินหลง
ดวงตาคมวาวที่จ้องมองใบหน้าของหว่านชิงริมฝีปากได้รูปแย้มน้อยๆ อ้อมแขนอบอุ่นไม่กอดรัดจนทำให้รู้สึกเจ็บแต่ผ่อนอ้อมแขนโอบรอบให้รู้สึกปลอดภัย ใบหน้าหล่อที่หล่อจนแทบลืมหายใจ
แดดยามเช้าทำให้ท้องฟ้าฉายแสงทองสุกสว่าง ลมเย็นพัดผ่าน ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ทอดยาวไปทั่วสนามซ้อม กระบี่ไม้เล่มยาวถูกหมุนไปตามจังหวะอันเฉียบคม เสียงไม้กระทบกันดังอย่างชัดเจนกลางการฝึกซ้อมหว่านชิงยืนอยู่ที่ข้างสนาม ดวงตาอ่อนหวานจ้องมองไปที่สองพ่อลูกที่กำลังซ้อมกระบี่อย่างตั้งใจ ไป๋เหวินหลงที่มั่นคงและมีท่าทีองอาจยืนเป็นคู่ฝึกให้กับลูกชายสุดที่รัก องค์ชายน้อยไป๋ชิงหลงลูกชายที่เป็นผลจากความรักของหว่านชิงกับไป๋เหวินหลง ยิ้มแย้มและเต็มไปด้วยพลังความมั่นใจ ท่าทางของเขายังสะท้อนถึงมารดาและรอยยิ้มของบิดา“ท่านพ่อข้าใกล้จะเก่งเท่าท่านแล้วนะ”เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ เมื่อไป๋ชิงหลงพลาดท่าล้มลงไปที่พื้น หว่านชิงหัวเราะออกมาเสียงเบา ยิ้มกว้างไปยังลูกชายที่กำลังลุกขึ้นมาจากพื้น ท่าทางขัดเขินน้อยๆ ของเขาทำให้หัวใจอบอุ่นและเต็มไปด้วยความสุขฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้มองไปที่หลานชายตัวน้อย หยุดก้าวเดิน ยืนห่างๆ จากหว่านชิง สายตาอ่อนโยนและภาคภูมิใจที่ได้เห็นครอบครัวของหว่านชิงที่เติบโตและงดงาม"มันงดงามมากเลยภาพที่ข้าเห้นนี้มันงดงามจริงๆ" เสียงฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ดังขึ้นแผ่วๆ พูดกับหว่านชิงที่ยืนอยู่ข้างๆหว่าน
ตำหนักกลางน้ำที่ตั้งอยู่ในที่ที่ลึกและห่างไกลจากความวุ่นวายภายในวังหลวง สถานที่แห่งนี้มีน้ำลึกเกือบ 30 เมตร ไม่มีสะพานเข้าออก มีเพียงการส่งอาหารและสิ่งของที่เชือกชักรอกตำหนักนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับฮองเฮาจงหลันซื่อและองค์หญิงเยี่ยนอิงหลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตในวังได้อีก จึงถูกกักขังในที่แห่งนี้ ไม่มีโอกาสได้พบปะกับใครและการเข้าเยี่ยมก็ทำได้เพียงแค่เห็นจากระยะไกล ไม่มีการพูดคุยกัน“ถึงแล้วหรือ”ฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้พร้อมด้วยกุ้ยเฟยหยุนชินและไท่จือหยางหลินเดินทางมาถึงตำหนักกลางน้ำที่เงียบสงัดและห่างไกลจากวังหลวงฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้เดินขึ้นไปบนเนินเล็กๆ ที่มองเห็นตำหนักในระยะไกล พอเห็นท่าทางสงบของสถานที่นี้ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับหยางหลินและกุ้ยเฟยหยุนชินด้วยสีหน้าหนักใจ“ในที่สุดแล้ว ข้าก็ไม่อาจตัดใจประหารพวกเขาได้…ถึงแม้ข้าจะบอกว่าไม่รัก แต่…ในใจข้ายังมีความผูกพันกับหลันซื่อ…ตอนนี้นางอยู่ไม่สู้ตายแล้ว ส่วนเยี่ยนอิงก็พูดจาเลอะเทอะไปหมด…จิตใจของเยี่ยนอิงเองคงบอบช้ำไม่น้อยข้าเองก็ไม่อาจทนเห้นพวกเขาต้องทนทุกข์” หลี่เซวียนอี้
เสียงพิณและขลุ่ยดังขึ้นเบาๆท่ามกลางความงดงามของสวนที่ประดับด้วยดอกไม้สีสันสดใส ทั้งท้องฟ้าและแสงแดดที่อ่อนโยนได้สร้างบรรยากาศอันแสนโรแมนติกขันทีจือกงพยุงฮ่องเต้หลี่เซวียนอี้ที่เป็นประธานในงานวันนี้ พยักหน้าให้แก่ผู้คนที่อยู่รอบข้าง ใบหน้ายิ้มกว้างกว่าทุกครั้ง“ห่าวๆๆๆวันนี้วันดี”ส่งสียงหัวเราะดังลั่นโม่ชิงเหยียนยืนอยู่ในมุมหนึ่งของงาน ยิ้มเศร้าๆแม้ในใจเขาจะยินดีอย่างบริสุทธิ์ก็เจ็บปวดเล็กน้อยเช่นกัน แต่ในที่สุดเขาก็ยินดีให้กับความสุขของหว่านชิงกับเพื่อนรักจากใจ มือข้างหนึ่งล้วงหยิบเอาหยกพยัคฆ์ขาวออกมา นี่คือของขวัญวันแต่งงานของหว่านชิงที่เขาตั้งใจส่งคืนนางเสียหยางหลินที่ยืนอยู่ข้างๆไป๋เหวินหลงท่าทีองอาจภูมิใจ เขาเดินตรงไปยังตำแหน่งที่ถูกเตรียมไว้ในฐานะไท่จือผู้ที่จะช่วยปัดเป่าปัญหาภายในวังหลวง ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปและวันนี้ก็มั่นใจว่าเขาทำหน้าที่ได้ดีมากขึ้น เขาเป้นไท่จือที่ไร้ข้อบงพร่องแล้วในขณะที่ไป๋เหวินหลงในฐานะเจ้าบ่าวที่องอาจงดงาม ได้ขี่ม้าสีดำที่ประดับด้วยริ้วผ้าสีแดงสดใส ร่างสูงสง่าของเขาเหมือนเทพบุตร สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนในงานหว่านชิงในชุดเจ้าสาวสีแดงโดดเด่นที่ถูกปัก
ท่านโหวจงซื่อที่บาดเจ็บจากการโจมตีของไป๋เหวินหลงและหานเฟิงดึงตัวเองออกไปได้อย่าลำบากแต่ไม่อาจสู้ต่อไปได้อีกแล้ว ล้มลงไปข้างหน้า ไม่มีเสียงใดๆ จากท่านโหวเลือดสีแดงสดท่วมตัวเขาเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทางด้านหลัง ฮองเฮาหลี่หลันซือที่ถูกกักบริเวณแต่ผู้คุมกันข้างกายทำลายประตูตำหนักและช่วยออกมา เมื่อได้ยินข่าวก็รีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางซีดเซียวเต็มไปด้วยความตกใจ และเมื่อเห็นท่านโหวจงซื่อล้มลงไปกับพื้น ร่างของฮองเฮาหลี่หลันซือสะดุดหยุดลงทันที"ท่านโหว!" ฮองเฮากรีดร้องเสียงดังวิ่งไปข้างหน้าแล้วประคองร่างอ่อนแรงของท่านโหวขึ้นมา โดยไม่สนใจว่าตอนนี้ท่านโหวได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก หยดน้ำตาของฮองเฮาหลี่หลันซือไหลออกจากดวงตาหยดลงบนแก้มท่านโหวจงซื่อ ฮองเฮากล่าวเสียงอ่อนด้วยความเสียใจราวกับดวงใจแตกสลาย"ท่านโหว...ท่านโหว ข้าขอโทษ…ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาจะ…รุมทำร้ายท่านเช่นนี้…"หว่านชิงที่กอดหยางหลินอยู่มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและหันไปมองไป๋เหวินหลงและโม่ชิงเหยียนที่ยังคงยืนเคียงข้าง“อาจาร์ย รีบตามหมอหลวงและทหารมา” หว่านชิงรีบพูดอย่างร้อนใจ มือกดห้ามเลือดหยางหลินแน่นโม่ชิงเหยียนเข้าใจทันทีร
แม้ว่าหยางหลินจะมีแผนอยู่แล้ว แต่การเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ทำให้เขาเกิดความกลัวและกังวลอย่างเลี่ยงไม่ได้ท่านโหวหันไปมองหยางหลินด้วยท่าทางเย็นชาพลางส่ายหัวไปมา ใครจะอยากปล่อยหอกข้างแคร่นี้ไปกันเล่า ท่านโหวไม่ละสายตาจากหว่านชิง แม้จะเห็นความสับสนในน้ำเสียงของหยางหลินไป๋เหวินหลงจ้องท่านโหวด้วยสายตาเย็นเยียบและพยายามที่จะหาทางเอาตัวเองเข้าช่วยหว่านชิงให้ได้ แต่ทุกการเคลื่อนไหวกลับถูกหยุดยั้งด้วยกระบี่ที่กดคอหว่านชิงเอาไว้หว่านชิงที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ยากจะหนี ได้แต่กัดฟันแน่น"หยางหลิน...พี่หว่านชิงไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเจ้า" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจพยายามที่จะทำให้หยางหลินเข้าใจแต่ก็รู้ดีว่ามันคงยากในสถานการณ์แบบนี้ อาจจะสายไปแล้วไม่รู้หยางหลินจะยังรับฟังหรือไม่หรืออาจจะคิดว่าหว่านชิงเพียงพูดจาหลอกล่ออ้อนวอนขอชีวิต"ไท่จือไหนคนของท่าน เรียกคนของท่านและส่งสัญญาณถึงคนของข้าได้แล้ว!" ท่านโหวจงซื่อปายเหลียวรีบจะตะคอกขึ้นดังๆเสียงของท่านโหวที่ก้องกังวานไปทั่วท้องพระโรง ทุกสายตาพุ่งมาที่หยางหลินเป็นฉับพลันหยางหลินยิ้มมุมปากก้าวไปข้างหน้า มือข้างหนึ่งเลื่อนคมกระบี่ขึ้นอย่างเฉียบคม แววตาข
หยางหลินไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ยังคงยืนตรงอย่างสง่างาม ปัดเสื้อคลุมของตัวเองเบาๆ เหมือนไม่รู้ไม่สนใจ พูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ"ข้าคือไท่จือ แต่เสด็จพ่อก็ได้มอบตราผู้สำเร็จราชการให้กับพี่หว่านชิง" หว่านชิงที่ยืนอยู่ตรงกลางของสถานการณ์นี้หันไปมองหยางหลินที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย หว่านชิงไม่อาจปิดบังสีหน้าเสียใจได้อีกแล้ว ไม่คิดเลยว่าหยางหลินจะมีความคิดเช่นนี้ต่อเรื่องนี้"หยางหลิน...เจ้าคิดผิดแล้ว""เขาเข้าใจถูกแล้ว" พูดเสียงต่ำด้วยความดูถูกท่านโหวจงซื่อปายเหลียวยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย เขาไม่ใช่คนหูหนวกตาบอดที่ผ่านมาได้รับฟังสถานะการณ์วังหลวงมาตลอด ความโปรดปรานของหลี่เซวียนอี้ต่อหว่านชิงที่หลายครั้งละเลยหยางหลินอย่างโหดร้าย เขาเองก็เคยนึกสงสัยหลายครั้งไท่จือผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่ ช่างจืดจางและเงียบเชียบ ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าเขาคือคนที่อดทนและเก็บกลั้นความไม่พอใจเช่นข้า ท่านโหวขมวดคิ้วแล้วมองหว่านชิงอย่างไม่พอใจ"เจ้ามันก็ไม่ต่างจากหลี่เซวียนอี้เลย เป็นพี่ที่จ้องเอาเปรียบน้อง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะยกบัลลังก์ให้กับหยางหลินหากทุกอย่างจบลง" เขากล่าวเสริมด







