เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมา
องค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ "ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!" เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ แผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง หลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง หลี่เฟยหลง และหัวหน้าหมา ได้รับบทบาทสำคัญในการประชุมครั้งนี้ "เราจะต้องเริ่มต้นจากการฟื้นฟูภาคเกษตรกรรม!" เหม่ยหลินเสนอ "ประชาชนคือรากฐานของแคว้น หากพวกเขามีอาหารกินอย่างพอเพียง ความวุ่นวายก็จะหมดไปเพคะ" เธอเสนอแผนการที่ได้แรงบันดาลใจจากความรู้ในโลกยุคปัจจุบัน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ค้นพบในระหว่างภัยพิบัติ "โครงการเพาะปลูกผักหิมะสวรรค์และเห็ดน้ำแข็ง": เหม่ยหลินเสนอให้มีการจัดตั้งแปลงเพาะปลูกผักหิมะสวรรค์ขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่เหมาะสม และเพาะเลี้ยงเห็ดน้ำแข็งในโรงเรือนควบคุมอุณหภูมิ เธออธิบายถึงวิธีการปลูก การดูแล และการขยายพันธุ์อย่างละเอียด รวมถึงการใช้ประโยชน์จากธาตุอาหารในดินที่เหลืออยู่ "ผักหิมะสวรรค์และเห็ดน้ำแข็งสามารถทนต่อความหนาวเย็นได้ดีเยี่ยม และมีสารอาหารสูงมากเพคะ" เหม่ยหลินอธิบาย "มันจะเป็นแหล่งอาหารสำคัญในช่วงฤดูหนาว และยังสามารถนำไปแปรรูปเพื่อเก็บไว้กินได้นานอีกด้วย" "โครงการพัฒนาสายพันธุ์พืชทนหนาว": ไป๋เฟิงเสริมว่า เขาได้ค้นพบพืชป่าบางชนิดในเทือกเขาน้ำแข็งที่มีความสามารถในการทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายได้ดีเยี่ยม เขาเสนอให้นำพืชเหล่านี้มาผสมพันธุ์กับพืชเกษตรกรรมหลัก เพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ที่แข็งแกร่งและทนทานต่อภัยธรรมชาติมากขึ้น "เราสามารถเรียนรู้จากธรรมชาติได้ขอรับ" ไป๋เฟิงกล่าว "พืชบางชนิดในป่าต้องห้ามสามารถเติบโตได้แม้ในสภาพอากาศที่โหดร้ายที่สุด" "โครงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางการค้า": หัวหน้าหมาเสนอให้เร่งซ่อมแซมถนน สะพาน และเส้นทางการค้าที่เสียหาย เพื่อให้การขนส่งเสบียงและสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว "การค้าขายจะช่วยให้ประชาชนมีรายได้ และนำความเจริญกลับคืนมาสู่แคว้นของเราขอรับ" หัวหน้าหมากล่าว องค์จักรพรรดิทรงอนุมัติแผนการทั้งหมด และมีรับสั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ไป๋เฟิง: สะพานเชื่อมสองแคว้น บทบาทของไป๋เฟิงในฐานะราชทูตพิเศษมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูแคว้น เขาใช้ความสัมพันธ์อันดีกับองค์จักรพรรดิเยว่ ในการขอความช่วยเหลือจากแคว้นเยว่ ทั้งในด้านเสบียงอาหาร เมล็ดพันธุ์พืช และแม้กระทั่งกำลังคนในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน กองทัพจากแคว้นเยว่ ไม่ได้มาในฐานะศัตรูอีกต่อไป แต่มาในฐานะมิตรและพันธมิตร พวกเขาช่วยเหลือชาวบ้านในการสร้างบ้านเรือนที่พังทลาย ซ่อมแซมถนนหนทาง และแบ่งปันความรู้ในการเพาะปลูกพืชที่ทนทานต่อความหนาวเย็น "เราคือสหายกันแล้ว" ไป๋เฟิงกล่าวกับชาวบ้านของอีกแคว้น "ภัยพิบัติไม่ได้เลือกข้าง และความช่วยเหลือก็ไม่ควรมีกำแพงกั้น" มิตรภาพที่เคยเป็นไปไม่ได้ บัดนี้ได้เบ่งบานขึ้นอย่างแท้จริง ชาวบ้านจากสองแคว้นเริ่มแลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมกัน ทำให้ความเข้าใจและความไว้วางใจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น โรงเรียนสอนทำอาหารของเหม่ยหลิน: ปัญญาที่ส่งต่อ ในขณะที่แผนฟื้นฟูกำลังดำเนินไป เหม่ยหลินก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เธอตระหนักว่าการสอนให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เธอจึงตัดสินใจเปิด "โรงเรียนสอนทำอาหารและสมุนไพร" ขึ้นในเมืองหลวง โรงเรียนของเหม่ยหลินเปิดสอนให้แก่ประชาชนทั่วไป ไม่จำกัดชนชั้นวรรณะ เธอถ่ายทอดความรู้เรื่องการทำอาหาร การถนอมอาหาร การใช้สมุนไพรเพื่อสุขภาพ และการเพาะปลูกพืชผักที่ทนทานต่อสภาพอากาศ "อาหารไม่ใช่แค่การเติมเต็มกระเพาะ" เหม่ยหลินสอนลูกศิษย์ของเธอ "แต่มันคือศิลปะ คือยา คือชีวิต และคือความหวัง! จงเรียนรู้ที่จะใช้ธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ และจงแบ่งปันความรู้นี้ให้แก่ผู้อื่น" ชิวลี่ฮวา ซึ่งตอนนี้เป็นสาวน้อยที่เติบโตขึ้นมาก ก็เข้ามาช่วยเหม่ยหลินสอนในโรงเรียน เธอมีความสามารถในการจัดดอกไม้และศิลปะ ทำให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจและเป็นกันเองมากขึ้น หลี่เฟยหาน ที่สำนึกผิดในอดีต ก็เข้ามาช่วยเหลืองานในโรงเรียนด้วยความขยันขันแข็ง เขารับผิดชอบด้านการจัดหาวัตถุดิบและดูแลเรื่องเอกสาร ทำให้งานของเหม่ยหลินง่ายขึ้นมาก โรงเรียนสอนทำอาหารของเหม่ยหลินกลายเป็นศูนย์รวมแห่งปัญญาและความหวัง ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาเรียนรู้จากเธอ ทำให้ความรู้เรื่องอาหารและสมุนไพรแพร่กระจายไปทั่วแคว้น สร้างความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว และลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติในอนาคต เทศกาลแห่งการเก็บเกี่ยว: สัญญาณแห่งการฟื้นคืนชีพ หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แคว้นที่เคยบอบช้ำจากพายุหิมะมหาวินาศ บัดนี้ได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือร่วมใจของประชาชน วังหลวง และมิตรภาพจากแคว้นเยว่ ไร่นาที่เคยว่างเปล่า บัดนี้กลับมาเขียวขจีด้วยพืชผลที่ทนทานต่อความหนาวเย็น ถนนหนทางได้รับการซ่อมแซม ประชาชนมีงานทำ และมีอาหารกินอย่างพอเพียง องค์จักรพรรดิทรงจัดงาน "เทศกาลแห่งการเก็บเกี่ยวและฟื้นคืนชีพ" ขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในการฟื้นฟูแคว้น และเป็นการแสดงความขอบคุณต่อประชาชนทุกคนที่ร่วมกันฝ่าฟันวิกฤตการณ์ ในงานเทศกาล อาหารหลากหลายชนิดที่ทำจากวัตถุดิบที่ทนหนาว และอาหารพื้นเมืองต่างๆ ถูกนำมาจัดแสดงและแจกจ่ายให้แก่ประชาชนอย่างไม่จำกัด เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และเสียงเพลงดังก้องไปทั่วเมืองหลวง เหม่ยหลินยืนมองภาพความสุขของประชาชนด้วยความตื้นตันใจ หลี่เฟยหลงในชุดองครักษ์สง่างาม ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยความภาคภูมิใจ ชิวลี่ฮวาและหลี่เฟยหานกำลังช่วยแจกจ่ายอาหารให้แก่เด็กๆ ด้วยรอยยิ้ม ไป๋เฟิงในชุดราชทูตพิเศษ ยืนอยู่ไม่ไกล เขามองมาที่เหม่ยหลินด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม มิตรภาพระหว่างพวกเขายิ่งแน่นแฟ้นขึ้นจากบททดสอบที่ผ่านมา ภัยพิบัติครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้แคว้นอ่อนแอลง แต่กลับทำให้แคว้นแข็งแกร่งขึ้น มันได้สอนบทเรียนอันล้ำค่าเกี่ยวกับความสามัคคี ความเมตตา และพลังแห่งความหวัง ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อวังหลวงกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง และชื่อเสียงของ "เชฟหลวงแห่งแผ่นดิน" ผู้พลิกฟื้นโชคชะตาของแคว้น ก็ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ตลอดไปหลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง