การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก
"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ" หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!" เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬ การล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดาร การเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิฬนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย แสงแดดแผดเผาจนแทบจะละลายร่างกาย พื้นดินที่แห้งแตกระแหงไร้ซึ่งร่องรอยของสิ่งมีชีวิต แต่เหม่ยหลินกลับสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา "ไป๋เฟิง! คุณหมอชลธี! ดูสิคะ!" เหม่ยหลินชี้ไปที่ต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่งที่ยืนต้นอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งที่สุด "นั่นคือ 'ต้นไม้แห่งหยาดน้ำค้าง'! ข้าเคยอ่านเจอในตำราโบราณ มันสามารถดูดซึมความชื้นจากอากาศในยามค่ำคืน และเก็บไว้ในผลของมันได้! ผลของมันเป็นสีเขียวมรกต มีรสชาติหวานละมุนและให้ความสดชื่นอย่างที่สุด!" พวกเขาช่วยกันเก็บผลไม้จากต้นไม้แห่งหยาดน้ำค้างอย่างระมัดระวัง แม้จะเต็มไปด้วยหนามแหลมคม แต่ทุกคนก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น "สุดยอดไปเลยคุณเหม่ยหลิน!" คุณหมอชลธีกล่าวด้วยความทึ่ง "นี่มันคือพืชที่สามารถเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายที่สุดเลยนะ!" นอกจากผลไม้แห่งหยาดน้ำค้างแล้ว เหม่ยหลินยังค้นพบพืชอื่นๆ ที่สามารถใช้เป็นวัตถุดิบได้อีกด้วย เช่น "ใบกระบองเพชรสายรุ้ง" ที่สามารถนำมาทำเป็นน้ำซุปใสๆ ได้ และ "ดอกไม้แห่งทะเลทราย" ที่มีกลิ่นหอมและสามารถใช้เป็นเครื่องปรุงรสได้ ในขณะที่พวกเขากำลังเก็บวัตถุดิบอยู่ ผู้ช่วยนำทางจากเผ่าหินทมิฬก็เดินมาหาเหม่ยหลินด้วยท่าทีสงสัย "พวกเจ้าเป็นใครกันแน่! ทำไมถึงรู้จักพืชเหล่านี้!" "เรามาที่นี่เพื่อเรียนรู้จากธรรมชาติ และนำความรู้นี้ไปช่วยเหลือผู้คนเพคะ" เหม่ยหลินตอบด้วยรอยยิ้ม การรังสรรค์ "ซุปแห่งทะเลทราย" และ "ขนมปังแห่งความหวัง" เมื่อกลับมาถึงค่ายของเผ่าหินทมิฬ เหม่ยหลินก็เริ่มการปรุงอาหารทันที เธอมีน้ำเพียงน้อยนิดและวัตถุดิบที่ดูไม่น่ากิน แต่ด้วยความรู้และจินตนาการ เธอก็เริ่มรังสรรค์เมนูที่ดูเหมือนจะบ้าบิ่นที่สุดในชีวิตของเธอ เธอใช้ "ใบกระบองเพชรสายรุ้ง" มาเป็นวัตถุดิบหลักในการทำน้ำซุปใสๆ ที่ให้ความสดชื่น จากนั้นเธอก็นำ "ผลไม้แห่งหยาดน้ำค้าง" มาทำเป็นลูกชิ้นเล็กๆ ที่เมื่อกัดเข้าไปจะรู้สึกถึงความชุ่มชื่นและหวานละมุน และเธอใช้ "ดอกไม้แห่งทะเลทราย" มาเป็นเครื่องปรุงรส ทำให้ซุปมีกลิ่นหอมและรสชาติที่ซับซ้อน เมนูนี้มีชื่อว่า "ซุปแห่งทะเลทราย" นอกจากนี้ เหม่ยหลินยังใช้เมล็ดพืชที่เธอค้นพบระหว่างทาง มาทำเป็นแป้งเพื่อปรุง "ขนมปังแห่งความหวัง" ซึ่งมีลักษณะเป็นขนมปังแห้งๆ ที่ดูไม่น่ากิน แต่เมื่อเคี้ยวเข้าไปแล้ว จะรู้สึกได้ถึงความหวานและพลังงานที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ในขณะที่เหม่ยหลินกำลังปรุงอาหารอยู่ หัวหน้าหินทมิฬก็ยืนจ้องมองเธออยู่ไม่ไกล ดวงตาของเขาฉายแววดูถูก แต่ก็แฝงด้วยความสงสัย "เจ้าจะทำอาหารจากของไร้ค่าพวกนี้อย่างนั้นรึ!" เขาเยาะเย้ย "สิ่งที่ไร้ค่าในสายตาของท่าน...อาจจะเป็นขุมทรัพย์ในสายตาของผู้อื่นเพคะ" เหม่ยหลินตอบ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้ว เหม่ยหลินก็ยกซุปแห่งทะเลทรายและขนมปังแห่งความหวังไปเสิร์ฟหัวหน้าหินทมิฬและลูกน้องของเขา ทุกคนมองอาหารตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ "กินมันเข้าไปเถอะเพคะ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม "มันจะช่วยให้ท่านรู้สึกสดชื่นและมีพลังงานขึ้นเพคะ" หัวหน้าหินทมิฬมองซุปที่ใสราวกับน้ำเปล่าด้วยความลังเล แต่ด้วยความอยากรู้ เขาจึงลองดื่มมันเข้าไป และทันใดนั้นเอง! ความสดชื่นก็แล่นเข้าสู่ร่างกายของเขา! ความร้อนระอุที่เคยปกคลุมร่างกายราวกับหายไปในพริบตา! และรสชาติของซุปก็หอมหวานและซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้ "นี่มัน...อะไรกัน!?" เขาอุทานด้วยความตกใจ "ทำไมมันถึงให้ความสดชื่นได้ถึงเพียงนี้!" ลูกน้องของเขาต่างลองกินขนมปังแห่งความหวัง และพวกเขาก็รู้สึกถึงพลังงานที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเช่นกัน "ท่านหัวหน้า...ข้ารู้สึกว่าร่างกายของข้ามีพลังขึ้นมาอย่างน่าประหลาด!" ลูกน้องคนหนึ่งกล่าว การเปิดเผยความลับและการทำข้อตกลง หลังจากที่ทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติของอาหารแล้ว หัวหน้าหินทมิฬก็มองเหม่ยหลินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากความดูถูกเป็นความเคารพ "เจ้า...เจ้าทำได้อย่างไรกัน!" เขาถามด้วยความทึ่ง "เจ้าปรุงอาหารวิเศษจากของไร้ค่าพวกนี้ได้อย่างไร!" เหม่ยหลินยิ้ม "ข้าไม่ได้ใช้เวทมนตร์อะไรหรอกเพคะท่านหัวหน้า ข้าเพียงแค่ใช้ความรู้เรื่องคุณสมบัติของพืชพรรณต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัวเรา และนำมาผสมผสานกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด" เธอเริ่มอธิบายให้เขาฟังถึงคุณสมบัติของพืชแต่ละชนิด และวิธีการใช้ประโยชน์จากมัน หัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาต่างตั้งใจฟังอย่างจริงจัง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าพืชที่พวกเขาเห็นมาทั้งชีวิตจะสามารถนำมาทำอาหารที่วิเศษเช่นนี้ได้ "และที่สำคัญที่สุดเพคะ" เหม่ยหลินกล่าวต่อ "หากท่านสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์ได้ ท่านก็จะไม่ต้องมาแย่งน้ำจากผู้อื่นอีกต่อไป ท่านจะสามารถสร้างแหล่งอาหารและแหล่งน้ำของท่านเองได้ และชนเผ่าของท่านก็จะอยู่รอดได้ในทุกสภาพอากาศเพคะ" คำพูดของเหม่ยหลินทำให้หัวหน้าหินทมิฬรู้สึกผิดในใจ เขาหันไปมองไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยความรู้สึกละอาย "ข้า...ข้าขอโทษที่เคยดูถูกพวกท่าน" หัวหน้าหินทมิฬกล่าว "ข้าเข้าใจแล้ว...ความมั่งคั่งที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การช่วงชิงจากผู้อื่น แต่อยู่ที่การเรียนรู้และการแบ่งปัน" เขาเสนอที่จะทำข้อตกลงกับแคว้นของเหม่ยหลิน "ข้าจะยอมเป็นพันธมิตรกับแคว้นของท่าน! ข้าจะนำน้ำและพืชทนแล้งในพื้นที่ของข้าไปแบ่งปันให้กับแคว้นของท่าน! และข้าจะขอให้ท่าน...มาสอนวิธีการปรุงอาหารวิเศษนี้ให้แก่ชนเผ่าของข้าได้หรือไม่!" เหม่ยหลินยิ้มกว้าง "แน่นอนเพคะ! ข้ามาที่นี่เพื่อแบ่งปันความรู้อยู่แล้ว" การก่อสร้างระบบชลประทานและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ หลังจากทำข้อตกลงกับเผ่าหินทมิฬแล้ว ไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีก็เริ่มดำเนินการสร้าง ระบบคลองชลประทานใต้ดิน ตามแผนของเหม่ยหลิน โดยได้รับการช่วยเหลือจากเผ่าหินทมิฬที่เชี่ยวชาญด้านการขุดและก่อสร้างในพื้นที่แห้งแล้ง พวกเขาทำงานกันอย่างหนักท่ามกลางความร้อนระอุของแสงแดด แต่ทุกคนก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและพลังงานที่ได้จาก "อาหารแห่งทะเลทราย" ของเหม่ยหลิน ภายในเวลาไม่กี่เดือน ระบบคลองชลประทานใต้ดินก็เสร็จสมบูรณ์ น้ำจากแหล่งน้ำที่ซ่อนอยู่ได้ไหลไปหล่อเลี้ยงแปลงเกษตรที่แตกระแหงทั่วทั้งแคว้น แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งก็เริ่มกลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง ความสำเร็จนี้ไม่ใช่แค่การเอาชนะภัยแล้ง แต่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า ปัญญา ความร่วมมือ และการแบ่งปัน สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ เหม่ยหลินไม่ได้ช่วยแค่แคว้นของเธอเท่านั้น แต่ยังได้ช่วยชนเผ่าหินทมิฬให้รอดพ้นจากความอดอยาก และเปลี่ยนพวกเขาจากศัตรูมาเป็นมิตรแท้ หัวหน้าหินทมิฬกลายเป็นพันธมิตรคนสำคัญที่คอยปกป้องแนวชายแดน และแบ่งปันความรู้เรื่องการเอาตัวรอดในทะเลทรายให้กับทหารในแคว้น วิกฤตภัยแล้งสิ้นสุดลงแล้ว และแคว้นของเหม่ยหลินก็ไม่ได้แค่ฟื้นคืนชีพ แต่ยังแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยมิตรภาพที่แน่นแฟ้นและปัญญาที่ล้ำเลิศ แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังเฉลิมฉลองชัยชนะ เหม่ยหลินและคุณหมอชลธีก็ยังคงรู้สึกถึง พลังงานลึกลับ ที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมันกำลังรอคอยเวลาที่เหมาะสมที่จะปรากฏตัว... และนำพาพวกเขาไปสู่การผจญภัยครั้งสุดท้ายที่อาจจะหมายถึงการกลับไป... หรือการจากไปตลอดกาลการเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง
พายุหิมะมหาวินาศได้พัดผ่านไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเสียหายและรอยแผลลึกไปทั่วทั้งแคว้น แสงแดดอันอบอุ่นเริ่มสาดส่องลงมาละลายผืนหิมะที่ปกคลุมอยู่ แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องล่างนั้น คือภาพของความเสียหายอันใหญ่หลวง พืชผลทางการเกษตรที่เคยเขียวขจี บัดนี้เน่าเปื่อยและแข็งตายอยู่ในแปลงนา หมู่บ้านหลายแห่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก สะพานและถนนหนทางพังทลายลง การคมนาคมขนส่งยังคงเป็นอัมพาตแม้จะรอดพ้นจากความอดอยากด้วยอาหารจากผักหิมะสวรรค์และเห็ดน้ำแข็งที่เหม่ยหลินค้นพบ แต่ความยากลำบากก็ยังคงเป็นเงาตามติดชีวิตประชาชน ความหนาวเย็นที่กัดกินจิตใจ อาหารที่เริ่มจำเจ และความไม่แน่นอนของอนาคต ทำให้ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นในหมู่ประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นล่างและเกษตรกรที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างความตึงเครียดในเมืองหลวงและเสียงกระซิบแห่งความไม่พอใจในเมืองหลวง บรรยากาศไม่ได้สงบสุขอย่างที่ใครคิด การจัดสรรอาหารและทรัพยากรกลายเป็นปัญหาใหญ่ แม้ทางวังหลวงจะพยายามแจกจ่ายอย่างเท่าเทียม แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มาก และความเสียหายที่รุนแรง ทำให้การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง"ท่านแม่เจียง! พวกเราอดอยากกันจะแย่แล้วขอรับ!" ชาวบ้านคนห