พายุหิมะมหาวินาศได้พัดผ่านไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเสียหายและรอยแผลลึกไปทั่วทั้งแคว้น แสงแดดอันอบอุ่นเริ่มสาดส่องลงมาละลายผืนหิมะที่ปกคลุมอยู่ แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องล่างนั้น คือภาพของความเสียหายอันใหญ่หลวง พืชผลทางการเกษตรที่เคยเขียวขจี บัดนี้เน่าเปื่อยและแข็งตายอยู่ในแปลงนา หมู่บ้านหลายแห่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก สะพานและถนนหนทางพังทลายลง การคมนาคมขนส่งยังคงเป็นอัมพาต
แม้จะรอดพ้นจากความอดอยากด้วยอาหารจากผักหิมะสวรรค์และเห็ดน้ำแข็งที่เหม่ยหลินค้นพบ แต่ความยากลำบากก็ยังคงเป็นเงาตามติดชีวิตประชาชน ความหนาวเย็นที่กัดกินจิตใจ อาหารที่เริ่มจำเจ และความไม่แน่นอนของอนาคต ทำให้ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นในหมู่ประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นล่างและเกษตรกรที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ความตึงเครียดในเมืองหลวงและเสียงกระซิบแห่งความไม่พอใจ ในเมืองหลวง บรรยากาศไม่ได้สงบสุขอย่างที่ใครคิด การจัดสรรอาหารและทรัพยากรกลายเป็นปัญหาใหญ่ แม้ทางวังหลวงจะพยายามแจกจ่ายอย่างเท่าเทียม แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มาก และความเสียหายที่รุนแรง ทำให้การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง "ท่านแม่เจียง! พวกเราอดอยากกันจะแย่แล้วขอรับ!" ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นขณะที่เหม่ยหลินกำลังเดินสำรวจตลาดที่เงียบเหงา "ผักหิมะสวรรค์มันจะไปพออะไรกัน! พวกเราต้องการข้าว! ต้องการเนื้อ!" เหม่ยหลินพยายามอธิบายอย่างใจเย็น "โปรดใจเย็นก่อนนะท่านพี่ ทางวังหลวงกำลังพยายามอย่างเต็มที่แล้วเจ้าค่ะ" "พยายามอะไรกันเล่า!" อีกคนโต้กลับ "พวกท่านอยู่ในวังหลวง สุขสบาย! พวกเราต่างหากที่ต้องทนทุกข์ทรมาน!" แม้เหม่ยหลินจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา แต่คำพูดเหล่านั้นก็สร้างความเจ็บปวดให้แก่เธอไม่น้อย เธอรู้ว่าการฟื้นฟูแคว้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข่าวลือและความไม่พอใจเริ่มแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว มีกลุ่มคนบางส่วนที่เริ่มกล่าวหาว่าวังหลวงไร้ความสามารถในการจัดการวิกฤตการณ์ บางคนถึงกับกระซิบกระซาบว่า "การที่จักรพรรดิประชวรหนักมาก่อน เป็นเพราะกรรมที่ทรงสะสมไว้ การที่แคว้นต้องประสบภัยพิบัติเช่นนี้ ก็เป็นเพราะสวรรค์ลงโทษ!" เสียงกระซิบเหล่านี้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สร้างความสั่นคลอนให้กับเสถียรภาพของราชบัลลังก์ ในราชสำนักเองก็มีความตึงเครียดไม่แพ้กัน บรรดาขุนนางบางคนเริ่มมองหาแพะรับบาป และบางคนก็ฉวยโอกาสนี้ในการสร้างอำนาจให้แก่ตนเอง "ฝ่าบาท! หม่อมฉันเกรงว่าการที่ประชาชนเริ่มไม่พอใจ อาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายได้พะย่ะค่ะ!" ท่านราชครูจ้าวรายงานด้วยความกังวล "มีบางกลุ่มที่กำลังยุยงให้ประชาชนต่อต้านวังหลวงพะย่ะค่ะ" องค์จักรพรรดิทรงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พระองค์ทรงรู้ดีถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถหาทางออกที่เหมาะสมได้ แผนการชั่วร้ายจากเงามืด: เบื้องหลังความไม่พอใจ ในขณะที่ราชสำนักกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์จากภัยธรรมชาติและเสียงความไม่พอใจของประชาชน เงามืดแห่งความชั่วร้ายก็กำลังเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ขันทีหลง ขันทีเก่าแก่ในวังหลวง ซึ่งเคยเป็นลูกน้องคนสนิทของขันทีจางที่ถูกประหารไปแล้ว เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมด เขารู้สึกแค้นเคืองที่ขันทีจางถูกประหาร และต้องการที่จะล้างแค้นราชสำนัก รวมถึงเหม่ยหลินและครอบครัว "ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกมันคิดว่าจะหนีจากเงื้อมมือของข้าพ้นอย่างนั้นรึ!" ขันทีหลงหัวเราะอย่างชั่วร้ายในห้องลับใต้ดิน "ภัยธรรมชาติครั้งนี้...เป็นโอกาสทองของข้าที่จะล้มล้างราชบัลลังก์ และสร้างอำนาจใหม่ขึ้นมา!" ขันทีหลงได้ร่วมมือกับ พรรคอัคคีทมิฬ ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏเก่าแก่ที่มีเป้าหมายในการโค่นล้มราชวงศ์ พวกเขากำลังใช้สถานการณ์ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนจากภัยพิบัติ ในการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก และก่อจลาจลขึ้น "ผู้นำพรรคอัคคีทมิฬ" ขันทีหลงกล่าวกับชายร่างใหญ่ผู้มีรอยสักรูปเปลวเพลิงที่แขน "เราจะปล่อยข่าวลือเรื่อง 'อาถรรพ์แห่งหิมะ' ว่าเป็นเพราะวังหลวงไร้บุญญาธิการ และสวรรค์กำลังลงโทษ! และเราจะกล่าวหาว่า 'เชฟหลวง' ผู้นั้น...เป็นต้นเหตุของอาถรรพ์ทั้งหมด!" "แผนการนี้ช่างแยบยลนักขันทีหลง!" ผู้นำพรรคอัคคีทมิฬกล่าว "ประชาชนที่กำลังทุกข์ทรมานย่อมเชื่อคำกล่าวอ้างของเราอย่างง่ายดาย! และเมื่อถึงเวลา...เราก็จะจุดไฟแห่งการจลาจลขึ้น!" การปรากฏตัวของไป๋เฟิงและการตั้งรับของเหม่ยหลิน ข่าวความไม่พอใจของประชาชนและการก่อตัวของกลุ่มกบฏได้แพร่ไปถึงหูไป๋เฟิงที่กำลังเดินทางกลับแคว้นเยว่ เขารีบหันหัวเรือกลับมายังแคว้นของเหม่ยหลินทันที พร้อมด้วยกองกำลังเสริมอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อมาถึงวังหลวง ไป๋เฟิงรีบเข้าพบเหม่ยหลินและท่านราชครูจ้าวทันที "ท่านแม่เจียง! ท่านราชครู!" ไป๋เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน "ข้าได้ยินข่าวลือเรื่องการก่อกบฏจากพรรคอัคคีทมิฬ! พวกมันกำลังใช้ภัยพิบัติครั้งนี้ในการยุยงประชาชน!" "เรารู้เรื่องนี้แล้ว" ท่านราชครูจ้าวตอบ "แต่เรายังไม่สามารถหาทางหยุดยั้งพวกมันได้" "ข้ามีแผนขอรับ!" ไป๋เฟิงกล่าว "พรรคอัคคีทมิฬเชื่อในไสยศาสตร์และอาถรรพ์ หากเราสามารถสร้าง 'ปาฏิหาริย์' บางอย่างขึ้นมาได้... เราก็จะสามารถทำลายความเชื่อของพวกมัน และเรียกศรัทธาจากประชาชนกลับคืนมาได้!" เหม่ยหลินหันไปมองไป๋เฟิงด้วยความสนใจ "ท่านหมายความว่าอย่างไรเพคะ?" "ท่านแม่เจียง! ท่านเคยบอกว่า 'อาหารคือพลัง' ใช่หรือไม่ขอรับ!" ไป๋เฟิงกล่าวด้วยดวงตาเป็นประกาย "เราจะใช้ 'อาหาร' ในการสร้างปาฏิหาริย์ครั้งนี้!" แผน "อาหารบำบัดจิตวิญญาณ" และบททดสอบแห่งศรัทธา เหม่ยหลินและไป๋เฟิงร่วมกันวางแผนอย่างละเอียด พวกเขาตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นในเมืองหลวง เพื่อแจกจ่ายอาหารให้แก่ประชาชน และใช้โอกาสนี้ในการเผยความจริง และสร้างความหวังให้แก่พวกเขา "เราจะต้องปรุงอาหารที่ไม่ใช่แค่บำรุงร่างกาย แต่ต้องบำบัดจิตวิญญาณด้วยเพคะ!" เหม่ยหลินกล่าว "เป็นอาหารที่แสดงถึงความหวัง ความเมตตา และพลังแห่งการฟื้นฟู!" เหม่ยหลินเสนอที่จะปรุง "ซุปแห่งแสงตะวัน" ซึ่งเป็นซุปที่ทำจากวัตถุดิบที่หาได้ยากยิ่งกว่าเดิม รวมถึง "ดอกบัวหิมะแห่งแสงจันทร์" ที่บานเพียงปีละครั้งบนยอดเขาสูง และ "หยกเลือดมังกร" ที่ได้จากลำธารใต้ดินลึก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีสรรพคุณในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจอย่างน่าอัศจรรย์ ไป๋เฟิงรับหน้าที่ในการนำทางหลี่เฟยหลงและหัวหน้าหมาไปตามหาวัตถุดิบเหล่านั้น ซึ่งเป็นภารกิจที่อันตรายและท้าทายกว่าครั้งไหนๆ พวกเขาต้องปีนป่ายขึ้นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ฝ่ากระแสลมพายุที่รุนแรง และเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน เหม่ยหลินก็เริ่มเตรียมการจัดงานเลี้ยง เธอระดมพ่อครัวหลวงทั้งหมดในวัง และขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่ยังคงภักดีต่อราชสำนัก ให้มาร่วมแรงร่วมใจกันปรุงอาหารจำนวนมหาศาล ข่าวเรื่องงานเลี้ยงและการปรุง "ซุปแห่งแสงตะวัน" แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ทำให้ประชาชนบางส่วนเริ่มมีความหวัง แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจที่ถูกพรรคอัคคีทมิฬยุยงปลุกปั่นให้เชื่อว่านี่เป็นเพียงเล่ห์กลของวังหลวง การจลาจลปะทุและแสงแห่งปัญญา ในวันจัดงานเลี้ยง ขณะที่ประชาชนนับหมื่นกำลังรวมตัวกันอยู่ที่ลานประลองที่เคยใช้จัดงานประลองรสชาติครั้งก่อน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึมครึมและอึดอัด ทันใดนั้นเอง! เสียงปืนใหญ่ก็ดังสนั่น! พร้อมกับกลุ่มคนติดอาวุธจำนวนมากที่ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาคือ พรรคอัคคีทมิฬ! นำโดยผู้นำที่มีรอยสักเปลวเพลิง และขันทีหลงที่ยิ้มเยาะอย่างชั่วร้าย "พี่น้องชาวเมืองหลวงทั้งหลาย!" ผู้นำพรรคอัคคีทมิฬตะโกนด้วยเสียงกึกก้อง "พวกเราอดอยาก! พวกเราถูกกดขี่! วังหลวงไร้ความสามารถ! สวรรค์กำลังลงโทษพวกมัน! จงลุกขึ้นต่อสู้เพื่ออิสรภาพของเรา!" เสียงตะโกนปลุกระดมดังขึ้น พร้อมกับกลุ่มคนที่ไม่พอใจจำนวนหนึ่งที่เริ่มถืออาวุธขึ้นมาเข้าร่วมกับพรรคอัคคีทมิฬ สถานการณ์เริ่มเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว การจลาจลกำลังจะปะทุขึ้น ในขณะนั้นเอง เสียงระฆังก็ดังขึ้น! องค์จักรพรรดิเสด็จมายังลานประลอง พร้อมด้วยเหม่ยหลิน ไป๋เฟิง หลี่เฟยหลง หัวหน้าหมา และทหารองครักษ์จำนวนหนึ่ง "หยุดเดี๋ยวนี้!" องค์จักรพรรดิมีราชโองการด้วยน้ำเสียงที่ทรงพลัง "ประชาชนของข้า! โปรดใจเย็นก่อน!" แต่เสียงของพระองค์ถูกกลบด้วยเสียงโห่ร้องและเสียงปืนใหญ่ที่เริ่มยิงเข้าใส่กำแพงวัง "ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าจักรพรรดิแก่!" ขันทีหลงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง "ถึงเวลาที่บัลลังก์ของเจ้าจะล้มลงแล้ว!" ในขณะที่สถานการณ์กำลังจะบานปลาย เหม่ยหลินก็ก้าวออกมาข้างหน้า เธอชูหม้อซุปขนาดใหญ่ขึ้นเหนือศีรษะ "ประชาชนของข้า! โปรดเงียบและฟังข้าก่อน!" เสียงของเหม่ยหลินแม้จะไม่ดังเท่าเสียงปืนใหญ่ แต่กลับมีความหนักแน่นที่ทำให้ผู้คนบางส่วนเริ่มสงบลง "ข้าคือเหม่ยหลิน เชฟหลวงแห่งแผ่นดิน! ข้าเข้าใจความทุกข์ยากของพวกท่าน! และข้าก็รู้ว่าพวกท่านกำลังหิวโหย!" เหม่ยหลินกล่าวต่อ "แต่การจลาจล...ไม่ใช่ทางออก! มันจะนำมาซึ่งความสูญเสียและเลือดเนื้อ!" "อย่าไปเชื่อมัน!" ผู้นำพรรคอัคคีทมิฬตะโกน "มันเป็นหมาของวังหลวง! มันจะหลอกลวงพวกเจ้า!" "ข้าไม่ได้มาหลอกลวงพวกท่าน!" เหม่ยหลินตอบ "ข้ามาเพื่อนำพาความหวังมาให้พวกท่าน! ข้าได้ปรุง 'ซุปแห่งแสงตะวัน' นี้ขึ้นมา! มันคือซุปที่ทำจากวัตถุดิบอันล้ำค่าที่พวกเราเสี่ยงชีวิตไปค้นหามา! มันจะบำรุงร่างกาย! บำบัดจิตใจ! และนำพาพลังแห่งการฟื้นฟูมาให้พวกท่าน!" เหม่ยหลินสั่งให้พ่อครัวหลวงเริ่มแจกจ่ายซุปแห่งแสงตะวันให้แก่ประชาชน ผู้คนเริ่มลังเล แต่เมื่อเห็นกลิ่นหอมของซุปที่โชยออกมา และความจริงใจในแววตาของเหม่ยหลิน พวกเขาก็เริ่มเข้ามาต่อแถวรับซุป เมื่อซุปแห่งแสงตะวันถูกแจกจ่ายไปทั่ว กลุ่มคนที่หิวโหยเริ่มดื่มซุปนั้นด้วยความกระหาย และทันใดนั้นเอง! พลังงานอันอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของพวกเขา! ความเหนื่อยล้าและความหนาวเย็นหายไป! ร่างกายของพวกเขารู้สึกสดชื่น มีพลังงาน และจิตใจของพวกเขาก็รู้สึกสงบและเปี่ยมด้วยความหวัง "นี่มัน...อะไรกัน! ทำไมข้าถึงรู้สึกดีขึ้นขนาดนี้!" "ซุปนี้...มันวิเศษจริงๆ!" เสียงแห่งความประหลาดใจและความชื่นชมดังขึ้นจากฝูงชน ขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถึงกับตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าซุปธรรมดาๆ จะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ "หยุดเดี๋ยวนี้!" ผู้นำพรรคอัคคีทมิฬตะโกน "อย่าไปเชื่อมัน! มันกำลังใช้เวทมนตร์!" แต่เสียงของเขาถูกกลบด้วยเสียงสรรเสริญของประชาชนที่เริ่มกลับมามีศรัทธาในวังหลวงอีกครั้ง "เราถูกหลอก! พวกเราผิดไปแล้ว!" ประชาชนบางส่วนตะโกนขึ้น "เชฟหลวงไม่ได้โกหก! วังหลวงไม่ได้ทอดทิ้งพวกเรา!" สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนที่เคยเข้าร่วมกับพรรคอัคคีทมิฬ เริ่มหันหลังให้พวกเขา และกลับมาสนับสนุนวังหลวง ไป๋เฟิง หลี่เฟยหลง และหัวหน้าหมา ไม่รอช้า พวกเขานำทหารองครักษ์เข้าจัดการกับกลุ่มกบฏทันที การต่อสู้ดุเดือด แต่ด้วยความที่ประชาชนหันหลังให้ พรรคอัคคีทมิฬจึงต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ผู้นำของพวกเขาและขันทีหลงถูกจับกุมตัวไว้ได้ในที่สุดเสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง
พายุหิมะมหาวินาศได้พัดผ่านไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเสียหายและรอยแผลลึกไปทั่วทั้งแคว้น แสงแดดอันอบอุ่นเริ่มสาดส่องลงมาละลายผืนหิมะที่ปกคลุมอยู่ แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องล่างนั้น คือภาพของความเสียหายอันใหญ่หลวง พืชผลทางการเกษตรที่เคยเขียวขจี บัดนี้เน่าเปื่อยและแข็งตายอยู่ในแปลงนา หมู่บ้านหลายแห่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก สะพานและถนนหนทางพังทลายลง การคมนาคมขนส่งยังคงเป็นอัมพาตแม้จะรอดพ้นจากความอดอยากด้วยอาหารจากผักหิมะสวรรค์และเห็ดน้ำแข็งที่เหม่ยหลินค้นพบ แต่ความยากลำบากก็ยังคงเป็นเงาตามติดชีวิตประชาชน ความหนาวเย็นที่กัดกินจิตใจ อาหารที่เริ่มจำเจ และความไม่แน่นอนของอนาคต ทำให้ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นในหมู่ประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นล่างและเกษตรกรที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างความตึงเครียดในเมืองหลวงและเสียงกระซิบแห่งความไม่พอใจในเมืองหลวง บรรยากาศไม่ได้สงบสุขอย่างที่ใครคิด การจัดสรรอาหารและทรัพยากรกลายเป็นปัญหาใหญ่ แม้ทางวังหลวงจะพยายามแจกจ่ายอย่างเท่าเทียม แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มาก และความเสียหายที่รุนแรง ทำให้การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง"ท่านแม่เจียง! พวกเราอดอยากกันจะแย่แล้วขอรับ!" ชาวบ้านคนห
การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างดุเดือดท่ามกลางพายุหิมะ มนุษย์น้ำแข็งมีจำนวนมากกว่า และพวกเขาแข็งแกร่งเกินคาด หลี่เฟยหลงและหัวหน้าหมาต่อสู้อย่างเต็มกำลัง แต่ก็เริ่มเสียเปรียบเหม่ยหลินพยายามหาทางหนี เธอรู้ว่าการต่อสู้ในสภาพอากาศเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาเลยในขณะที่สถานการณ์กำลังเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง!"หยุดเดี๋ยวนี้!"เงาร่างของ ไป๋เฟิง ปรากฏขึ้น! เขาสวมเสื้อคลุมหนาเช่นกัน แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับ กองกำลังเสริมจากแคว้นเยว่!"องค์ชายไป๋เฟิง!" มนุษย์น้ำแข็งคนหนึ่งอุทานด้วยความตกใจไป๋เฟิงพุ่งเข้าสู่การต่อสู้ทันที เขามีฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม และสามารถจัดการกับมนุษย์น้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย กองกำลังเสริมจากแคว้นเยว่ก็เข้าช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทำให้สถานการณ์พลิกผัน มนุษย์น้ำแข็งเริ่มล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว"ไป๋เฟิง! ท่านมาได้อย่างไร!?" เหม่ยหลินถามด้วยความประหลาดใจปนดีใจ"ข้าได้รับรายงานจากราชทูตของข้าว่ามีพายุหิมะถล่มแคว้นของท่าน" ไป๋เฟิงตอบ "ข้าจึงรีบนำกองกำลังมาช่วยเหลือในทันที!
หลี่เฟยหลง ในชุดเสื้อคลุมหนา ถือดาบและมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง หัวหน้าหมาเองก็เตรียมพร้อมเต็มที่ ด้วยประสบการณ์การเอาตัวรอดในป่าที่เขาเคยผ่านมาเมื่อก้าวออกไปนอกกำแพงวัง ความหนาวเย็นก็แทรกซึมเข้าสู่กระดูก ลมพายุหิมะพัดโหมกระหน่ำจนแทบจะมองไม่เห็นทาง หิมะกองสูงท่วมหัว ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนของตนเอง ถนนหนทางเงียบสงัดราวกับเมืองร้าง"ท่านแม่! หิมะหนักมากเลยนะขอรับ!" หลี่เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล "เราจะหาอะไรกินได้ที่ไหนกันขอรับ!?""เราจะต้องหาแหล่งอาหารที่สามารถทนต่อความหนาวเย็นได้ลูก" เหม่ยหลินตอบ "และแม่คิดว่า...แม่รู้แล้วว่าเราจะไปหาที่ไหน"เหม่ยหลินนำทางคณะของเธอไปยังบริเวณที่สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นที่ราบเชิงเขาที่เธอเคยสังเกตเห็นว่ามีพืชพรรณบางชนิดเติบโตอย่างหนาแน่นในช่วงฤดูร้อนเมื่อมาถึงบริเวณนั้น พวกเขาก็ต้องประหลาดใจ! แม้จะถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา แต่ก็มี พืชชนิดหนึ่ง ที่ยังคงยืนต้นอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง ใบของมันเป็นสีเขียวเข้ม และมีรากที่ฝังลึกลงไปในดินที่เย็นจัด"นี่มัน... 'ผักหิมะสวรรค์'!" เหม่ยหลินอุทานด้วยความตื่นเต้น "ข้าเคยได้ยินชื่อของ
หลังจากเหตุการณ์ในแคว้นเยว่ เหม่ยหลินและคณะเดินทางกลับสู่แคว้นของตนอย่างปลอดภัย พร้อมกับมิตรภาพครั้งใหม่และข้อตกลงสันติภาพอันล้ำค่าที่นำพาสันติสุขมาสู่สองอาณาจักร องค์จักรพรรดิทรงปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทรงจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ และทรงยกย่องความดีความชอบของเหม่ยหลินและไป๋เฟิงอย่างสมเกียรติไป๋เฟิงได้รับการแต่งตั้งเป็นราชทูตพิเศษ มีหน้าที่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น และเขาก็แวะเวียนมาเยี่ยมเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากลายเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้นและบริสุทธิ์แต่ความสงบสุขมักไม่จีรังยั่งยืน เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวปีนั้น พายุหิมะลูกใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปีก็พัดถล่มอาณาจักรอย่างไม่คาดฝัน หิมะตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน ปกคลุมทั่วทั้งแคว้นด้วยผืนสีขาวโพลน อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แม่น้ำลำคลองกลายเป็นน้ำแข็ง พืชผลทางการเกษตรเสียหายยับเยิน การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บและความอดอยากวิกฤตการณ์ในวังหลวงและคำร้องจากองค์จักรพรรดิแม้แต่ในวังหลวงเองก็ได้รับผลกระทบจากพายุหิมะครั้งนี้ การขนส่งเสบียงอาหารจากภายนอกทำได้ยากลำบาก คลังเสบียงขอ
องค์จักรพรรดิเยว่เสวยซุปแห่งการฟื้นคืนชีพด้วยความลังเล พระองค์ทรงจิบซุปช้าๆ และทันใดนั้นเอง...พระองค์ก็ทรงไอออกมาอย่างรุนแรง! พร้อมกับอาเจียนออกมาเป็น เลือดสีดำ!เสียงฮือฮาดังไปทั่วท้องพระโรง ขันทีผู้นั้นถึงกับหน้าซีดเผือด"เป็นไปได้อย่างไร!" ขันทีผู้นั้นตะโกน "เจ้าแม่ครัวชั่ว! เจ้าวางยาพิษฝ่าบาท!""หยุดเดี๋ยวนี้!" ไป๋เฟิงก้าวออกมาข้างหน้าอย่างองอาจ "นี่ไม่ใช่ยาพิษ! แต่มันคือ ยาถอนพิษ! ที่กำลังขับยาพิษที่เจ้าแอบใส่ในยาอายุวัฒนะของพระบิดาข้ามานานหลายปี!"คำกล่าวของไป๋เฟิงทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึง ขันทีผู้นั้นถึงกับตัวแข็งทื่อ ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับคนตาย"ฝ่าบาท!" ไป๋เฟิงคุกเข่าลงต่อหน้าองค์จักรพรรดิเยว่ "หม่อมฉันคือไป๋เฟิง... องค์ชายรองของพระองค์พะย่ะค่ะ!"องค์จักรพรรดิเยว่มองไป๋เฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและความหวัง พระองค์ทรงจำลูกชายของพระองค์ได้"ขันทีผู้นี้... เขาหลอกลวงพระองค์มาตลอดพะย่ะค่ะ!" ไป๋เฟิงกล่าวต่อ "เขาต้องการที่จะช่วงชิงอำนาจจากพระองค์ เขาแอบใส่ยาพิษลงในยาอายุวัฒนะของพระองค์ เพื่อให้พระองค์อ่อนแอ และควบคุมพระองค์ได้!"หลั