ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม
เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย! และตอนนี้พวกมันก็มีอาหารเหลือเฟือหลังจากพ้นภัยพิบัติมาได้!" "จริงหรือขอรับนายท่านไคเฟิง!?" ลูกน้องคนหนึ่งถามตาเป็นประกายด้วยความอยากอาหาร "ถ้าได้กินอาหารวิเศษนั่น เราคงแข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นกอง!" "หึ! ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!" ไคเฟิงยิ้มเยาะ "เราจะได้เสบียงอาหารมหาศาล! ทองคำ! และทรัพย์สินมีค่ามากมาย! พวกมันคงอ่อนแอหลังจากเจอพายุหิมะมา! นี่แหละคือโอกาสของเรา!" ไคเฟิงเริ่มวางแผนการปล้นครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา เขาสั่งให้ลูกน้องรวบรวมกำลังพล ตรวจสอบอาวุธ และเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไกล สู่แคว้นที่กำลังรุ่งเรืองภายใต้แสงแห่งความหวัง การตรวจจับภัยคุกคามและปฏิกิริยาของราชสำนัก ในขณะที่กลุ่มหมาป่าทมิฬกำลังเคลื่อนไหวอย่างลับๆ นั้นเอง สายลับของ หัวหน้าหมา ผู้ซึ่งตอนนี้เป็น แม่ทัพองครักษ์ และดูแลความมั่นคงของแคว้น ได้ส่งข่าวรายงานเข้ามายังวังหลวงอย่างรวดเร็ว "ฝ่าบาท! แม่ทัพหัวหน้าหมาขอเข้าเฝ้าด่วนพะย่ะค่ะ!" ท่านราชครูจ้าวรายงาน "มีอะไรหรือหัวหน้าหมา!?" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเคร่งเครียด เมื่อเห็นสีหน้าของแม่ทัพองครักษ์ "ฝ่าบาท! หม่อมฉันได้รับรายงานจากสายลับว่ามีกลุ่มโจรขนาดใหญ่จากทางทิศตะวันออก กำลังรวมกำลังพลเพื่อบุกเข้ามาในแคว้นของเราพะย่ะค่ะ! พวกมันคือกลุ่ม 'หมาป่าทมิฬ' ที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมพะย่ะค่ะ!" หัวหน้าหมากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ข่าวการบุกของกลุ่มโจรทำให้บรรยากาศในท้องพระโรงตึงเครียดขึ้นทันที ขุนนางบางคนเริ่มแสดงสีหน้าหวาดกลัว "มันคิดจะบุกมาในยามที่เรากำลังฟื้นฟูแคว้นอย่างนั้นรึ!" แม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งคำรามด้วยความโกรธ "พวกมันต้องเจอดีแน่!" "ฝ่าบาท" ท่านราชครูจ้าวกล่าว "หม่อมฉันเกรงว่าพวกมันจะได้ข่าวเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของเราพะย่ะค่ะ" องค์จักรพรรดิทรงพยักหน้า พระองค์ทรงรู้ดีว่าความรุ่งเรืองที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น อาจกลายเป็นดาบสองคมได้ "เราจะรับมือกับพวกมันอย่างไรดี!" องค์จักรพรรดิรับสั่ง "เราเพิ่งฟื้นตัวจากภัยพิบัติ! กองทัพของเรายังไม่พร้อมสำหรับการรบครั้งใหญ่!" แผนรับมือจากเหม่ยหลิน: กลยุทธ์แห่งปัญญาและอาหาร ในขณะที่เหล่าแม่ทัพและขุนนางกำลังปรึกษาหารือกันถึงยุทธวิธีการรบ เหม่ยหลินก็ก้าวออกมาข้างหน้า เธอไม่ได้มีความรู้ด้านการทหาร แต่เธอกลับมีความรู้ด้าน จิตวิทยา และ อาหาร ที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ "ฝ่าบาทเพคะ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่หนักแน่น "หม่อมฉันมีแผนที่อาจจะสามารถขับไล่พวกโจรได้ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อพะย่ะค่ะ!" ทุกคนในท้องพระโรงต่างหันมามองเหม่ยหลินด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดว่าเชฟหลวงจะมีแผนการใดๆ ในเรื่องการรบ "เจ้ามีแผนอะไรอย่างนั้นรึท่านแม่เจียง!?" แม่ทัพใหญ่ถามด้วยความไม่เชื่อ "หม่อมฉันจะใช้ 'อาหาร' ในการต่อสู้กับพวกมันเพคะ!" เหม่ยหลินตอบ ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความมั่นใจ เธอเริ่มอธิบายแผนการที่ดูเหมือนจะบ้าบิ่น แต่ก็แฝงไปด้วยความแยบยล: 1. กลยุทธ์ "ดินแดนแห่งความอดอยากจอมปลอม": เหม่ยหลินเสนอให้กองทัพและประชาชนแสร้งทำเป็นว่าแคว้นยังคงอดอยากและบอบช้ำจากภัยพิบัติ พวกเขาจะจัดแสดงอาหารที่ดูน่าเบื่อหน่ายและไม่น่ากินในที่สาธารณะ รวมถึงการแสดงท่าทีที่อ่อนแอและสิ้นหวัง เพื่อให้กลุ่มหมาป่าทมิฬประเมินสถานการณ์ผิดพลาด และบุกเข้ามาอย่างประมาท 2. กลยุทธ์ "อาหารล่อหลอกและอาหารสะท้อนความจริง": เหม่ยหลินจะปรุงอาหารสองชนิด ชนิดแรกคือ "อาหารล่อหลอก" ซึ่งเป็นอาหารที่ดูน่ากินแต่ไร้ประโยชน์ หรือมีรสชาติแปลกประหลาด เพื่อให้พวกโจรตายใจและอ่อนกำลังลงโดยไม่รู้ตัว ส่วนชนิดที่สองคือ "อาหารสะท้อนความจริง" ซึ่งจะปรุงในปริมาณจำกัด เป็นอาหารที่ดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยคุณค่าและพลังงาน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ที่แท้จริงของแคว้น 3. กลยุทธ์ "กับดักแห่งความโลภ": เหม่ยหลินเสนอให้วาง "อาหารล่อหลอก" ไว้ในเส้นทางที่คาดว่ากลุ่มโจรจะผ่านมา รวมถึงในหมู่บ้านบางแห่งที่ถูกจัดฉากให้ดูเหมือนถูกทอดทิ้ง เพื่อให้พวกโจรหลงเข้าไปในกับดักและเสียเวลาไปกับการปล้นอาหารที่ไร้ประโยชน์ 4. กลยุทธ์ "การส่งสารผ่านอาหาร": เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เหม่ยหลินจะปรุงอาหารพิเศษ ที่เรียกว่า "ซุปแห่งสัจธรรม" ซึ่งจะนำไปมอบให้หัวหน้าไคเฟิงโดยตรง ซุปนี้จะปรุงจากสมุนไพรบางชนิดที่เหม่ยหลินได้เรียนรู้มาจากไป๋เฟิง ซึ่งมีฤทธิ์ในการทำให้ผู้ดื่ม รู้สึกผิดและสำนึกในบาป นอกจากนี้ รสชาติของซุปจะสะท้อนถึงความทุกข์ยากที่แคว้นเคยเผชิญ และความมุ่งมั่นในการฟื้นฟู 5. การร่วมมือกับไป๋เฟิงและหัวหน้าหมา: ไป๋เฟิงจะใช้ความรู้ด้านการทหารและภูมิประเทศในการวางแผนการซุ่มโจมตี และการเคลื่อนไหวของกองทัพ ส่วนหัวหน้าหมาจะใช้เครือข่ายสายลับของเขาในการส่งข้อมูลและข่าวลวงให้แก่กลุ่มโจร แผนการของเหม่ยหลินนั้นดูแปลกประหลาด แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเธอ องค์จักรพรรดิก็ทรงอนุมัติแผนการนี้ "ข้าเชื่อในตัวท่านแม่เจียง!" องค์จักรพรรดิรับสั่ง "จงดำเนินการตามแผนของเจ้า! และขอให้สวรรค์คุ้มครอง!" การตั้งรับและการปรากฏตัวของ "อาหารล่อหลอก" แผนการเริ่มดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กองทัพจัดฉากการป้องกันเมืองให้ดูอ่อนแอ ชาวบ้านแสร้งทำเป็นอดอยากและสิ้นหวัง เหม่ยหลินและเหล่าพ่อครัวหลวงเริ่มปรุง "อาหารล่อหลอก" เช่น ข้าวต้มที่ดูจืดชืดไร้รสชาติ หรือผักที่ดูเหี่ยวเฉาไม่น่ากิน และนำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ที่คาดว่ากลุ่มโจรจะผ่านมา ไม่นานนัก ข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่มหมาป่าทมิฬก็มาถึง พวกมันเคลื่อนทัพเข้ามาในแคว้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสภาพของเมืองและผู้คนที่ดูอ่อนแอ พวกมันก็หัวเราะเยาะอย่างลำพองใจ "ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกมันคงใกล้จะตายกันหมดแล้ว!" ไคเฟิงคำราม "ดูสิ! อาหารที่พวกมันทิ้งไว้ก็ดูน่าสมเพชสิ้นดี!" ลูกน้องของไคเฟิงเริ่มเข้าไปปล้นอาหารล่อหลอกที่ถูกจัดวางไว้ พวกมันกินอาหารเหล่านั้นด้วยความหิวโหย แต่หลังจากกินเข้าไปได้ไม่นาน พวกมันก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ร่างกายอ่อนเพลียลงอย่างเห็นได้ชัด บางคนเริ่มมีอาการปวดท้อง หรือรู้สึกคลื่นไส้ แต่พวกมันก็ไม่ได้เฉลียวใจ คิดว่าเป็นเพราะอาหารคุณภาพต่ำ ในขณะเดียวกัน กองทัพของแคว้น นำโดยหลี่เฟยหลงและหัวหน้าหมา ก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ไปประจำตำแหน่งที่ซุ่มซ่อนไว้ตามแผนของไป๋เฟิง การเผชิญหน้า ณ ประตูเมืองและ "ซุปแห่งสัจธรรม" ในที่สุด กลุ่มหมาป่าทมิฬก็เดินทางมาถึงประตูเมืองหลวง พวกมันยังคงดูมีกำลังวังชา แต่ความจริงแล้วร่างกายของพวกมันเริ่มอ่อนแอลงจาก "อาหารล่อหลอก" ที่เหม่ยหลินปรุงขึ้น "เปิดประตู!" ไคเฟิงคำราม "ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องตายทั้งหมด!" แต่ประตูเมืองยังคงปิดแน่น องค์จักรพรรดิเสด็จมาปรากฏพระองค์บนกำแพงเมือง พร้อมด้วยเหม่ยหลิน ไป๋เฟิง หลี่เฟยหลง และหัวหน้าหมา "เจ้าไคเฟิง!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยพระสุรเสียงก้องกังวาน "เจ้าไม่ควรที่จะเข้ามาในแคว้นของเราในยามที่เรากำลังฟื้นฟู! จงถอยทัพไปเสีย! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องเจอดีแน่!" "ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าจักรพรรดิแก่! เจ้าคิดจะขู่ข้างั้นรึ!" ไคเฟิงหัวเราะอย่างดูถูก "พวกเจ้าอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อสู้กับพวกข้าได้! ส่งตัวเชฟหลวงผู้นั้นออกมา! และส่งเสบียงทั้งหมดมาให้ข้า! ไม่เช่นนั้นข้าจะบุกเข้าเมืองและเผาทุกอย่างให้วอดวาย!" ในขณะนั้นเอง เหม่ยหลินก็ก้าวออกมาข้างหน้า เธอยกหม้อซุปขนาดเล็กขึ้นมาในมือ "ท่านไคเฟิง" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น "ข้าคือเหม่ยหลิน เชฟหลวงแห่งแผ่นดิน ข้าได้เตรียมอาหารพิเศษสำหรับท่านโดยเฉพาะ! นี่คือ 'ซุปแห่งสัจธรรม' ที่จะช่วยให้ท่านมองเห็นความจริง และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง!" ไคเฟิงมองซุปในมือของเหม่ยหลินด้วยความลังเล เขายังคงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง แต่ก็รู้สึกประหลาดใจกับความกล้าหาญของสตรีผู้นี้ "ฮึ! เจ้าคิดจะวางยาข้าอย่างนั้นรึ!" ไคเฟิงแค่นเสียง "ไม่เลยเพคะ" เหม่ยหลินตอบ "ซุปนี้ไม่มีพิษ แต่จะช่วยให้ท่านเห็นสิ่งที่ท่านมองข้ามไป" ด้วยความอยากรู้และมั่นใจในกำลังของตน ไคเฟิงตัดสินใจที่จะลองดื่มซุปนั้น เขาสั่งให้ลูกน้องเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี หากซุปนั้นมีพิษจริง ไคเฟิงดื่มซุปแห่งสัจธรรมเข้าไปช้าๆ รสชาติของมันซับซ้อนอย่างประหลาด มันมีทั้งความขมขื่นของความอดอยาก ความอบอุ่นของความหวัง และความหอมหวานของการฟื้นคืนชีพ ทันใดนั้นเอง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ก็ฉายวนในสมองของไคเฟิงอย่างรวดเร็ว ภาพความทุกข์ยากของชาวบ้านที่กำลังอดอยาก ภาพการต่อสู้ของพวกเขาเพื่อฟื้นฟูแคว้น ความร่วมมือของสองแคว้น และความมุ่งมั่นของเหม่ยหลิน เขารู้สึกถึงความผิดบาปที่กำลังจะกระทำ และความไร้สาระของความโลภที่เข้าครอบงำจิตใจ ไคเฟิงทรุดตัวลงนั่ง เขาเงยหน้าขึ้นมองเหม่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและความสำนึกผิด "ไม่...ไม่จริง...ข้ากำลังจะทำอะไรลงไป..." ไคเฟิงพึมพำ ลูกน้องของไคเฟิงต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ พวกมันไม่เคยเห็นนายท่านของพวกมันเป็นแบบนี้มาก่อน "ท่านไคเฟิง" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ความมั่งคั่งที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การช่วงชิงจากผู้อื่น แต่เป็นการสร้างขึ้นมาด้วยสองมือ และการแบ่งปันซึ่งกันและกันเพคะ" คำพูดของเหม่ยหลินราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจของไคเฟิง เขาเข้าใจแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ สันติภาพที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลง ไคเฟิงเงยหน้าขึ้นมององค์จักรพรรดิและเหม่ยหลิน เขาคุกเข่าลงอย่างช้าๆ "ฝ่าบาท...และท่านแม่เจียง..." ไคเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง "ข้า...ข้าสำนึกผิดแล้วพะย่ะค่ะ...โปรดอภัยให้ข้าด้วย..." ลูกน้องของไคเฟิงต่างตกตะลึง พวกมันไม่เคยเห็นนายท่านของพวกมันคุกเข่าให้ใครมาก่อน "ลุกขึ้นเถอะท่านไคเฟิง" องค์จักรพรรดิรับสั่ง "หากเจ้าสำนึกผิดจริง ข้าก็พร้อมที่จะให้อภัย แต่เจ้าจะต้องชดใช้ความผิดของเจ้า ด้วยการช่วยเหลือแคว้นของเราในการฟื้นฟู! และเจ้าจะต้องไม่กลับไปเป็นโจรอีกต่อไป!" ไคเฟิงพยักหน้าด้วยความมุ่งมั่น "ข้าขอรับปากพะย่ะค่ะ! ข้าจะขอเป็นผู้รับใช้แคว้นของพระองค์! และจะช่วยเหลือประชาชนทุกคนให้กลับมามีชีวิตที่ดี!" ไป๋เฟิง หลี่เฟยหลง และหัวหน้าหมา ต่างมองหน้ากันด้วยความทึ่ง พวกเขาไม่คิดว่าแผนการของเหม่ยหลินจะประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ การต่อสู้ด้วยอาหารและสติปัญญาสามารถยุติสงครามได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ หลังจากเหตุการณ์นั้น ไคเฟิงและลูกน้องของเขาได้เข้าร่วมในการฟื้นฟูแคว้น พวกเขาใช้ความแข็งแกร่งและประสบการณ์ในการเดินป่า ช่วยเหลือชาวบ้านในการสร้างบ้านเรือนใหม่ และเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตร ไคเฟิงเองก็กลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของหัวหน้าหมา ในการดูแลความปลอดภัยและลาดตระเวนตามแนวชายแดน แคว้นแห่งนี้ ไม่เพียงแต่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง แต่ยังแข็งแกร่งขึ้นด้วยมิตรภาพที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม ผู้คนจากสองแคว้นเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน และความสงบสุขก็กลับมาปกคลุมแผ่นดินอีกครั้ง ภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ผู้ซึ่งพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า พลังแห่งอาหารและปัญญา สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ แม้กระทั่งจิตใจของเหล่าโจรร้ายหลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง
พายุหิมะมหาวินาศได้พัดผ่านไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความเสียหายและรอยแผลลึกไปทั่วทั้งแคว้น แสงแดดอันอบอุ่นเริ่มสาดส่องลงมาละลายผืนหิมะที่ปกคลุมอยู่ แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องล่างนั้น คือภาพของความเสียหายอันใหญ่หลวง พืชผลทางการเกษตรที่เคยเขียวขจี บัดนี้เน่าเปื่อยและแข็งตายอยู่ในแปลงนา หมู่บ้านหลายแห่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก สะพานและถนนหนทางพังทลายลง การคมนาคมขนส่งยังคงเป็นอัมพาตแม้จะรอดพ้นจากความอดอยากด้วยอาหารจากผักหิมะสวรรค์และเห็ดน้ำแข็งที่เหม่ยหลินค้นพบ แต่ความยากลำบากก็ยังคงเป็นเงาตามติดชีวิตประชาชน ความหนาวเย็นที่กัดกินจิตใจ อาหารที่เริ่มจำเจ และความไม่แน่นอนของอนาคต ทำให้ความไม่พอใจเริ่มก่อตัวขึ้นในหมู่ประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นล่างและเกษตรกรที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างความตึงเครียดในเมืองหลวงและเสียงกระซิบแห่งความไม่พอใจในเมืองหลวง บรรยากาศไม่ได้สงบสุขอย่างที่ใครคิด การจัดสรรอาหารและทรัพยากรกลายเป็นปัญหาใหญ่ แม้ทางวังหลวงจะพยายามแจกจ่ายอย่างเท่าเทียม แต่ด้วยจำนวนประชากรที่มาก และความเสียหายที่รุนแรง ทำให้การช่วยเหลือไม่ทั่วถึง"ท่านแม่เจียง! พวกเราอดอยากกันจะแย่แล้วขอรับ!" ชาวบ้านคนห
การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างดุเดือดท่ามกลางพายุหิมะ มนุษย์น้ำแข็งมีจำนวนมากกว่า และพวกเขาแข็งแกร่งเกินคาด หลี่เฟยหลงและหัวหน้าหมาต่อสู้อย่างเต็มกำลัง แต่ก็เริ่มเสียเปรียบเหม่ยหลินพยายามหาทางหนี เธอรู้ว่าการต่อสู้ในสภาพอากาศเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาเลยในขณะที่สถานการณ์กำลังเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง!"หยุดเดี๋ยวนี้!"เงาร่างของ ไป๋เฟิง ปรากฏขึ้น! เขาสวมเสื้อคลุมหนาเช่นกัน แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับ กองกำลังเสริมจากแคว้นเยว่!"องค์ชายไป๋เฟิง!" มนุษย์น้ำแข็งคนหนึ่งอุทานด้วยความตกใจไป๋เฟิงพุ่งเข้าสู่การต่อสู้ทันที เขามีฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม และสามารถจัดการกับมนุษย์น้ำแข็งได้อย่างง่ายดาย กองกำลังเสริมจากแคว้นเยว่ก็เข้าช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทำให้สถานการณ์พลิกผัน มนุษย์น้ำแข็งเริ่มล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว"ไป๋เฟิง! ท่านมาได้อย่างไร!?" เหม่ยหลินถามด้วยความประหลาดใจปนดีใจ"ข้าได้รับรายงานจากราชทูตของข้าว่ามีพายุหิมะถล่มแคว้นของท่าน" ไป๋เฟิงตอบ "ข้าจึงรีบนำกองกำลังมาช่วยเหลือในทันที!
หลี่เฟยหลง ในชุดเสื้อคลุมหนา ถือดาบและมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง หัวหน้าหมาเองก็เตรียมพร้อมเต็มที่ ด้วยประสบการณ์การเอาตัวรอดในป่าที่เขาเคยผ่านมาเมื่อก้าวออกไปนอกกำแพงวัง ความหนาวเย็นก็แทรกซึมเข้าสู่กระดูก ลมพายุหิมะพัดโหมกระหน่ำจนแทบจะมองไม่เห็นทาง หิมะกองสูงท่วมหัว ผู้คนต่างหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนของตนเอง ถนนหนทางเงียบสงัดราวกับเมืองร้าง"ท่านแม่! หิมะหนักมากเลยนะขอรับ!" หลี่เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล "เราจะหาอะไรกินได้ที่ไหนกันขอรับ!?""เราจะต้องหาแหล่งอาหารที่สามารถทนต่อความหนาวเย็นได้ลูก" เหม่ยหลินตอบ "และแม่คิดว่า...แม่รู้แล้วว่าเราจะไปหาที่ไหน"เหม่ยหลินนำทางคณะของเธอไปยังบริเวณที่สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นที่ราบเชิงเขาที่เธอเคยสังเกตเห็นว่ามีพืชพรรณบางชนิดเติบโตอย่างหนาแน่นในช่วงฤดูร้อนเมื่อมาถึงบริเวณนั้น พวกเขาก็ต้องประหลาดใจ! แม้จะถูกปกคลุมด้วยหิมะหนา แต่ก็มี พืชชนิดหนึ่ง ที่ยังคงยืนต้นอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง ใบของมันเป็นสีเขียวเข้ม และมีรากที่ฝังลึกลงไปในดินที่เย็นจัด"นี่มัน... 'ผักหิมะสวรรค์'!" เหม่ยหลินอุทานด้วยความตื่นเต้น "ข้าเคยได้ยินชื่อของ