เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยจะออกไปพบสหายเฉินเจียวมี่ก็ขอติดตามไปด้วยอย่างกระตือรือร้น เมื่อทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยรับปากว่าจะช่วยกันดูแลน้องสาวอย่างดี หวงซื่อจึงไม่ได้เหนี่ยวรั้งบุตรสาวเอาไว้ นอกจากจะกำชับว่าให้เชื่อฟังพี่สาวและห้ามซุกซนแล้วนางก็ไม่คิดจะเอ่ยวาจาเหนี่ยวรั้งอันใดอีก ด้วยรู้ดีว่าทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยเป็นเด็กรู้ความย่อมดูแลน้องเล็กอย่างเฉินเจียวมี่ได้อย่างแน่นอน
เมื่อไปถึงหอหลิงฟางคนขององค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูก็มารอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว สามสาวสกุลเฉินถูกพาไปที่ห้องรับรองพิเศษที่องค์หญิงเก้าจองเอาไว้ซึ่งในห้องรับรองพิเศษแห่งนั้นมีองค์หญิงเก้าและหวังฮุ่ยหลิงนั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
“ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่นัดกันทั้งเจียวเจียวและเจียวเหม่ยมักจะมาถึงสถานที่นัดหมายเป็นคนสุดท้ายเสมอ” องค์หญิงเก้าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแต่หวังฮุ่ยหลิงกลับเอ่ยวาจาแก้ตัวให้สหายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“จวนของพวกนางอยู่ไกลจากที่นี่ย่อมต้องมาถึงช้ากว่าเป็นธรรมดา”
“แน่นอนว่านอกจากจากจวนจะอยู่ไกลแล้ว ย่อมต้องเป็นเพราะวันนี้พวกข้าพาน้องเล็กที่ใช้เวลาแต่งกายนานมากไปสักหน่อยอย่างเฉินเจียวมี่มาด้วย ย่อมไม่อาจจะมาถึงก่อนได้อยู่แล้ว” เฉินเจียวเจียวเอ่ยแทรกขึ้นทันทีเมื่อเดินเข้ามาในห้องและทันได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ของหวังฮุ่ยหลิง
“เป็นข้าที่ช้าเองเจ้าค่ะ” เฉินเจียวมี่ที่เดินติดตามมาด้วยเอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มแล้วก็หันไปย่อกายคารวะองค์หญิงเก้าและหวังฮุ่ยหลิงด้วยท่วงท่านักเอ็นดู
“เฉินเจียวมี่ถวายพระพรองค์หญิงเก้าเพคะ” เมื่อเห็นองค์หญิงเก้าโบกมือนางก็หันไปกายคารวะหวังฮุ่ยหลิง “คารวะพี่ฮุ่ยหลิงเจ้าค่ะ” เมื่อหวังฮุ่ยหลิงพยักหน้านางก็รีบเดินไปนั่งลงข้างกายหวังฮุ่ยหลิงด้วยสีหน้าออดอ้อน
“พี่ฮุ่ยหลิงนานๆ ครั้งข้าจะได้ออกจากเรือนวันนี้ท่านจะต้องเดินหมากเป็นเพื่อนข้านะเจ้าคะ”
“เจ้าเด็กคนนี้มาถึงก็ออดอ้อนเลย เอ๋ ช่วงนี้เจ้ากินน้อยลงแล้วใช่หรือไม่เหตุใดแก้มกลมยุ้ยของเจ้าจึงได้หดหายไปเช่นนี้เล่า” หวังฮุ่ยหลิงเอ่ยถามพลางยื่นมือออกไปจะจับแก้มของเฉินเจียวมี่ ซึ่งนางก็รีบหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว
“ข้าเริ่มเติบใหญ่แล้ว จะให้ยังคงมีแก้มอยู่เช่นเดิมได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้าก็ยังอยากจะเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามเฉกเช่นพวกท่านนะเจ้าคะ” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้สตรีทุกคนภายในห้องก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ เฉินเจียวเหม่ยที่นั่งลงจิบน้ำชาเพื่อดับกระหายถึงกับเหลือบตามองนางทีหนึ่งเอ่ยอดเอ่ยต่อว่าน้องสาวไม่ได้
“เจ้าคนช่างฉอเลาะ” เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้สายตาของทุกคนก็ล้วนจับจ้องไปที่นางด้อยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แม้ว่านางจะช่างฉอเลาะออกมากเพียงใดก็เทียบกับเจ้าไม่ได้หรอก คราวที่แล้วที่พบกันเจ้ายังเคยพูดว่าไม่ได้แต่งงานก็ไม่เป็นไร ขอแค่ได้มีสหายที่รู้ใจอย่างเช่นพวกข้าก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับเจ้า ยังไม่ทันจะข้ามวันเลยเจ้าก็คว้าคุณชายหยวนไปเป็นคู่หมายของตนเองได้เสียแล้ว” เมื่อองค์หญิงเก้าเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็ยิ้มออกมาด้วยความขัดเขิน
“สิ่งนี้เขาเรียกว่าบุพเพต่างหากเล่าเพคะ เอาไว้ยามที่องค์หญิงได้พบบุพเพของตนเองบ้างก็จะเข้าพระทัยเองเพคะ” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้องค์หญิงเก้าก็หันไปตวัดสายตาไปส่งค้อนให้นาง
“ชีวิตส่วนใหญ่ของข้าอยู่แต่ในวังหลวง จะออกมาข้างนอกก็ล้วนถูกประกบด้วยเหล่านางกำนัลและขันที มิตรสหายที่มีก็มีเพียงพวกเจ้า คงยากที่จะได้พบบุพเพเช่นเจ้า” เมื่อองค์หญิงเก้าเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวมี่ที่นั่งฟังอยู่ก็พลันเอ่ยขึ้นมา
“อย่าหาว่าหม่อมฉันปากมากเลยนะเพคะ ต่อให้พบจริงบรรดาองครักษ์ขององค์หญิงก็ไม่ปล่อยให้พระองค์พุ่งเข้าไปช่วยผู้อื่นเฉกเช่นพี่เจียวเหม่ยหรอกเพคะ ต่อให้พวกเขาไม่ห้ามท่านหม่อมฉันก็คิดว่าองค์หญิเองก็คงไม่คิดจะเลียนแบบวีรบุรุษที่ออกไปช่วยสาวงามอย่างเช่นท่านพี่เจียวเจียวหรอกเพคะ” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ต่างพยักหน้าออกมาอย่างเห็นด้วย
“วาสนาและบุพเพของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน เรื่องเช่นนี้ไม่อาจจะกะเกณฑ์ได้หรอก” เฉินเจียวเจียวเอ่ยออกมาพลางรินน้ำชาใส่ถ้วยชาด้วยตนเอง
“ผู้ใดว่ากะเกณฑ์ไม่ได้กันเล่า ดูอย่างจ้าวซีอินผู้นั้นสิพยายามที่จะลิขิตบุพเพของตนเองโดยไม่คิดจะสนใจสายตาของผู้อื่นเลยสักนิด” องค์หญิงเก้าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าดูแคลนเมื่อเห็นว่ายามนี้บรรดาสหายต่างให้ความสนใจในเรื่องนี้นางจึงได้ตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ให้สหายของตนฟัง
“พวกเจ้าคงจะไม่รู้ว่าในงานเลี้ยงฉลองคืนส่งท้ายปีเมื่อคืนนี้ ขุนนางที่อยู่ใต้อาณัติของบิดาของจ้าวซีอินแกล้งทำเป็นเมามายแล้วเอ่ยถามถึงเรื่องที่ตำหนักบูรพาไร้ซึ่งพระชายา องค์รัชทายาทครบกำหนดไว้ทุกข์ให้คุณหนูใหญ่สกุลจ้าวแล้วสมควรแก่เวลาที่จะกำหนดเรื่องการแต่งตั้งพระชายาองค์รัชทายาทเสียที คำพูดของเขาทำให้เสด็จพ่อของข้าและเสด็จพี่องค์รัชทายาทถึงกับลุกออกจากงานเลี้ยงด้วยความไม่พอพระทัยในทันที เรื่องนี้เป็นที่โจษจันไปจนทั้งแถมยังพาดพิงไปถึงจ้าวซีอินด้วย ว่านางทนรอองค์รัชทายาทไม่ไหวจนถึงกับต้องให้ลูกน้องของบิดาตนเองแสร้งทำเป็นเมามายแล้วเอ่ยวาจากดดันองค์รัชทายาท”
“ข้ายิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไม่ว่าอย่างไรองค์รัชทายาทก็เคยหมั้นหมายกับพี่สาวของนาง ถึงแม้ว่ายามนี้พี่สาวของนางจะจากไปแล้วแต่นางไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้างหรือที่อยากได้อดีตคู่หมั้นของพี่สาว” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยแต่หวังฮุ่ยหลิงกลับแค่เพียงยิ้มออกมาแล้วเอ่ยเสียงเบา
“คำว่าอำนาจย่อมไม่เข้าใครออกใคร หากคิดจะแก่งแย่งชิงดีแล้วแม้แต่คำว่าพี่น้องก็สิ้นความสำคัญ อีกทั้งเท่าที่ข้ารู้สาเหตุที่องค์รัชทายาทอ้างเรื่องไว้ทุกข์ให้คุณหนูใหญ่สกุลจ้าวที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เพราะรู้สึกติดค้างอันใดต่อนางแต่เป็นเพราะเพื่อหลีกเลี่ยงการบีบบังคับจากสกุลจ้าวที่พยายามจะยัดเยียดจ้าวซีอินให้มาแทนที่พี่สาวของนาง องค์รัชทายาทก็เลยใช้การไว้ทุกข์มาเป็นข้ออ้างเพื่อบอกปัดจ้าวซีอิน” เมื่อหวังฮุ่ยหลิงเอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ต่างอดถอนใจออกมา
“หากเป็นข้าเมื่อรู้ว่าคนเขาไม่ชอบ ข้าก็จะไม่ขอยัดเยียดตนเองเข้าไปในชีวิตของเขา” เฉินเจียวมี่เอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอันใดแต่ทุกคนภายในห้องกลับไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง มีเพียงเฉินเจียวเจียวที่วางถ้วยชาลงโดยไร้ซึ่งความทุกข์ร้อน
“เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว หากคนเขาไม่ต้องการแล้วต่อให้พยายามยัดเยียดตนเองเข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาอย่างไรก็คงจะเป็นได้แค่ส่วนเกินในชีวิตของเขาเท่านั้น” เมื่อเฉินเจียวเจียวเอ่ยเช่นนี้รวมทั้งสายตาดุดันที่เฉินเจียวเหม่ยส่งมาให้ทำให้เฉินเจียวมี่พึ่งจะคิดได้ว่าคำพูดของนางน่าจะไปสะกิดโดนความรู้สึกของพี่สาวก่อนที่จะถอนหมั้นกับโซ่วอ๋อง
“พี่เจียวเจียว ข้า..”
“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ยามนี้ข้าปล่อยวางได้แล้ว” เฉินเจียวเจียวพูดตัดบทถ้อยคำขอโทษของน้องสาวพลางยิ้มออกมาอย่างไม่ถือสา องค์หญิงเก้ารีบเลื่อนจานขนมไปให้เฉินเจียวมี่ในทันที
“เจ้าดูขนมนี่สิ นี่เป็นขนมที่มีแค่เพียงในเฉพาะตำหนักของเสด็จแม่ของข้าเชียวนะ หลายวันก่อนพระนางบอกว่าหลินชิงเหมยทำขนมนี้ได้ดี ข้าก็เลยสั่งให้นางทำจำนวนมากเพื่อจะได้นำมามอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่สหายและญาติสนิท ข้าได้ยินว่านางทำทั้งวันทั้งคืนกว่าจะได้ขนมตามจำนวนที่ข้าและเสด็จแม่ทรงต้องการ แทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยทีเดียว” เมื่อองค์หญิงเก้าเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวมี่ก็หยิบขนมขึ้นมาพินิจ
“ทรงแน่พระทัยนะเพคะ ว่านางจะไม่ใส่ยาพิษมาให้” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้องค์หญิงเก้าก็หัวเราะออกมา
“หากนางกล้าต่อให้มีกี่สิบหัวก็ไม่พอให้เสด็จแม่ของข้าตัด ที่ข้านำขนมนี้มาให้พวกเจ้าไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้ากินขนมฝีมือของนาง แต่จุดประสงค์สำคัญก็แค่จะบอกพวกเจ้าว่าวางใจเถิด นางไม่ได้สุขสบายอย่างที่ผู้อื่นเข้าใจหรอก” เมื่อองค์หญิงเก้าเอ่ยเช่นนี้ทุกคนภายในห้องรับรองก็พากันยิ้มออกมา
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ