บทที่ 4 กักขัง
ทุกวันพ่อบ้านจะต้องนำบัญชีการค้าของกิจการมาให้มู่เฉินตรวจสอบ ถึงจำเรื่องราวไม่ได้แต่สัญชาตญาณด้านการค้าของชายหนุ่มยังคงเฉียบแหลม การตรวจสอบบัญชีจึงยังเป็นหน้าที่ของเขา
วันนี้ก็เช่นกัน พ่อบ้านเข้ามาในห้องของชายหนุ่มพร้อมกับบันทึกบัญชีเล่มหนา
พวกเขาพูดคุยกับเกี่ยวกับกิจการและเรื่องต่าง ๆ ในเรือน จนมู่เฉินถามว่าลี่ถังเป็นอย่างไร พ่อบ้านจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจตน
“นายท่าน ข้ามีเรื่องจะต้องขอพูด…”
มู่เฉินละสายตาจากตัวเลขในบันทึกบัญชีแล้วหันไปมองพ่อบ้านของตน
พ่อบ้านลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมา
“ข้าคิดว่าการขังแม่นางลี่ถังไว้ในจวนเช่นนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องดี หากเรื่องล่วงรู้ไปถึงเมืองหลวงอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ นายท่านควรปล่อยให้นางกลับไป”
มู่เฉินได้ยินก็หายใจแรง เขาแสร้งทำเป็นสนใจบันทึกบัญชีตรงหน้าและไม่สนคำพูดของพ่อบ้าน
พ่อบ้านอดรู้สึกกังวลไม่ได้ ช่วงนี้นายท่านของเขาเชื่อฟังเขามาตลอดแทบทุกเรื่อง แต่ตั้งแต่หญิงสาวปรากฏตัว นายท่านก็ทำอะไรตามใจตัวเองและยังแสดงท่าทางดื้อดึงผิดปกติ
“ไหน ๆ นางก็อยู่ที่นี่แล้ว ถือโอกาสตอนนี้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับสตรีมากรักอย่างนาง และแต่งกับแม่ของลูกน่าจะเป็นทางออกที่ดีกับทุกฝ่ายนะขอรับ”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ มู่เฉินก็ชะงักไป เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองพ่อบ้านด้วยสายตาไม่พอใจ มือที่ถือพู่กันตบลงโต๊ะจนเกิดเสียงดังและตามมาด้วยเสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยออกมาด้วยท่าทางไม่แยแสและเย็นชา
“ที่นี่ใครเป็นเจ้านายกันแน่ เจ้ามิยุ่งเรื่องของข้ามากเกินไปแล้วหรือ”
“ขออภัยนายท่าน ข้าก็แค่เป็นห่วง หากคนพูดถึงนายท่านในทางไม่ดีจะกระทบการกิจการการค้าได้นะขอรับ”
มู่เฉินหายใจแรง เรื่องนั้นไม่ใช่เขาไม่รู้ แต่เขาก็ไม่อยากที่จะถอนหมั้นกับลี่ถัง ทั้ง ๆ ที่คำนั้นก็ออกมาจากปากของนางง่าย ๆ ราวกับนางมีใครอื่นรออยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากให้ทุกเรื่องมันง่ายจนเกินไปไม่ว่ากับใครก็ตาม
“ข้าดูหมดแล้ว เจ้าไปได้แล้ว” พ่อบ้านรีบเก็บของแล้วออกจากห้อง ซูปี้ที่สวนกับพ่อบ้านมองหน้ากันแปลก ๆ ก่อนที่หญิงสาวจะนำน้ำแกงเดินไปให้ชายหนุ่ม
ทุกวันมู่เฉินจะพาซูปี้ไปทานอาหารในสวน และเดินเล่นชมดอกไม้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รักนาง แต่ก็ทำไปตามหน้าที่ที่ควรรับผิดชอบ สายตาของเขามองนางอย่างอ่อนโยน ผิดกับท่าทีเย็นชาและไม่ไยดีที่มีต่อลี่ถัง
ลี่ถังเห็นภาพนั้นตำตาทุกวัน ยิ่งเห็นหัวใจก็ยิ่งบีบรัดเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออก
เขาขังนางไว้ในเรือนโดยไม่ยอมพบเจอ อ้างว่ายุ่งกับเรื่องการค้าของกิจการ แต่กลับมีเวลาเดินเล่นและหัวร่อต่อกระซิกไปกับสตรีผู้นั้น
รอยยิ้มที่ตั้งแต่นางมาที่นี่ก็ไม่เคยได้รับ มันกลับถูกมอบให้ผู้อื่นอย่างง่ายดาย ลี่ถังได้ยินเสียงมู่เฉินที่เดินเฉียดเรือนรับรองของนางเอ่ยถามไถ่ซูปี้ด้วยความอ่อนโยน ในใจก็รู้สึกจุกเหลือเกิน
"เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ช่วงนี้ลูกดื้อหรือไม่”
"ไม่เลยเจ้าค่ะนายท่าน ลูกของข้าช่างน่ารักนัก เขาเชื่อฟังน่าดูเจ้าค่ะ" ซูปี้ตอบเสียงหวาน นางหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อพร้อมรอยยิ้ม "คงดีใจที่พ่อของตัวเองมาเดินเล่นด้วยทุกวันเช่นนี้"
"เช่นนั้นก็ดี ข้าจะหาเวลาให้นะ" มู่เฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พร้อมกับใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาบนใบหน้าของซูปี้ไปทัดไว้ที่หลังหูอย่างแผ่วเบา
ภาพเหล่านั้นช่างบาดตาบาดใจของลี่ถัง นางทนดูทั้งสองกินอาหารมื้อใหญ่ด้วยกันได้ แต่นางกลับทนไม่ได้ที่เห็นทั้งคู่ใกล้ชิดจับเนื้อต้องตัวกัน ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะตั้งครรภ์ก็ต้อง...
ความรู้สึกเจ็บจนจุกทำให้ดวงตาของลี่ถังเริ่มมีน้ำใสไหลออกมา หญิงสาวรีบเดินออกไปจากเรือนรับรองเพื่อไปที่ด้านหลังของจวน
หญิงสาวเดินมาพิงตัวกับบ่อน้ำเก่าที่ด้านหลังจวน พออยู่ที่นี่หลายวันก็เพิ่งรู้ว่าบ่อน้ำแห่งนี้ไม่มีผู้ใดใช้งานนอกจากตัวของนางเอง
นางเพิ่งสังเกตว่าน้ำไม่ได้มีมากขนาดนั้น และก็ค่อนข้างขุ่นและไม่ใสสะอาดเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นมันก็มีมากพอสำหรับผู้ที่ถูกขังอยู่ในจวนโดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเรียกร้องอะไรอย่างนาง
หญิงสาวนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นทั้ง ๆ ที่นางรักเขา เป็นห่วงเขา จึงดั้นด้นมาหา น้ำใสรวมตัวกันเป็นหยดก่อนจะไหลกลิ้งผ่านแก้มเนียน
อยู่ที่นี่นางเหมือนคนที่ถูกลืม แม้อาหารการกินจะไม่ได้เลวร้าย แต่ก็ไม่ได้ดีนัก และคงไม่อาจเรียกว่าของสำหรับแขก ทุกมื้อมีแต่ของธรรมดาราวกับอาหารของสาวใช้
แตกต่างจากสำรับของมู่เฉินและซูปี้ที่นางเห็นยามทั้งสองกินในสวนโดยสิ้นเชิง ลี่ถังไม่ได้อิจฉาอีกฝ่ายเรื่องอาหารหรือการเป็นอยู่หรอก เพียงแค่นางไม่รู้ว่าทำไมสวรรค์ถึงต้องลงโทษให้นางเห็นอะไรอย่างนี้อยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางผิดอะไรมากมายนักหรือ หรือเพราะไม่ได้เกิดเป็นบุตรขุนนาง จึงถูกทิ้งขว้างง่าย ๆ เช่นนี้ นางไม่ได้ต้องการความฟุ่มเฟือย ก็แค่อยากให้ใส่ใจกันบ้าง และมันก็เจ็บเมื่อรู้ว่าเขาเต็มใจจะดูแลผู้อื่นให้อยู่ดียิ่งกว่า แค่คิดหัวใจของลี่ถังก็เจ็บปวดจนจุกอีกครั้ง
ลี่ถังสะอื้นไห้เงียบ ๆ อยู่ที่บ่อน้ำเก่า ความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและหัวใจทำให้นางแทบหมดเรี่ยวแรง น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหยดลงไปในบ่อราวกับสะท้อนถึงความเจ็บปวดที่เก็บงำอยู่ภายในใจ
ยามนี้นางไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดมู่เฉินจึงต้องปฏิบัติกับนางเช่นนี้ หากเขาเกลียดชังหรือหมดรักกันแล้วก็ควรปล่อยนางไป เหตุใดจึงต้องขังนางไว้ที่นี่ราวกับเป็นนักโทษ จะให้เป็นเครื่องมือระบายความแค้นของเขากระนั้นหรือ
สายลมเย็นพัดผ่าน นางกอดตัวเองแน่นเพื่อให้ความอบอุ่นกับหัวใจที่เย็นชา นางคิดถึงบ้าน คิดถึงบิดาและพี่ชายที่คงเฝ้ารอนางกลับไป โดยไม่รู้เลยว่าลี่ถังถูกกักขังไว้ที่นี่โดยไม่มีทางหนีออกไปได้
"ข้าต้องกลับบ้าน... ข้าต้องกลับไปให้ได้" นางพึมพำกับตัวเอง
ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความเศร้าสร้างประกายแห่งความมุ่งมั่นขึ้นมาแทนที่ หากเขาไม่ยอมปล่อยนางไป นางก็ต้องหาทางหนีไปเอง ต่อให้ออกไปไม่ได้ในวันนี้ วันพรุ่งนี้หรือวันต่อไป นางก็จะหาทางจนกว่าจะสำเร็จ
คืนวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกวันลี่ถังต้องทนเห็นมู่เฉินใช้เวลาร่วมกับซูปี้ ยิ่งเขาแสดงออกว่าห่วงใยซูปี้มากเท่าไร ใจของนางก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
ลี่ถังยืนพิงเสาด้วยหัวใจที่สับสน นางมองไปยังภาพของมู่เฉินที่เดินเคียงข้างซูปี้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน หัวใจของนางปวดร้าวราวถูกมีดกรีด ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางรักเขา…รักจนไม่อาจถอนตัว แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดเขาเหลือเกิน เกลียดที่เขาทำให้นางต้องเจ็บปวด เกลียดที่เขาพูดจาหวานหูต่อหญิงอื่น แต่กลับมอบเพียงความเฉยชาให้นาง เกลียดที่เขามองซูปี้ด้วยสายตาอ่อนโยน ขณะที่มองนางราวกับเป็นเพียงเงาที่ไร้ตัวตน
เพราะยังเห็นเขาอยู่ในสายตาใช่หรือไม่ หัวใจจึงยังไม่ลืมเสียที
หัวใจของนางถูกฉุดให้จมลงสู่ความสิ้นหวัง ทุกครั้งที่เขาหัวเราะให้สตรีอื่น นางอยากจะเมินเฉย อยากจะบอกตนเองว่าเขาไม่สำคัญอีกต่อไป แต่ความรู้สึกในอกกลับไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ
“ทำไมถึงเป็นข้า…” ลี่ถังพึมพำ ดวงตาหม่นแสง มือที่กำแน่นสั่นสะท้าน
นางอยากจะเกลียดเขา เกลียดให้สุดหัวใจ แต่นางกลับยังทำไม่ได้อย่างที่ลั่นวาจาออกไป ทุกครั้งที่คิดจะผลักเขาออกไปจากความคิด ภาพในอดีตก็ไหลบ่าเข้ามาแทนที่ น้ำเสียงของเขาเมื่อครั้งยังรักกัน รอยยิ้มอบอุ่นที่เคยเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว ทุกอย่างกลายเป็นบาดแผลที่ทิ่มแทงนางซ้ำ ๆ
ทั้งรัก…ทั้งเกลียด
หากสามารถเลือกได้ นางอยากจะลืมเขาเสียให้สิ้น แต่หัวใจของนางกลับไม่ยอมเชื่อฟังเลยสักนิดเดียว
ตอนพิเศษ 5หลายปีผ่านไป อี้เจ๋อและอี้หว่านเติบโตขึ้นในบ้านที่เต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่น ขณะที่อี้เจ๋อเริ่มโตเป็นเด็กหนุ่มที่มีความสงบเสงี่ยมและนิสัยอ่อนโยนเหมือนมู่เฉิน บุตรสาวของพวกเขา อี้หว่าน กลับมีลักษณะนิสัยที่คล้ายคลึงกับลี่ถังมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งรูปลักษณ์และอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความร่าเริงและความดื้อรั้นจนหลายครั้งทำให้ทั้งบ้านต้องขำขันอี้เจ๋อเติบโตมาในแบบที่เป็นเด็กชายที่ค่อนข้างจะเงียบสงบ มีความรับผิดชอบและมักจะอยู่เคียงข้างพ่อแม่เสมอ เขามีท่าทางที่สุภาพและนิ่งสงบเหมือนกับมู่เฉิน ไม่ว่าจะทำอะไร เขาก็ทำมันด้วยความรอบคอบและมุ่งมั่น ส่วนอี้หว่านเอง แม้จะยังเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ แต่นางกลับมีพลังและความกระตือรือร้นที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง เรียกได้ว่านางเปรียบเสมือนมารดาของนางในทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านความดื้อรั้นและความช่างสงสัยที่ไม่ยอมหยุดถามในวันหนึ่ง ขณะที่ครอบครัวนั่งทานข้าวมื้อเย็นกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร อี้หว่านที่นั่งข้างๆ มารดาเริ่มถามคำถามที่ทำให้ทุกคนหัวเราะ“ท่านแม่เจ้าคะ ทำไมผมของพ่อถึงดูนุ่มและเงางามมาก แต่ของแม่ทำไมมันฟูๆ หน่อยเจ้าคะ” อี้หว่านถามด้วยท่าทางใสซื่อและซุกซนมู่เฉินที
ตอนพิเศษ 4 มู่เฉินและลี่ถังนั่งอยู่บนเตียงของพวกเขาเช่นทุกคืนหลังจากส่งบุตรชายเข้านอน มือของมู่เฉินยังกอดเอวของภรรยาคนรักไว้ ลี่ถังเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสามีด้วยสายตาที่มีความหมาย“ท่าน… ข้าอยากบอกอะไรบางอย่าง” ลี่ถังพูดเสียงเบา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกังวลมู่เฉินหันไปมองภรรยาด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”ลี่ถังสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ข้า… ข้าอาจจะตั้งท้องอีกครั้ง”มู่เฉินนิ่งไปเล็กน้อย เขามองใบหน้าของลี่ถังด้วยความทึ่งและแปลกใจ ก่อนที่รอยยิ้มจะเริ่มปรากฏที่มุมปากเขา “จริงหรือ นี่เป็นข่าวดีจริงๆ หรือเจ้าแค่แกล้งข้า”ลี่ถังหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า “ข่าวดีจริงๆ ข้าไปหาหมอมาหมาดๆ และเขาบอกว่า ข้ากำลังตั้งท้อง”มู่เฉินยิ้มกว้างขึ้น เขาค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือของลี่ถังและบีบเบาๆ “ข้าดีใจมาก ขอบคุณที่ทำให้บ้านของเรามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความสุขแล้ว”ลี่ถังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก “ท่านเองก็ดีใจใช่ไหม”มู่เฉินพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “แน่นอน ข้าดีใจมากจริงๆ”ลี่ถังยิ้มและเบียดตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้น “บางที… หากค
ตอนพิเศษ 3ค่ำคืนที่เงียบสงบ อี้เจ๋อหลับสนิทอยู่บนเตียงเล็กของเขา ภายใต้ผ้าห่มอุ่น ลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกถึงความสุขสบายของเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นมาในบ้านที่เต็มไปด้วยความรักมู่เฉินเดินเข้ามาในห้องของลูกชาย มองดูใบหน้าของอี้เจ๋อด้วยสายตาอ่อนโยน เขาค่อยๆ ดึงผ้าห่มให้คลุมถึงไหล่ของเด็กชาย ก่อนจะลูบศีรษะเล็กๆ อย่างอ่อนโยน "ฝันดีนะ ลูกพ่อ"ลี่ถังที่ยืนพิงขอบประตูมองดูฉากนี้ด้วยรอยยิ้มจางๆ "ทุกคืนท่านต้องเข้ามาดูลูกแบบนี้ตลอดเลยหรือ”มู่เฉินหันไปมองภรรยา พลางพยักหน้าเบาๆ "อี้เจ๋อยังเด็ก ข้าอยากให้แน่ใจว่าเขาหลับสบายดี"ลี่ถังเดินเข้ามาใกล้ มองดูอี้เจ๋อที่หลับสนิท "เด็กคนนี้โตขึ้นทุกวัน ข้าก็เริ่มคิดว่าเขาเหมือนท่านมากขึ้นเรื่อยๆ"มู่เฉินหัวเราะเบาๆ "จริงหรือ ข้าว่าเขามีอะไรที่เหมือนเจ้ามากกว่านะ โดยเฉพาะเวลาทำหน้าขรึมแบบนั้น"ลี่ถังแกล้งทำหน้าดุใส่สามี ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ "บางทีเราอาจจะต้องมีลูกอีกสักคน คราวนี้ข้าอยากได้ลูกสาวบ้าง"ลี่ถังหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะผลักไหล่สามีเบาๆ "พูดอะไรน่ะ อี้เจ๋อยังเล็กอยู่เลยนะ"มู่เฉินยิ้มกว้างขึ้น "ข้าแค่พูดเผื่ออนาคตน่ะ ใครจะไปรู้ บางทีบ้านของเราอาจจ
ตอนพิเศษ 2“ ท่านพ่อท่านแม่ขอรับ เมื่อเช้าที่ป้าที่ร้านขายอาหารถามหมายถึงอะไรหรือขอรับ” เด็กชายที่กำลังเคี้ยวขนมเอ่ยถาม“เรื่องอะไรหรือ” “เขาบอกว่าเห็นท่านทั้งสองตั้งแต่ท่านพ่อยังตามท่านแม่ต้อย ๆ มันหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ” ลี่ถังหัวเราะ“อืม... ยามนั้นท่านพ่อของเจ้าเกี้ยวแม่นะ รู้จักคำนี้ไหม” “เกี้ยวหรือขอรับ ข้ารู้จัก พี่ชายที่ร้านของท่านปู่เกี้ยวพี่เลี้ยงของข้า เดินตามเวลาที่นางอยู่กับข้าตลอด” คำของเด็กน้อยทำเอาสาวใช้ที่เป็นพี่เลี้ยงหน้าแดง“พ่อเจ้าก็ตามแม่เช่นนั้นล่ะ” “จริงหรือขอรับ ตามอย่างไรบ้างขอรับ เกี้ยวอย่างไร” ดวงตาเด็กน้อยเป็นประกายจนลี่ถังยิ้มขำ ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ขยับเร็วจนเกือบตกจากเก้าอี้ ทั้งลี่ถังและสาวใช้ที่ดูแลเอื้อมมือออกไปรับแทบไม่ทันแต่สุดท้ายก็เป็นมู่เฉินที่จับตัวของบุตรชายเอาไว้แล้วอุ้มไปนั่งตัก“อี้เจ๋อ ระวังล้มสิ” ลี่ถังดุบุตรชายของตน “ข้าไม่ล้มหรอกขอรับ” เด็กน้อยหัวเราะร่าก่อนจะขยับตัวในท่าที่สบายขึ้นบนตักของบิดา ถึงกระนั้นสายตาก็ยังคงมองไปยังจานขนมบนโต๊ะลี่ถังหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหยิบขนมชิ้นหนึ่งส่งให้บุตรชาย “ค่อย ๆ กิน อย่าให้สำลักล่ะ” ห
ตอนพิเศษ 1วันเวลาผ่านไปคุณชายซูตัวน้อยก็เติบโตขึ้นมาเป็นคุณชายที่ช่างพูดและน่าเอ็นดู ลี่ถังและมู่เฉินมักจะใช้เวลากับบุตรชายของตนในสวนดอกไม้กลางจวนตระกูลลี่พวกเขายังคงดูและกิจการเองแม้ว่าจะใหญ่โตขึ้นมาก บัดนี้ลี่เจียงได้เป็นคหบดีที่มีคนนับหน้าถือตา ตระกูลลี่ก็ยิ่งใหญ่มากขึ้น แม้จะยังไม่อาจเทียบตระกูลมู่ได้ แต่ก็ใหญ่โตในแบบของตน คงเป็นเพราะคนตระกูลลี่ทำกิจการไม่ได้หวังอำนาจและยศศักดิ์แต่แรกอยู่แล้วนี่จึงไม่ได้เป็นเป้าหมายสำคัญพวกเขาแค่อยากให้ลูกค้าและคู่ค้าได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เงินในมือของคนเหล่านั้นจะหาซื้อได้และหากถามว่าสิ่งใดที่เรียกได้ว่าสำคัญกับคนตระกูลลี่มากที่สุดทั่วทั้งเมืองหลวงก็คงจะบอกได้ว่าคือคุณชายน้อยซูแม้จะอายุเพียงห้าขวบ แต่กลับติดตามบิดามารดาออกไปส่งของที่ตลาดในยามเช้าในบางวัน คนทั่วทั้งตลาดรู้จักชายหนุ่มตัวน้อยเป็นอย่างดี หลังจากกลับมาเมื่อกินข้าวเที่ยงกับครอบครัว ซึ่งในบางครั้งก็จะมีสองปู่ย่าจากตระกูลมู่มาร่วมโต๊ะอาหาร คุณชายตัวน้อยก็จะออกมาวิ่งเล่นที่สวนกลางจวน ที่ตาของเขาอย่างลี่เจียงตกแต่งใหม่เป็นพิเศษเพื่อหลานชายเสียงหัวเราะของเด็กชายดังก้องไปทั่วทั้งส
บทที่ 32 ครอบครัวของเรา "ของพวกนั้นวางไว้ตรงนั้น ระวังอย่าให้แตกเสียหายล่ะ"เสียงของลี่ถังที่คอยกำกับคนงานให้ขนของขึ้นเกวียนเพื่อไปส่ง ทำให้ทุกคนในจวนต่างกังวลตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หญิงสาวไม่เคยยอมหยุดพักจากงานเลย แม้ท้องของนางจะโตขึ้นทุกวัน จนยามนี้ใกล้จะครบกำหนดคลอดแล้ว แต่ทุกวันลี่ถังก็ยังออกมาจัดการกิจการอยู่เสมอ ๆ "ลี่ถัง เจ้าควรเข้าไปพักได้แล้ว แดดจ้าเช่นนี้หากเป็นลมไปจะทำเช่นใดกัน" มู่เฉินเอ่ยบอกกับภรรยา แม้จะดูเหมือนดุแต่ที่เขาพูดก็เพราะเป็นห่วง "ท่านหมอบอกว่าเดินมาก ๆ จะได้คลอดง่าย อีกอย่างข้าไม่ร้อน แล้วก็ไม่เหนื่อยด้วย" หญิงสาวตอบอย่างดื้อรั้นจนมู่เฉินอยากจะอุ้มนางเข้าไปเก็บในเรือน"กล่องนั่นที่เพิ่งมา เอาไปไว้ที่เรือนด้านหลัง..." ยังไม่ทันที่มู่เฉินจะได้ทำตามความคิด หญิงสาวก็หยุดพูดแลวขยับมือไปกุมท้องของตน“อึก” ลี่ถังรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นที่ไหลทะลักออกมาจนขาทั้งสองของนางเปียกไปหมดหัวใจของหญิงสาวเต้นแรงขึ้น ลี่ถังหันไปสบตากับมู่เฉินที่มองนางด้วยสีหน้าตื่นตระหนกไม่ต่างกัน"น้ำคร่ำแตกแล้ว" ลี่ถังบอกกับสามี "อะไรนะ เจ้า...แปลว่าเจ้าจะคลอดหรือ" มู่เฉินตาเบิกกว้างอ