“ท่านแม่ พอเถอะขอรับ” ไป่จวิ้นบอกมารดาด้วย
สีหน้าเศร้าสร้อยไม่ต่างกับคนเป็นแม่“...แม่ขอโทษนะจวิ้นเอ๋อร์” ถ้าหากนางไม่รบเร้าให้ลูกรับราชการตั้งแต่ต้น เรื่องคงไม่กลายเป็นแบบนี้
“ไม่ใช่ความผิดท่านแม่เสียหน่อย อย่าโทษตัวเองเลยขอรับ แล้วข้าก็เป็นคนตัดสินใจในท้ายที่สุด ท่านแม่ไม่ได้บังคับข้าเสียหน่อย”
หงเสวียนซู่พูดไม่ออก บุตรชายผู้กตัญญูและซื่อสัตย์ของนางต้องมีสภาพเป็นแบบนี้ เพราะมีหัวหน้าไม่ได้ความ กองทหารที่ไป่จวิ้นสังกัดอยู่นั้นมีทหารบาดเจ็บล้มตายและพิการมากเป็นประวัติการณ์ ทั้งที่ไม่ใช่สงครามใหญ่ระดับแคว้น นายกองคนนั้นถูกลงโทษจากความสะเพร่าของตน แต่แล้วอย่างไร บุตรชายของนางได้อะไรกันล่ะ
ไป่จวิ้นรับราชการต่อไม่ได้ ถึงจะมีเงินชดเชยมอบให้ก้อนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มากมายเพราะเป็นเพียงพลทหาร
หนำซ้ำยังหาคนแต่งงานด้วยไม่ได้เพราะสภาพร่างกายเช่นนี้ ไม่ว่าไปทาบทามสู่ขอลูกสาวบ้านใดล้วนถูกปฏิเสธสามีของหงเสวียนซู่จากไปแล้ว หน้าที่นี้จึงเป็นนางรับผิดชอบ หากทำไม่สำเร็จคงไม่มีหน้าไปเจอบรรพบุรุษ นางอับจนหนทางต้องยอมอายใช้เงินแลกเปลี่ยน
จะไม่มีใครต้องการบุตรชายของนางเป็นสามีจริง ๆ หรือ
“เฮ่อ…จวิ้นเอ๋อร์ไปผ่าฟืนต่อเถอะลูก แม่จะไปทำมื้อเที่ยง นี่ก็เลยเวลามาเยอะแล้ว คุยเรื่องนี้กันก่อนกินข้าวรสชาติอาหารคงเฝื่อนแย่”
หงเสวียนซู่ไม่อยากให้ลูกชายเป็นกังวล ถึงเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่คงวิตกและโทษตัวเองไม่ต่างจากนาง เรื่องนี้ให้คนเป็นแม่อับอายคนเดียวก็พอแล้ว
ไป่จวิ้นใช้ไม้เท้าเดินค้ำยันมานั่งผ่าฟืนที่หลังบ้านด้วยสีหน้าสลดหดหู่ เกียรติเพื่อวงศ์ตระกูลอะไรกัน ตอนนี้กระทั่งเกียรติของความเป็นคนก็ไม่มีเหลือด้วยซ้ำ แค่ชะตาพลิกผันเพียงนิดก็ทำให้ชีวิตดำดิ่งได้ขนาดนี้เลยเชียว
อย่าหวังลม ๆ แล้ง ๆ เลย ไม่มีใครต้องการเจ้าเป็นคู่ชีวิตหรอก คนไม่ได้ความเช่นนี้จะไปทำอะไรได้
ไป่จวิ้นเติบโตมาในครอบครัวอบอุ่นที่ดูประหลาดในสายตาคนนอกอยู่เล็กน้อย ที่แคว้นนี้ไม่ว่าครอบครัวไหนก็ถูกสอนว่า ภรรยาต้องเชื่อฟังสามี หรือไม่ก็ภรรยาเป็นสมบัติของสามี แม้จะต่างถิ่นฐานแต่ก็สอนสั่งมาคล้ายกัน
เมื่อออกไปเจอสังคมข้างนอก ตนจึงรู้ว่าครอบครัวไป่แตกต่าง เพราะคนที่เชื่อฟังอีกฝ่ายคือบิดาของเขาต่างหากไป่จวิ้นเห็นท่านพ่อท่านแม่รักใคร่กันดีแม้จะแตกต่าง เขาจึงตระหนักว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกันเลย ตั้งแต่นั้นก็ตั้งใจว่า หากพบคนที่ตนรักและได้ครองคู่กันดังหวัง เขาจะฟังนาง ฟังสิ่งที่นางร้องขอ ฟังความคิดเห็นของนาง และความต้องการของนาง เขาจะรับฟังทั้งหมดแล้วก้าวเดินไปด้วยกัน
น่าเสียดายที่ความใฝ่ฝันนั้นคงไม่มีทางเป็นจริง
หงเสวียนซู่ก้มมองน้ำในหม้อเดือดพล่านอย่างเหม่อลอย ถึงจะตัดสินใจทำลงไปแล้ว แต่ก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ทำแบบนี้ดีแล้วแน่หรือ สิ่งที่นางทำส่งผลให้ครอบครัวถูก
ติฉินนินทาตกเป็นขี้ปากชาวบ้านทุกวันถ้าถึงที่สุดแล้วไม่มีใครยอมมา คงต้องจ้างวานให้คนอื่นอุ้มท้องแล้วเอาแต่เด็กมา…
นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายของสุดท้ายที่นางคิดไว้ ภาวนาอย่าให้ตัวเองกับบุตรต้องไปถึงจุดนั้น หากเมื่อทำไปแล้วก็ต้องออกจากเมืองนี้ ที่ดินและบ้านก็ต้องขายทิ้ง เงินที่ลูกชายของนางเก็บหอมรอมริบจนได้มา สุดท้ายก็ต้องตัดใจทิ้งอย่างนั้นหรือ
“...มีใครอยู่ไหม มีใครอยู่หรือไม่เจ้าคะ!”
เสียงตะโกนดังลั่นจากหน้าบ้านทำให้คนกำลังเคี่ยวน้ำแกงสะดุ้งโหยง หงเสวียนซู่ตกใจจนทำกระบวยร่วงจากมือ นางผลักประตูออกอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด ตั้งใจจะตะคอกถามกลับเสียด้วยซ้ำหากไม่ได้เห็นใบหน้านั้นเข้าก่อน
ถ้าไม่ได้เห็นชุดโทรม ๆ เก่า ๆ ที่สวมอยู่คงเข้าใจผิดว่าเป็นคุณหนูบ้านไหนเข้าแล้ว
สำหรับสาวชาวบ้านธรรมดานับว่าดูแลตัวเองได้ดีเกินพอเชียวละ
“มีธุระอะไร”
จางอวี๋จิงคุกเข่าลง “ขออภัยที่มารบกวนกะทันหันเจ้าค่ะฮูหยิน ข้ามาเพราะเรื่องที่ฮูหยินได้ประกาศไว้”
ดวงตาหญิงหม้ายเบิกกว้างขึ้น นี่เป็นความหวังสุดท้ายของนางแล้ว
“เข้ามาก่อนสิ”
“รบกวนด้วยเจ้าค่ะ”
หงเสวียนซู่มองนางหัวจรดเท้าราวกับกำลังประเมินความเหมาะสม จางอวี๋จิงนั่งนิ่งอย่างใจเย็นทั้งที่หัวใจกำลังทำงานอย่างหนัก ทั้งที่ตอนเผชิญหน้ากับหมูป่ายังไม่รู้สึกกดดันเท่านี้ หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบบ้านไม่เห็นบุตรชายเจ้าของบ้านก็แปลกใจ
“ข้าได้ยินว่า ท่านหาคนมาเป็นสะใภ้อยู่เจ้าค่ะ”
จางอวี๋จิงร้อนใจรีบเข้าประเด็นสำคัญ“อยากได้เงินรึ?” หงเสวียนซู่รู้ว่าตนพูดอะไรไว้
แต่นางก็ต้องการชั่งน้ำหนักความปรารถนาของสตรีที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน“หากข้าบอกว่าไม่ก็คงดูออกอย่างง่ายดายว่าไม่จริง แต่ว่าความซื่อสัตย์และความภักดีของข้าจะมอบให้บุตรชายท่านเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจากนี้เขาจะมีฮูหยินรองหรืออนุก็ตาม ข้าจะคอยปรนนิบัติดูแลจนกว่าจะสิ้นลมเจ้าค่ะ”
“ถ้าราบรื่นเช่นนี้ข้าก็วางใจ เด็ก ๆ จะชอบพอกันหรือไม่ก็ไม่เสียหายทั้งสองฝ่าย ยังรักษาหน้ากันบ้าง”“เรากับสกุลปันก็สนิทสนมกันมาพอสมควร มิตรภาพก็หลายปีตั้งแต่เราย้ายมาอยู่ ถึงเด็ก ๆ จะไม่ชอบใจกันก็ไม่สะเทือนถึงความสัมพันธ์ยาวนานหรอก”“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ใจคนนั้นยากแท้หยั่งถึง จะตัดสินตั้งแต่ตอนนี้ทั้งที่ช่วงเวลานั้นยังไม่มาอยู่ตรงหน้าก็จะไม่ได้”ภรรยาเขายังขี้กังวลเหมือนเดิม“อืม ๆ เอาตามที่เจ้าว่า เราดูกันไปก่อนเถอะ”บ่ายวันนั้นก็มีจดหมายส่งมาจากสกุลปัน แจ้งเวลานัดหมายที่ร้านน้ำชาแห่งหนึ่ง นี่ไม่ใช่การดูตัวอย่างเป็นทางการจึงมีแต่เด็ก ๆ เท่านั้นที่ไป หลังจากนำเรื่องนี้ไปบอกบุตรชายเขาก็รับทราบและตกลงจางอวี๋จิงเดินออกมาทั้งหน้ามุ่ย“เป็นอะไรไปอีกล่ะ ลูกไม่ยอมไปหรือ”“ไปแบบขอไปทีน่ะสิ ข้าล่ะกลัวว่าเขาจะทำให้ฝ่ายหญิงไม่พอใจ”ไป่จวิ้นตบที่ว่างข้างตัวให้นางไปนั่ง“เสี่ยวหลินเติบโตมาเป็นบุรุษที่ดี มีพ่อเจ้ากับข้าช่วย
จางอวี๋จิงมองบุตรในวัยปักปิ่นของตัวเองสวมเสื้อผ้าทะมัดทะแมงพร้อมมีกระบี่พกติดตัว นางจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนน้องชายของนางชวนให้บุตรชายคนโตไปร่วมงานที่สำนักคุ้มภัยด้วยกันหากเขาต้องการ หลายปีต่อมานางจึงไม่ได้คาดคิดว่า พอได้ลองไปทำงานที่นั่นดูแล้วจะเป็นบุตรสาวของตนเสียเองที่ติดใจ“เสี่ยวลู่ลู่ ลูกคิดดีแล้วใช่หรือไม่”“ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”พูดไม่ออกเลยจริง ๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเตรียมใจไว้เลยนะ“ท่านแม่เจ้าคะ ข้าสัญญาจะดูแลตัวเองดี ๆ และกลับมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ ““รู้แล้ว ๆ ทำอย่างกับแม่จะห้ามเจ้าได้”ตอนนางอยู่ในวัยแรกรุ่นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ตัดสินใจแต่งงานเข้าสกุลไป่ตามใจตัวเองโดยไม่ปรึกษาที่บ้าน ถึงไปปรึกษาก็ยังยืนยันคำตอบเดิม หัวรั้นเหมือนนางไม่มีผิดเป็นความผิดข้าสินะ เป็นความผิดข้าใช่ไหมนี่ นางเหมือนข้ามากเกินไปจางอวี๋จิงอยากจะเอามือก่ายหน้าผากไป่ลู่จื่อได้ความงดงามของมารดาไปเต็ม ๆ จนบิดาห่วงเช้าห่วงเย็น ด้ว
“ข้าก็ชอบ”เด็กทั้งสองพูดเจื้อยแจ้วแข่งกัน จางอวี๋จิงแบ่งงานให้พวกเขาทั้งคู่ นางใช้พวกเขาช่วยล้างผักและหมักเนื้อ จะไม่ให้แตะต้องของมีคมอย่างเด็ดขาด ลูก ๆ จะมีบิดาคอยคุมอยู่ห่าง ๆ อีกที ไม่ให้พวกเขาเผลอหยิบจับอะไรจนเจ็บตัวทั้งฟืนไฟและของหนักของร้อนขนมและน้ำชาที่จะกินกันในวันนี้หงเสวียนซู่และเหออิงเป็นคนรับผิดชอบ ตอนนี้ของหวานพวกนั้นกำลังอยู่ในหม้อนึ่ง ส่วนนางก็รับหน้าที่จัดการของคาว พวกสาวใช้ทำความสะอาดบ้านครั้งใหญ่ให้เสร็จตั้งแต่เมื่อวันก่อน ตอนนี้กลับไปใช้เวลากับครอบครัวของตัวเอง พ่อบ้านก็เช่นกันจางอวี๋จิงทำอาหารจานโปรดของทุกคนอย่างละหนึ่ง แล้วทำของที่กินคู่กันอีกเล็กน้อย อาหารสำหรับฉลองวันนี้ก็พร้อมขึ้นโต๊ะจางชิงผิงเดินทางมาจากบ้านที่อยู่ซอยข้าง ๆ พร้อมกับน้องชายของนาง ตอนนี้จางฟงเป็นหนุ่มน้อยรูปงามที่สตรีหลายคนในเมืองนี้หมายตา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจใครเป็นพิเศษ ท่านพ่อไม่ได้รีบบังคับบุตรชายให้ออกเรือน ท่านแม่ก็ไม่พูดเรื่องนี้ให้เขาอึดอัด ตั้งใจจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติบรรยากาศการกินเลี้ยงเป็นไปอย่างรา
มารดาของนางบอกว่า มันเป็นขนมไหว้พระจันทร์แสนพิเศษ พลังแสงจันทร์เจ็ดวันเจ็ดคืนบนยอดเขาน้ำค้าง ศักดิ์สิทธิ์มาก และต้องเก็บไว้เปิดอีกครั้งในวันไหว้พระจันทร์เท่านั้นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์แสนวิเศษนั่นนางไม่ได้สนใจเลยสักนิด กลับกลัวว่าขนมนี่ยังกินได้อยู่หรือเปล่ามากกว่า เผลอ ๆ อาจมีราขึ้นแล้วด้วยซ้ำ แต่เพื่อความสบายใจของมารดานางจึงรับไว้ก่อน หากวันไหว้พระจันทร์เปิดมาแล้วมันกินไม่ได้นางจะแอบเอาไปทิ้งทีหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์มักจัดขึ้นช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง เป็นเทศกาลใหญ่เหมือนที่เฉลิมฉลองร่วมกันทั่วทวีปที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินเดียวกันกับแคว้นหนานเป็นวันที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวอีกวันหนึ่ง มีอาหารกินเลี้ยงหลากหลาย มีการจุดดอกไม้ไฟและร่ำสุรา มีการแสดงระบำมังกรของในแต่ละท้องที่ เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่จางอวี๋จิงชอบมากรองจากเทศกาลชีซี แต่อย่างหลังนางไม่เคยได้มีโอกาสได้เข้า เป็นได้เพียงผู้ชมอยู่ห่าง ๆระหว่างนางกำลังตกแต่งโต๊ะอาหารสามีก็กลับมาจากข้างนอก ในมือของเขามีถุงวัตถุดิบมากมายสำหรับทำอาหารและของหวานวันนี้ไป่จวิ้นยิ้มทัก
“มาทางนี้สิ” ไป่จวิ้นเรียกนางไปหาข้างหน้าต่าง ถึงจะมีแสงมาก แต่ค่ำคืนนี้ก็ยังมองเห็นดาวไป่ลู่จื่อมานอนเล่นตุ๊กตาจำลองกับพี่ชายบนเตียง นางในวัยสามเดือนไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่ายอมอยู่เฉย ๆ ให้พี่ชายจับแต่งตัวเป็นนักรบน้อย ดวงตาเหลียวมองท่านพ่อท่านแม่ ภาพที่นางเห็นสุขสันต์พอ ๆ กับนิทานก่อนนอนคืนนั้นเด็กน้อยหลับฝันหวาน พ่อแม่ของนางนั่งดูดาวที่หน้าต่างจนดึกดื่นโดยไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น ท้ายที่สุดจางอวี๋จิงก็ผล็อยหลับไปทั้งแบบนั้นเนื่องจากไป่จวิ้นไม่สามารถอุ้มนางไปที่เตียงได้จึงต้องปลุกภรรยาให้ตื่นอย่างน่าเสียดาย“อาอวี๋” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ เพราะลูก ๆ ก็หลับกันหมดแล้วจางอวี๋จิงรู้สึกครั้งแรกขยับตัวเล็กน้อย นางเปิดเปลือกตาขึ้นมาเพียงครึ่งเดียวแล้วเงยมองสามีด้วยสายตาขอคำตอบ“เด็ก ๆ หลับไปแล้ว พวกเราก็นอนกันเถอะ”นางพยักหน้าท่าทางงัวเงียแทบหลับตาเดิน คืนนั้นครอบครัวหลับฝันหวาน และตื่นมารับชมงานเทศกาลในตอนเช้าวันนี้เป็นเนื้อหาหลักของการจัดงานเทศกาลนี้ขึ้นมา นอกจากเอาผลผลิตมาอวดโฉมแล้วยังม
จางอวี๋จิงมองดูด้วยสายตาคิดว่ารางวัลชนะเลิศคงไม่ใช่ของนางแล้ว มีของคนอื่นที่ดูแลผลออกมาได้สวยกว่านางมาก แต่สิ่งที่นางนำมาก็รูปทรงสวยพอจะไปวางบนแท่นจัดแสดงได้อย่างไม่อายใครแน่นอนหลังจากนี้แค่ปล่อยตัวเองสนุกไปกับบรรยากาศก็พอแล้ว“อาอวี๋ ตรงนั้นเหมือนจะมีร้านขายผ้ามาเปิดใหม่ ลองไปดูหน่อยไหม”พอมีเวลาเป็นของตัวเองมากขึ้น และไม่ต้องห่วงเรื่องเงินทอง จางอวี๋จิงพบว่าตนเองก็ชอบที่จะแต่งตัวสวย ๆ เหมือนกัน นางก็มีส่วนที่หลงใหลไปกับความงดงามเหมือนเช่นสตรีหลาย ๆ คน เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้ทำเพราะสามีรู้แบบนั้น เขาก็พยายามเติมเต็มให้นางเท่าที่ทำได้ เวลาแรกผลิบานของนางหมดไปกับการดิ้นรน หากหลังจากเป็นแม่คนแล้วยังต้องมาสำรวมตามขนบทุกอย่าง อิสระของนางจะอยู่ที่ไหนนั่นไม่ใช่สามีแบบที่ไป่จวิ้นอยากเป็นจางอวี๋จิงมองไปตามทางที่สามีบอกก็เห็นร้านผ้าอยู่จริง ๆ มีคนออกมาเรียกลูกค้าและประกาศตัวว่าเป็นร้านเปิดใหม่ ที่ร้านของครอบครัวนางขายผ้าไหมเป็นหลักแต่ร้านนั้นมีผ้าที่หลากหลายมากกว่า ทว่าเป็นผ้าราคาถูกที่คนทั่วไปจับต้องได้&l