กู่ซิงอีออกจากตระกูลว่านมาได้ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ ลงมือเคาะหน้าต่างอยู่สามทีเหมือนเดิม คราวนี้ไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก เขาหลบออกจากบานหน้าต่างก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งมาเปิดหน้าต่างชนเข้ากับเขาเหมือนครั้งก่อนอีก
“อาอี?!” เซี่ยลู่หลินแปลกใจอยู่บ้าง ปกติหากมีเสียงเคาะแบบนี้ครั้งที่สองนางก็มาเปิดแล้วเพราะไม่มีใครคนไหนในจวนจะมาเคาะห้องของนางแบบนี้ และปกติกู่ซิงอีไม่เคยมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเช่นนี้มาก่อนนางจึงรอเสียงเคาะครบสามครั้งถึงได้มาเปิด “เข้ามาก่อน” นางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพอเห็นว่าไร้ผู้คนก็รีบถอยห่างจากบานหน้าต่างเพื่อให้กู่ซิงอีเข้ามา
กู่ซิงอีกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้องแล้วเดินนำไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจนหมด จบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “อีกสักพักฉีหย่าคงถูกส่งมาที่นี่”
“คุณชายว่านระวังตัวยิ่งนัก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนรักหน้ารักตามาก เคยมีคนใส่ร้ายร้านค้าของเขาว่าเอาเปรียบ ขายของคุณภาพต่ำให้ชาวบ้าน เขาก็รีบออกมาแก้ไขในทันที ดังนั้นยิ่งไม่แปลกถ้าจะไม่ให้แม่นางฉีหย่าเข้าใกล้ เพราะตัวเขาตอนนี้มีสัญญาหมั้นหมายกับข้าแล้ว คงต้องยิ่งระวังท่าทางและข่าวลือมากกว่าเดิม เฮ้อ ขนาดสตรีงดงามขนาดนั้นเขายังปฏิเสธได้ลง” เซี่ยลู่หลินไหล่ลู่ลงคิดหนัก
กู่ซิงอีพยักหน้าเห็นด้วย หลายวันที่ผ่านมาเขาอยู่ในตระกูลว่านก็ต้องระวังตัวมากนักเพื่อไม่ทำให้ตนถูกจับได้ กระทั่งคำพูดก็เปลี่ยนเป็นสงบปากสงบคำอย่างหาได้ยากเพื่อไม่ให้เป็นที่เตะตา หลังจากนี้จึงคิดว่าตนยังสามารถเคลื่อนไหวตามแผนการอื่นที่วางไว้ได้อยู่
“เสี่ยวลู่ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เรายังมีเวลาอีกสักพัก ตอนนี้ที่เจ้าต้องทำก็แค่จัดการเรื่องของแม่นางฉีหย่าก่อน ถามนางว่าอยากทำงานกับจวนของเจ้าหรือไม่ หากนางไม่ต้องการก็ให้นางจากไปเถิด อย่างไรเสียเงินที่ไถ่ตัวนางออกมานางก็ได้ตอบแทนอย่างเต็มที่แล้ว” กู่ซิงอียกยิ้มปลอบใจเซี่ยลู่หลิน รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนจนสามารถทำให้เซี่ยลู่หลินรู้สึกเชื่อมั่นและปลอดภัยขึ้นมาได้
แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้เลยว่าอนาคตที่เขาวางไว้นั้นล่มไม่เป็นท่าเลยสักนิด
ไม่ว่าจะแผนการไหนที่เขาวางไว้แล้วลงมือทำล้วนถูกคนผู้นั้นทำให้ไม่สำเร็จไปเสียหมด
แต่กู่ซิงอีก็ไม่ย่อท้อ จนกระทั่งวันนี้คล้ายสวรรค์เมตตาเขาและเซี่ยลู่หลินให้มีหนทางไปต่อได้
เซี่ยลู่หลินมักกล่าวว่าตัวเขาเป็นคนที่เก็บตัวแต่กลับรู้จักคนมากกว่านางเสียอีก คำนี้กู่ซิงอีเพิ่งจะรู้ซึ้งก็ตอนนี้ว่ามันมีประโยชน์อย่างไร
หลายปีก่อนตอนที่อยู่หมู่บ้านกง เขากับผู้เฒ่าเว่ยหาเลี้ยงชีพด้วยการเปิดโรงเตี๊ยม ดังนั้นคนที่รู้จักส่วนมากมักเป็นคนที่เดินทางบ่อย กระทั่งเมื่อย้ายมาที่เมืองจางก็บังเอิญได้พบกลุ่มพ่อค้าที่เคยรู้จักกันซึ่งเดินทางมาจากแคว้นเยว่เข้าพอดี ความจริงเขาจำกลุ่มพ่อค้าไม่ได้หรอก แต่ผู้เฒ่าเว่ยย่อมจำได้ ช่วงนั้นที่เจอกันอีกครั้งเขาอายุราวสิบสามปีได้ ผู้เฒ่าเว่ยดูเหมือนจะสนิทสนมกับคนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ กู่ซิงอีจำได้ว่าแม้กระทั่งสุราที่ผู้เฒ่าเว่ยหวงแหนและไม่ยอมให้เขาได้ลิ้มลองดื่มเสียทีก็กลับยกออกมาเลี้ยงพ่อค้ากลุ่มนั้นอย่างไม่นึกเสียดาย ผลพวงจากการดื่มกินครั้งนั้นทำให้กู่ซิงอีกับกลุ่มพ่อค้ารู้จักกันเป็นอย่างดี
จวบจนวันนี้ก็ได้พบกันที่กลางเมืองอีกครั้ง กู่ซิงอีจึงทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี พากลุ่มพ่อค้าไปนั่งดื่มชาคุยความหลังกันในโรงน้ำชาขึ้นชื่อแห่งหนึ่ง
“ผู้เฒ่าเว่ยเป็นสหายที่ดี...” ซ่งจางหลานกล่าวเสียงเบาหลังจากได้ฟังจากกู่ซิงอีว่าผู้เฒ่าเว่ยจากไปแล้ว ตัวเขาอายุไม่ถึงห้าสิบปีก็จริงแต่ผู้เฒ่าเว่ยกลับชอบบอกให้นับถือกันเหมือนสหาย
ในช่วงที่เดินทางแรก ๆ เมื่อตอนยังหนุ่มยังแน่นก็ได้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมของผู้เฒ่าเว่ยค่อนข้างนานจนสนิทกันเหมือนสหายรู้ใจจริง ๆ แม้อีกคนจะอายุเกินตัวเองไปเกือบครึ่งก็ตาม
ตอนนั้นเขาได้ผู้เฒ่าเว่ยชี้แนะอยู่หลายอย่าง จนหลายปีให้หลังที่ประสบความสำเร็จได้ก็เพราะผู้เฒ่าเว่ยจริง ๆ เขาจึงจดจำคนผู้นี้ไว้เสมอ หวังจะตอบแทนบุญคุณในสักวัน แต่ยามนี้กลับไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
เมื่อช่วงเช้าขบวนของเขาเดินทางผ่านเส้นทางที่ตั้งของบ้านผู้เฒ่าเว่ยแถบชานเมืองพอดี เขาและกลุ่มพ่อค้าจากแคว้นเยว่ก็ได้แวะไปแล้วรอบหนึ่งแต่ไม่พบคน ใครจะไปคิดว่าจะเจอเด็กหนุ่มรูปงามอย่างกู่ซิงอีเอ่ยทักเข้ากลางทางพอดี คราแรกยังจำไม่ได้เพราะกู่ซิงอีพอโตขึ้นแล้วจากเด็กซุกซนแก้มยุ้ยกลับเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาได้ยาก ยังคิดว่าอีกฝ่ายทักคนผิดด้วยซ้ำไป
ก่อนหน้านี้เพียงนิดกลุ่มคนก็แยกเป็นสองกลุ่ม ตอนนี้คนที่กู่ซิงอีรู้จักจึงมีเพียงซ่งจางหลานส่วนอีกสองคนที่ตามซ่งจางหลานมาด้วยนั้นกู่ซิงอีไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ซ่งจางหลานไม่ลืมแนะนำทั้งสองคนให้กู่ซิงอีได้รู้จักว่าเป็นใครบ้าง
คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มตระกูลร่ำรวยที่ดูแลเกี่ยวกับม้าให้แคว้นเยว่นามชางหนิงจินอายุไล่เลี่ยกับกู่ซิงอี ส่วนอีกคนคือพ่อค้าผ้ามีนามว่าเฉินถังเป็นสหายของซ่งจางหลาน
ทั้งสี่คนพูดคุยกันพักใหญ่จนเฉินถังกล่าวถึงตระกูลว่านขึ้นมา กู่ซิงอีสนใจไม่น้อย พอฟังไปสักพักก็ได้รู้ว่าพ่อค้าผ้าตั้งใจจะมาติดต่อเรื่องซื้อขายผ้ากับตระกูลว่าน และเมืองจางก็เป็นที่สุดท้ายที่เขาตั้งใจเดินทางมาถึง ส่วนคนที่เหลือจะเดินทางไปต่อที่อื่นอีก
“ข้าไม่เคยได้ยินว่าคุณชายว่านชอบไปที่หอเริงรมย์...เกรงว่าหากท่านลุงเฉินตกลงเรื่องค้าขายได้จริง ดื่มกินที่เรือนตระกูลว่านคงจะดีกว่า” กู่ซิงอีกล่าวเป็นนัย แต่พอกล่าวไปแล้วกลับอยากกัดลิ้นตัวเองขึ้นมา หากท่านลุงเฉินสามารถเชิญคุณชายว่านไปหอเริงรมย์ได้ก็เข้าทางเขาไม่ใช่หรือไร ทว่าในใจกลับรู้สึกผิดถ้าหากตนจะไปยุยงให้ท่านลุงเฉินทำเช่นนั้นจริง ๆ แล้วถ้าเกิดว่านฟู่เฉิงไม่พอใจขึ้นมาการเดินทางครั้งนี้ของท่านลุงเฉินก็เสียเปล่า
กู่ซิงอีใช้ความคิดเพียงชั่วอึดใจ ถึงนึกได้ว่าท่านลุงเฉินเป็นฝ่ายที่ต้องการซื้อของจากตระกูลว่าน คนที่ได้เงินก็คือว่านฟู่เฉิง เป็นไปได้สูงว่าจะไม่ถูกปฏิเสธ ดังนั้นจึงมองเห็นความหวัง และรอดูว่าท่านลุงเฉินจะตัดสินใจอย่างไร
สุดท้ายท่านลุงเฉินก็มั่นใจในตนเองยิ่งนักว่าตนเป็นเงินก้อนใหญ่ของตระกูลว่าน ไฉนเลยคุณชายว่านจะไม่ย่อมใจอ่อนผ่อนปรนให้
ในเมื่ออีกฝ่ายมีความแน่วแน่และมันก็เข้าทางกู่ซิงอีด้วย เขาจึงกล่าวอีกสองประโยค บอกว่าคุณชายว่านเป็นคนอย่างไร และต้องทำอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ
หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันไป
ช่วงเย็นกู่ซิงอีก็มาส่งสุราที่หอเริงรมย์แห่งหนึ่งด้วยตนเอง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนที่หมักสุราชื่อดังนี้ ทุกคนต่างคิดแค่ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงคนส่งของเท่านั้น
ช่วงที่ช่วยคนของหอเริงรมย์ขนไหสุราลงเขาก็ได้ยินว่าคุณชายว่านจะมาจัดงานที่ห้องพิเศษชั้นล่างเข้าพอดี เหมือนเป็นการพบปะของกลุ่มพ่อค้าที่มาจากเมืองอื่น จึงรู้ได้ทันทีว่าที่ตนแนะนำท่านลุงเฉินไปเหมือนจะได้ผล
กู่ซิงอีหัวใจเต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ อะไรจะบังเอิญขนาดนี้ ปกติคุณชายว่านเก็บตัว ไม่ชอบสังสรรค์ ไม่คิดว่าจะมาที่หอเริงรมย์เป็นกับเขาด้วย แถมยังเป็นหอที่ตนเพิ่งมาส่งสุราพอดีถึงได้รู้ข่าวในทันทีอีกด้วย
และก่อนจะได้ออกจากประตูหลังของหอเริงรมย์ไปกู่ซิงอีก็ทันได้เห็นคนที่คล้ายผู้ดูแลเดินมาหลังร้านเข้าพอดี เขาจึงเข้าไปพูดคุยและหว่านล้อมอีกฝ่าย แนะนำให้เอาใจคุณชายว่านอย่างไรบ้าง อย่างเช่นส่งสตรีงดงามหลายคนที่ร้องรำเป็นไปสักจำนวนหนึ่งและอีกสักสองสามคนคอยรินสุราให้ข้างกายคงดีไม่น้อย
แถมยังกล่าวเสริมอีกว่าคุณชายว่านถือเป็นตระกูลพ่อค้าอันดับต้นของแคว้นเหว่ย ดังนั้นหากได้คนเช่นนี้มาอยู่ข้างตนก็คงทำให้มีร่มเงากว้างขวางให้หลบพักได้สบาย ๆ
แน่นอนว่าคำพูดยุยงเล่านั้นกู่ซิงอีล้วนใช้คำพูดเรียบเรียงออกไปอย่างดี ใครได้ฟังก็คงคิดไปเพียงว่าเด็กหนุ่มคนนี้แค่พูดคุยเรื่อยเปื่อยไม่ได้จงใจทำเรื่องไม่ดีอันใด
ผู้ดูแลเองก็คุยกับเจ้าของหอเริงรมย์ไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะหาสิ่งใดไปมัดใจคุณชายว่านบ้าง แต่ก็ยังพากันลังเล พอมีคนมาชวนคุยไปในทิศทางเดียวกันกับที่ตนคิดไว้อยู่แล้วจึงหนักแน่นในความคิดของตนมากขึ้นกว่าเก่า ครั้นพอตัดสินใจได้แล้วก็ไม่รั้งอยู่ต่อ ขอตัวจากไปหาเจ้าของหอทันที
กู่ซิงอีคิดว่าแผนนี้คงเข้าท่า ช่วงเย็นเขาก็แอบมาทำงานเป็นคนเตรียมสุรา และไม่ลืมแอบสับเปลี่ยนสุราเป็นชนิดแรงขึ้นมาอีกหน่อยเพื่อหวังให้คุณชายว่านขาดสติเพียงนิดก็ยังดี และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะเจาะสตรีที่ถูกเตรียมไว้ก็คงเข้าไปด้านในพอดี
แต่กู่ซิงอีไม่ใจดำถึงขั้นวางยาสลบหรือยาปลุกกำหนัดเพื่อจัดฉากอย่างที่ได้เคยคิดกับเซี่ยลู่หลินเมื่อก่อนหน้านี้ อย่างไรเสียก็ยังพอมีมโนธรรมอยู่บ้าง แค่คิดว่าเพียงรอให้เหล่าสาวงามเข้าไปแล้วก็ค่อยส่งคนไปเรียกนายท่านเซี่ยมาดูว่าที่ลูกเขยนั่งกอดกับสตรีเหล่านั้นก็พอ ไม่ต้องให้เลยเถิดไปจนถึง เอ่อ...ทำเรื่องอย่างว่ากัน
เรื่องการร่ำสุราเคล้านารีไม่แปลกอันใดสำหรับกลุ่มพ่อค้าและคนมีเงิน แต่นายท่านเซี่ยนอกจากเห็นเงินมาเป็นอันดับแรก อันดับต่อมาก็คือเรื่องหน้าตาและชื่อเสียง ส่วนท้ายที่สุดที่กู่ซิงอีรู้ว่านายท่านเซี่ยมีดีแค่เรื่องนี้ก็คือเรื่องรักเดียวใจเดียวนั่นเอง มารดาของเซี่ยลู่หลินจึงเป็นสตรีที่โชคดีที่สุดแล้วที่กู่ซิงอีเคยเจอมา ดังนั้นหากนายท่านเซี่ยเจอว่าที่ลูกเขยของตนมากอดกกสตรีไว้ในอกที่หอเริงรมย์อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
กู่ซิงอีเห็นทุกอย่างไปได้ดีก็ยกยิ้ม ยื่นสุราที่เตรียมไว้ให้บ่าวคนอื่นในหอเริงรมย์เพื่อส่งไปตามห้องต่าง ๆ เขารู้สึกดีใจจนออกนอกหน้าไปแล้ว คิดว่าครั้งนี้ต้องทำสำเร็จ
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่