รถม้าของท่านอ๋องเคลื่อนตัวออกไปแล้วพร้อมกับสายตาที่มองมาจากชั้นสองของหมิงอันเฟยที่มองอยู่ด้านบนนี้ นางเกือบจะหลบไม่ทันเมื่อเขามาที่หอต้าหรงทันทีหลังจากที่จับคนร้ายได้
นางทันเพียงแค่พับเสื้อคลุมเอาไว้และรีบหลบไปด้านหลังม่านในห้องผู้ดูแลบัญชีเท่านั้น
“เป็นถึงท่านอ๋องเชียวหรือ นึกไม่ถึงว่าจะลงมาจัดการคนร้ายด้วยตัวเอง ดูแล้วก็ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก”
สองวันถัดมา
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไร”
“คือว่า….พวกนาง…”
เมื่อกงหลี่พูดว่า “พวกนาง” เขาก็ทราบได้ทันทีว่าคือผู้ใดหากมิใช่สตรีบุตรสาวขุนนางที่น่ารำคาญสองคนนั้น ผู้ที่พึ่งได้แต่งตั้งเป็นพระสนมของเขาโดยที่เขาไม่ทราบมาก่อนเมื่อกลับมาจากการรบกับเมืองฉาง ชายแดนทางตะวันตก
เมื่อเขากลับมาเมืองหลวงก็มีข่าวว่า ว่าที่คู่หมายของเขาในตอนนั้น “หานจินซือ” กลายเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทไปแล้ว และฝ่าบาทเองก็เกรงว่าเขาจะโกรธจนก่อกบฏขึ้นมาจึงได้ประทาน “ตัวน่ารำคาญ” สำหรับเขามาถึงสองคน คงกลัวว่าเขาจะมีเวลาคิดร้ายกับพี่ชายคนละมารดาของตนเองกระมัง…
"พวกนางมาวุ่นวายอันใดที่นี่
“ท่านอ๋องเพคะ”
“ท่านอ๋อง…โอ๊ย!!”
สตรีสองคนที่รีบวิ่งมาฟ้องเขาพร้อมกับสภาพที่บอกได้ว่าคงมีเรื่องกันมาก่อนหน้านี้ เมื่อสตรีในชุดสีแดงเลือดนั้นเดินมาถึง นางจึงได้หันมามองพระพักตร์ที่ยังเรียบเฉยและมิได้มองมาที่นางทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูล”
“เรื่องใด”
“หม่อมฉันถูกพระสนมลี่ฟางตบตีก่อนนะเพคะท่านอ๋อง นางเป็นคนตบหม่อมฉันและยังบอกว่าเป็นเพียงบุตรขุนนางชั้นต่ำ นางเป็นบุตรแม่ทัพหม่อมฉันก็เลย….”
กงหลี่เห็นเพียงท่านอ๋องที่หยุดมือเอาไว้ที่พู่กัน เขาไม่เขียนต่อแล้วนั่นแสดงว่าท่านอ๋องกำลังหมดความอดทน
“กงหลี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“กฎของจวนว่าอย่างไรเกี่ยวกับผู้ที่ก่อความวุ่นวายตบตีกันในจวน”
“โบยคนละห้าไม้และให้กักบริเวณพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋องเพคะ หากจะลงโทษก็ขอทรงทอดพระเนตรด้วยเพคะว่าผู้ใดที่สมควรถูกทำโทษ”
“สนมลี่ เจ้าคิดว่าผู้ใดที่สมควรถูกลงโทษงั้นหรือ”
“นางเพคะ สนมซูเป็นเพียงสนมชั้นผู้น้อยและเข้าจวนมาทีหลังหม่อมฉัน นางไม่เพียงไม่เคารพหม่อมฉันที่เป็นถึงบุตรท่านแม่ทัพ แต่ว่านางยังกล้าตบหม่อมฉันอีก ดังนั้น…”
“แล้วเจ้าได้ตบนางหรือไม่”
“หม่อม….พระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”
ท่านอ๋องพับรายงานเก็บแต่ก็ยังมิได้มองพวกนางอีกเช่นเคย เขายื่นรายงานนั้นส่งให้กงหลี่และหันมาใช้ตราประทับเพื่อจะปิดผนึกจดหมายอีกฉบับส่งตามไป
“ข้าถามเจ้าว่า…เจ้าได้ตบนางกลับหรือไม่”
“หม่อมฉัน….”
“สนมลี่นางให้สาวใช้จับหม่อมฉันเอาไว้และตบไม่ยั้งเลยเพคะท่านอ๋อง ฮือ…..หม่อมฉันเต็มไปด้วยรอยเล็บของนางพระองค์ทอดพระเนตรสิเพคะ”
“ท่านอ๋องเพคะ ซูหลิงนาง….”
“กงหลี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พาพวกนางออกไป โบยคนละห้าไม้กักบริเวณสิบวันอย่าสร้างความวุ่นวาย”
“ท่านอ๋องเพคะ!! หม่อมฉันเป็นถึงบุตรีของท่านแม่ทัพ…”
“แล้วอย่างไร เป็นลูกแม่ทัพแล้วทำผิดได้งั้นหรือ ที่นี่จวนของข้า ผู้ใดทำผิดข้าไม่เว้นเอาไว้สักคน เอาตัวไป!!”
“ท่านอ๋อง!! พระองค์มิกลัวว่าหม่อมฉันจะนำเรื่องนี้…ไปฟ้องท่านพ่อหรือเพคะ”
“เจ้ารีบเขียนไปฟ้องสิ ข้ายินดีส่งเจ้ากลับจวนแม่ทัพได้ทุกเวลา จะไปก่อนจะถูกโบยข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าหรอกนะ”
“ท่านอ๋อง!!”
“เอาตัวพวกนางออกไป น่ารำคาญ!!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของพระสนมทั้งสองยังดังอยู่จนเซียวฟู่เฉินนึกรำคาญ เขาไม่เคยอยากได้สตรีน่าเบื่อน่ารำคาญเช่นนี้ แม้ว่าพวกนางจะเป็นสตรีเช่นกันแต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ
แต่เขากับนางหมดทางหวนคืน เขาไม่มีแม้แต่โอกาสถามนางด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใดจึงเปลี่ยนใจ แต่ในยามนี้ฟู่เฉินก็ไม่ได้อยากรู้เหตุผลนั้นอีกแล้วเมื่อสามวันก่อนวังหลวงพึ่งประกาศข่าวดีว่าพระชายาองค์รัชทายาททรงตั้งพระครรภ์แล้ว นั่นถือว่าสิ้นสุดเรื่องระหว่างเขาและนาง
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เสียงนั่น…น่ารำคาญชะมัด”
“พระสนมทั้งสองเป็นบุตรสาวของขุนนาง ระ…เรื่องถูกโบย….”
“จะได้หลาบจำจนไม่กล้าก่อเรื่องอีก หากทนไม่ไหวก็กลับจวนไปข้าไม่ได้อยากได้สตรีมารกหูรกตาที่จวนนี้”
“เห็นที…คงจะยากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!! เจ้าว่าอะไรกงหลี่”
“ฝะ…ฝ่าบาทส่งพวกนางมาที่นี่เพราะว่าพระองค์ไม่กลับไปที่ตำหนักใน ก็เลยมีราชโองการให้พวกนาง…ตามมาปรนนิบัติพระองค์ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ ปรนนิบัติ พูดได้ดีนัก เสด็จพ่อคงเห็นข้าว่างมากกระมังจึงได้ส่งพวกนกแก้วนกกระเต็นน่ารำคาญพวกนี้มาไว้ที่นี่ เจ้ารีบออกไปส่งจดหมายนั่น บอกว่าข้าอยากได้คำตอบโดยเร็ว หากว่าอยากได้เงื่อนไขหรือเงินค่าจ้างเพิ่ม ข้าก็ยินดีจ่าย”
“นี่พระองค์…..”
ท่านอ๋องหันมามองหน้าองครักษ์คนสนิทพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย กงหลี่คุ้นชินกับสีหน้าเช่นนี้ของผู้เป็นนายดีเพราะเขาแทบจะไม่มีสีหน้าอื่นเลยนับตั้งแต่ทราบว่า “หานจินซือ” กลายเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เขากลายเป็นท่านอ๋องน้ำแข็งและเย็นชา แม้ว่ากำลังยิ้มแต่ก็ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่เย็นวาบจนถึงสันหลังได้
“เจ้าสงสัยอันใด”
“กระหม่อมไม่คิดว่า….”
“เจ้าเป็นผู้แนะนำเองมิใช่หรือว่าให้ข้าหาพระชายา รีบไปสิ แล้วเอาคำตอบมาด้วย รอจนกว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หอต้าหรง
“นายท่านเรียนว่าขอคำตอบที่น่าพอใจมิเช่นนั้นข้าน้อย….”
“แต่ว่าคุณชาย เรื่องนี้….ข้าต้องถามความสมัครใจของผู้รับงานด้วย เช่นไรแล้ว….ท่านก็บอกให้นายท่านรอสักหน่อยรับรองว่าข้าจะให้คำตอบที่นายท่านพอใจแน่ขอรับ”
“มิใช่ว่าไม่เชื่อใจท่านแต่ข้าเองก็..ท่านก็รู้ว่านายท่านของข้า”
“ข้าเข้าใจ เช่นนั้นเอาแบบนี้ ข้าขอเวลาเกลี้ยกล่อม..เอ้ย คุยกับนางก่อน หากว่านางยอมรับเงื่อนไขได้ข้าจะรีบให้คนไปแจ้งท่านโดยด่วน”
“เช่นนั้น…ได้ขอรับ เรื่องนี้คงต้องฝากท่านแล้ว”
“เฮ้อ…ข้าก็บอกตามตรงว่าไม่มั่นใจนัก ข้ากับนางพึ่งพบกันเมื่อสิบวันก่อน แม้ว่านางจะจับคนร้ายคดีใหญ่ ๆ ได้หลายคดีแต่งานเช่นนี้....ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่านางจะรับหรือไม่
“ท่านก็ลองดูหน่อย นายท่านบอกว่ายินดีเพิ่มเงินให้ตามที่นางต้องการ เงื่อนไขหากว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็สามารถแจ้งได้เลย”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านกลับไปแจ้งนายท่านเถอะ เรื่องนี้ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ”
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลาก่อน”
ผู้คุมบัญชีหอต้าหรงถึงกับกุมขมับทันทีเมื่อส่งจาง หลี่กลับไปแล้ว เขาเปิดอ่านจดหมายปิดผนึกนี่แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงต้องเจาะจงใช้เฉพาะสตรีชุดแดงในคืนที่จับคนร้ายฆ่าคนตายเก้าศพผู้นั้นด้วย
เขาเองแม้ว่าจะให้ห้องพักตามที่นางขอพร้อมอาหารสามมื้อแต่นอกจากนั้นเขาแทบไม่เคยถามข้อมูลส่วนตัวนางเลย นอกจากป้ายหยกที่นางติดตัวเอาไว้ นอกนั้นไม่ได้มีสิ่งใดบ่งบอกฐานะของนางได้เลย
“เจ้าไปเชิญคุณหนูหมิงมาพบข้าที่ห้องทีสิ บอกว่าเรื่องด่วน”
“ท่านเป็นใครกันแน่นะ แล้วเหตุใดต้องบอกว่าจะได้พบกันอีก”จวนสกุลฮั่วหน้ากากลายดอกเหมยถูกวางเอาไว้ในกล่องอย่างดีก่อนที่ฮั่วหลินอีจะปิดฝาลงและเดินมานอนนึกถึงเรื่องราวในค่ำคืนนี้ช่วงที่นางเต้นรำดอกไม้ ท่วงท่าในการรำแม้ว่าจะเป็นของฉินโจว แต่บุรุษหนุ่มต่างแคว้นผู้นั้นกลับเต้นรำได้อย่างคล่องแคล่วจนน่าตกใจ“ข้าต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่ พบกันเพียงครั้งเดียวเองนะ”วังหลวงฮั่วหลินอีรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ที่ใดสักแห่งตั้งแต่พวกนางลงมาจากรถม้า นางสอดสายตาไปทั่วจนเงยขึ้นไปพบคนผู้หนึ่งที่รู้สึกคุ้นตาแต่ก็รีบหันหน้าหนีในทันที“เหตุใดคนผู้นั้น…”“หืม น้องสามเจ้าเป็นอะไรไป”“เปล่าเจ้าค่ะพี่รอง รีบเข้าไปด้านในกันเถอะเจ้าค่ะ”“ช่วงนี้เจ้าพูดน้อยลงนะรู้ตัวหรือไม่”“งั้นหรือเจ้าคะ ข้าก็แค่….”“เจ้ากำลังโกรธอะไรพวกข้าอยู่หรือเปล่าหลินอี”ฮั่วชิงอันมองน้องสาวด้วยความรู้สึกผิดเพราะตั้งแต่พวกนางกลับมาจากเมืองชุ่น พี่ใหญ่ก็กลับบ้านน้อยลงเพราะมัวแต่ไปเฝ้าลี่ฟางกับแม่ทัพลี่ที่หอต้าหรง ส่วนนางเองก็มีองค์ชายคุณหลิงที่มาหาที่จวนหรือไม่ก็จะไปที่จวนท่านอ๋อง แม้จะพานางไปด้วยแต่ก็ไม่ได้มีเวลาสนใจนางมากนักเกรงว่านางจะน้อย
นางโอบรอบคอของเขาเอาไว้แน่นเมื่อเขารับนางที่กำลังตกจากต้นไม้ที่นางพยายามปีนไปเก็บผลของมันแล้วพลัดตก เขาพานางมาที่ลำธารใสเพื่อล้างแผลที่แขน มือหนาค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อนางขึ้นเพื่อล้างแผลและดึงผ้าที่ฉีกจากเสื้อของเขามาพันให้นาง“เอาพันไว้ก่อน กลับไปที่ค่ายแล้วค่อยทายาและเปลี่ยนใหม่”“ขอบคุณท่านแม่ทัพ”ลี่ฟางหันไปขอบคุณ ปากนางจึงหันไปชนแก้มของเขา แต่นางไม่อาจขยับได้เพราะนางกำลังตกใจ ส่วนฮั่วเทียนอี้นั้นรู้ใจตัวเองก่อนนางนานแล้ว เขาดึงนางออกพร้อมกับมองหน้านางที่แดงระเรื่ออีกครั้ง“อยากขอบคุณข้าจริง ๆ งั้นหรือ ข้าช่วยเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งที่สามสิบแปดแล้วตั้งแต่ออกเดินทางมา”“ท่านนั่งนับด้วยหรือเจ้าคะ นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ข้า…ขอบคุณจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นข้าขอ….”เขาไม่พูดต่อแต่ช้อนหน้าขึ้นมาจูบนางในทันทีจนนางเริ่มเงยหน้ารับจูบเขา ร่างบางถูกรวบขึ้นมาและเดินออกไปจากลำธารใสในป่าที่ไร้ผู้คน ลิ้นเกี่ยวตวัดจนทั้งคู่ไม่อยากให้ผู้ใดได้พบเห็น เทียนอี้ค่อย ๆ วางนางลงที่โคนต้นไม้ที่มีพื้นหญ้านิ่ม ๆ รองรับอยู่“ลี่ฟาง….ข้าคิดว่าข้า…”“ฮั่วเทียนอี้ ท่านเอาแต่มองข้า เดินตามข้าและช่วยเหลือข้า แม้หลับตาก็รู้
“คำสั่งพิเศษงั้นหรือ นี่มันแผนอันใดกัน เหตุใดข้าต้องไปแดนใต้เพื่อขอร้องแม่ทัพลี่ด้วย อันเฟยต้องการจะทำอะไรกันแน่น้องรอง”“ข้าเองก็หารู้แผนการของนางทั้งหมดไม่เจ้าค่ะ แต่ว่าในตอนที่ไปที่หอต้าหรงและรับตรากิเลนไฟมา พวกเราต้องฟังคำสั่งนางในฐานะแม่ทัพและข้าเชื่อใจอันเฟยว่านางจะคิดไม่ผิด”“เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถาม ในเมื่อท่านอ๋องไว้วางพระทัยให้นางถือป้ายควบคุมกองทัพ นั่นแสดงว่าท่านอ๋องมองเห็นบางอย่างในตัวนาง ชิงอันเจ้าอยู่กับนางคอยคุ้มกันไปจนถึงเมืองชุ่น อย่าลืมว่านางเป็นแม่ทัพ ต้องคุ้มกันนางอย่างดี”“พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง ข้าทราบแล้ว”“ข้าจะเดินทางไปคืนนี้เลย ที่เหลือฝากเจ้าด้วย”“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่….เดินทางปลอดภัยรักษาตัวด้วย”“เจ้าก็เช่นกัน…นายกองฮั่ว”กองทัพแดนใต้“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพฮั่วน้อยขอเข้าพบขอรับ”แม่ทัพลี่หวงผู้คุมแดนใต้ของแคว้นฉินรีบเดินออกมาต้อนรับแม่ทัพหนุ่มอย่างรีบร้อน เขาต้องยอมรับว่าฮั่วเทียนอี้เป็นแม่ทัพที่ดูน่าเกรงขามไม่ต่างกับแม่ทัพฮั่วตูผู้เป็นบิดา เมื่อเดินเข้ามาเขาเองยังต้องรู้สึกเกรงใจ“แม่ทัพฮั่ว”ฮั่วเทียนอี้หันมาและคำนับให้ลี่หวงอย่างนอบน้อมจนแม่ทัพลี่ถึงกับนับถือเขา ที่จร
เมืองชุ่นฮั่วชิงอันที่คอยดูแลอันเฟยเป็นอย่างดีทั้งคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้และดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งที่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ชายใหญ่แห่งหงหนานตลอดเวลา“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงมิได้ใช้หมอหลวงของหงหนานเลยพ่ะย่ะค่ะ แม่นางผู้นั้น….”“ไม่ต้องห่วงหรอกพวกนางรักกันดั่งพี่น้อง นางไม่ทำร้ายอันเฟยแน่ พวกเจ้าไปดูแลคนที่บาดเจ็บเถอะข้าจะไปดูอันเฟยหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”เขาเดินเข้าไปในกระโจมของอันเฟย ด้วยความเคยชินที่เป็นพี่น้องกัน ทหารยามจึงปล่อยให้องค์ชายเข้าไปโดยไม่ทันระวัง แต่เขากลับไม่เห็นนางอยู่ในนั้นพบเพียงสตรีอีกนางที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่“นั่นผู้ใด”นางหันไปคว้าผ้ามาพันตัวเอาไว้ได้ทันและคว้าดาบที่ชั้นวางออกมาพร้อมกับหันมาชี้ใส่องค์ชายคุณหลิงที่ยืนตัวแข็งตกใจอยู่เพราะนึกไม่ถึงว่าบุตรสาวแม่ทัพฮั่วผู้นี้จะมีวรยุทธ์สูงเช่นนี้“องค์ชาย!!”“คือว่า…ขออภัย ข้ามาหาอันเฟยไม่คิดว่าเจ้า…จะอยู่ด้วย”เขารีบหันกลับไปเพื่อให้นางแต่งกายให้เรียบร้อย ชิงอันหน้าแดงจัดเพราะความอับอายเพราะนางไม่เคยเปลือยกายจนให้ผู้อื่นเห็นเนื้อหนังเช่นนี้มาก่อน“องค์หญิงไปเปลี่ยนชุด นางอยู่ด้านในเพคะ หม่อมฉันพึ่งทำแผลให้นางเส
เขากำชับกอดนางแน่นกว่าเดิมเมื่อนึกถึงว่าหากคลาดกันในคืนที่จับฆาตกรต่อเนื่องนั้นไป อาจจะไม่ได้พบกับนางและเรื่องทุกอย่าง เขาคงจะยังจัดการไม่ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้หากไม่มีนางคอยช่วย“โชคดีงั้นหรือเพคะ แต่ว่าคืนที่เราพบกันที่หอต้าหรงในวันทำสัญญานั่น พระองค์ยังเป็นผู้ที่ถือดี เจ้ายศเจ้าอย่าง เย็นชาและไร้น้ำใจอยู่เลยนะเพคะ”“นั่นเพราะว่าข้า…หลังจากสูญเสียเสด็จแม่ไปและถูกหานจินซือและท่านพี่หักหลัง ข้าก็เลยไม่คิดจะไว้ใจผู้ใดอีกจึงได้แสดงออกเช่นนั้นแต่พอเจ้าเข้ามาอยู่ในจวนข้าก็มิได้เป็นเช่นนั้นแล้วมิใช่หรือ ข้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจนดีขึ้น”“หากตอนนั้นพระองค์ไม่มีตัวเลือก เรื่องพระสนมทั้งสองจะเป็นเช่นไรกันนะเพคะ”“เฮ้อ….ข้าอาจจะมีสนมเพิ่ม หรือไม่คนที่ถูกฆ่าตายอาจจะเป็นข้า มิใช่พี่ใหญ่ก็ได้”“เพราะเหตุใดกันเพคะ”“เพราะว่าแผนการของหานจินซือนั้นมีมากมายเกินคาดเดา นางไม่มีทางยอมเสียตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทไปโดยง่าย และอุปสรรคใหญ่ของพวกเขาก็คือข้าอย่างไรเล่า การที่นำพระสนมสองคนมามอบให้ข้า นั่นก็เท่ากับคอยหาโอกาสเพื่อจะทำร้ายข้า เพียงแต่โอกาสนั้นมาช้าเกินไป”“นึกไม่ถึงว่านางจะคิดเรื่องนี้ไว้ลึก
หลินอีถึงกับตกใจจนแทบจะดึงมือหนีแต่องค์ชายไม่ยอม เขาดึงมือนางเอาไว้พร้อมกับส่งยิ้มมาให้นาง รอยยิ้มนี้เองที่ทำให้หลินอียอมแพ้“องค์ชายเพคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”“ข้าแค่ถามเจ้าดู ได้หรือไม่”“พระองค์ทรงหมายถึง….”“เต้าหู้หวานที่เจ้าทำมานั่นอย่างไร มันอร่อยมากข้าขออีกชิ้นหนึ่งได้หรือไม่”“อ้อ!! ท่าน…เอ่อ ได้สิเพคะ ข้าจะ…รีบไปเอามาให้รอสักครู่เพคะ”“เอ่อ…หลินอีเจ้าไม่จำเป็นต้องลนลานขนาดนั้น ข้าทำให้เจ้ากลัวงั้นหรือ”“หม่อมฉันมิได้ลนลานแค่อยากจะ…”นางไม่ทันรู้ว่าเขาเดินตามมาเมื่อจะหันไปตอบกลับหันไปชนเข้ากับแก้มที่มีลักยิ้มของเขาเข้า ท่าทางของจิ่น หยางเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อถูกแก้มของนางชนเข้าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาคว้ารอบเอวนางเอาไว้ได้ก่อนที่นางจะเซล้ม“เต้าหู้นี้…ก็อร่อยนะ”เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มที่พร้อมกับขยับปากมาใกล้ ๆ นาง วันนี้เขาคิดว่าเขาเองก็รุกหนักพอสมควรทั้งตอนที่ไหว้พระในวัดและเดินจับมือนางเดินในตลาดหน้าเมือง ซื้อปิ่นปักผมและมุกประดับสวมให้นาง แต่หลินอีที่ไม่เคยถูกบุรุษใดเกี้ยวมาก่อนจึงทำตัวไม่ถูก“ขอชิมได้หรือไม่”“องค์ชายเพคะ นี่มันออกจะ….”มีหรือที่เขาจะทนไหวเมื่อได้อยู่ใกล้นา