ไม่นานเท่าใดเมื่ออันเฟยได้ยินเสียงเคาะประตูหลังจากที่สาวใช้เดินเอาอาหารออกมาจากห้องของนาง ผู้ช่วยของเถ้าแก่ก็เดินมาพบนาง
“คุณหนูหมิงขอรับ ท่านผู้คุมหอขอเชิญคุณหนูไปที่ห้องบัญชีขอรับ”
“มีอะไรงั้นหรือ หรือว่าจะมีงานใหม่ ๆ น่าสนใจรายได้ดีมาอีก”
“เรื่องนี้…เชิญคุณหนูไปพบกับท่านผู้คุมหอดีกว่าขอรับ”
“ได้ ๆ ขอบคุณท่านมากเลยเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเชิญตามข้ามาขอรับ”
ห้องผู้คุมหอ
“อะไรนะ!! นี่มันงานอะไรกันนี่”
“คือว่า….ผู้จ้างวานระบุมาว่าต้องเป็นท่านเท่านั้น ข้าก็เลยนำจดหมายนี้มาให้ และหากว่าตกลง…”
“เล่นละครเป็นพระชายา กำหนดระยะเวลาครึ่งปี เขาจะบ้าไปแล้วงั้นหรือ แล้วนี่…เงินค่าจ้าง…..สะ….สามพัน….ตำลึง”
“ทอง!!….ใช่ ท่านมองไม่ผิดหรอกขอรับ ค่าจ้างวานสามพันตำลึงทอง หากรับปากก็จ่ายทันที นี่ถือเป็นงานที่ไม่ได้ยาก แต่ค่าจ้างนั้นสูงกว่าทุกงานที่หอต้าหรงเคยรับมาเลยขอรับ แต่หากว่าท่านไม่ยอมรับ ข้าก็จะ….”
“ไม่รับก็โง่แล้ว รับสิท่านอ๋องที่มาวันก่อนนั้นน่ะหรือ ใช่เขาหรือไม่”
“คุณหนู ท่าน…จะรับหรือ”
“รับสิ ค่าจ้างมากขนาดนี้ทำให้หอต้าหรงของพี่….เอ่อ ของพวกท่านเจริญก้าวหน้าและมีขุมกำลังเสริมได้อีกมากเลยล่ะ”
ผู้คุมหอหันไปมองหน้าเถ้าแก่ของหอด้วยท่าทางที่นึกสงสัย แม่นางน้อยผู้นี้พึ่งมาถึงเมืองเฉินโจวได้เพียงสิบวันแต่นางช่วยจับคนร้าย และสามารถไขคดีง่าย ยาก และทำเงินให้หอต้าหรงได้มากจนน่าตกใจ
การมอบเพียงห้องพักและอาหารให้นางนั่นยังน้อยไปด้วยซ้ำแต่นางยืนยันว่าไม่ได้ต้องการเงินมากถึงเพียงนั้น แค่อยากทำอะไรที่สบายใจก่อนเท่านั้น
“เอ่อคุณหนูหมิง ระ…เรื่องนี้ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่ปรึกษากับที่บ้านก่อน หากว่าที่บ้านของท่านทราบว่ารับงานประหลาดเช่นนี้อาจจะมีผลเสียกับท่านในวันข้างหน้าก็ได้นะขอรับ”
“ก็มิได้จัดงานแต่งเอิกเกริกสักหน่อยมิใช่หรือ ก็แค่แกล้งแต่งงานปลอม ๆ เอง แม้ว่าข้าจะได้เป็นพระชายาอ๋องแต่ท่านว่าพระชายาจะได้ออกไปไหนมากมายอย่างมากก็แค่เดินเล่นวนอยู่ในตำหนักเท่านั้นมิใช่หรือ อีกอย่างก็มารับงานกับพวกท่านได้เหมือนเดิมเงื่อนไขนั่นก็บอกอยู่นี่”
“ก็ใช่ขอรับ”
“อีกอย่างเป็นถึงพระชายาอ๋องเชียวนะ ท่านว่ามีพ่อแม่บ้านไหนไม่ชอบบ้างเล่าท่านว่าจริงหรือไม่”
“หากว่าคุณหนูพูดเช่นนั้น ก็เป็นเช่นนั้นขอรับ เช่นนั้นข้าน้อยจะรีบส่งข่าวไปที่จวนอ๋องเองขอรับ”
“ได้สิ อ้อ ข้าอยากจะพบท่านอ๋องผู้นี้เป็นการส่วนตัวก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ท่านจะพบท่านอ๋องงั้นหรือ”
“อืม พบที่นี่แหละคืนนี้เลยก็แล้วกัน”
“เอ่อ ขอรับข้าจะรีบจัดการให้”
อันเฟยเดินกลับไปที่ห้องของตนเองแล้ว นางจำใบหน้าของท่านอ๋องผู้นั้นไม่ค่อยได้หรอกเพียงแต่สายตาของเขาในคืนนั้นแม้จะมืดมิดแทบจะมองไม่เห็นใบหน้าเต็ม ๆ ของเขาแต่ก็ดูน่าสนใจหากว่าคุยกันได้เขาอาจจะพอช่วยนางได้
“ก็ยังดีกว่าไปแต่งงานกับผู้ใดก็ไม่รู้ก็แล้วกัน ท่านพ่อเสียใจด้วยนะ ข้าไม่มีทางแต่งงานกับคนที่ข้าไม่ได้เลือกหรอก”
จวนท่านอ๋อง
“ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไร นางตกลงแล้วงั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก เช่นนั้น…”
“แต่ว่า….”
“แต่อะไร”
“นางมีเงื่อนไขเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วท่านอ๋องขมวดชนกันเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่านางคงมิได้จะยอมง่าย ๆ อยู่แล้วก็ตามที
“ว่ามา”
“นางขอพบพระองค์ ที่หอต้าหรงคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“เท่านี้หรือ”
“เอ่อ…นางบอกมาเพียงเท่านี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ได้สิไม่มีปัญหา เจ้ารีบไปเตรียมตัวเราจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หอต้าหรง
“ท่าน…เอ่อ นายท่านเชิญขอรับ”
“อืม”
เถ้าแก่เป็นผู้นำทางท่านอ๋องเดินขึ้นมาชั้นสอง เป็นห้องส่วนตัวที่อันเฟยขอให้เขาจัดเอาไว้พร้อมกับอาหารบนโต๊ะเพื่อต้อนรับแขกสำคัญ
“นางอยู่ที่ใดล่ะ”
“รอสักครู่นะขอรับ”
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
นางไม่ได้เข้ามาทางประตู แต่หากอยู่รอเขาในห้องนั้นก่อนหน้านั้นแล้วพร้อมกับดีดพิณไปด้วย ท่านอ๋องสั่งให้กงหลี่ออกจากห้องไปในทันที การบรรเลงพิณของนางไพเราะเหนือความคาดหมาย
ไม่ใช่เพียงแค่ไพเราะแต่กลับทำให้จิตของเขาสงบลงอย่างน่าแปลก เขานั่งจิบชาไปพร้อมกับฟังเสียงพิณของนางไปด้วยเมื่อบรรเลงจบเจ้าของบทเพลงจึงเดินออกมาจากหลังม่าน
“หม่อมฉันหมิงอันเฟย ถวายบังคมท่านอ๋อง”
ท่านอ๋องมองนางราวกับพึ่งเคยเห็นหน้านางชัด ๆ แม้ว่าคืนนั้นจะคิดว่านางหน้าตาดีอยู่ไม่น้อยแต่เขาก็เห็นไม่ชัดเท่าวันนี้ หน้าตาน่ารัก ตาโตสดใสที่หันมายิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรทำเอาหัวใจอ๋องหนุ่มสั่นไปไม่น้อย
“เจ้า….ไม่ใช่คนฉินโจว”
“ทรงพระปรีชายิ่งแล้ว มองปราดเดียวก็ทรงทราบทันทีว่าหม่อมฉันมิใช่คนที่นี่”
“คนที่นี่ไม่เจาะหูหลายรูเช่นเจ้า ไม่ดีดพิณเก่งเช่นนี้และอีกอย่างแม้ผิวพรรณจะดีแต่ก็…ขออภัย ไม่ขาวเนียนและดูสะดุดตาเช่นเจ้า”
“นั่นหม่อมฉันจะถือเป็นคำชมนะเพคะ”
“เจ้าอยากพบข้า”
“เพคะ หม่อมฉันมีบางเรื่องต้องตรัสถาม ตกลง และทำความเข้าใจก่อนจะลงมือทำสัญญาร่วมกับพระองค์”
“มิใช่ว่าเจ้า…ตกลงแล้วงั้นหรือ”
“หม่อมฉันตกลงแล้วก็จริงแต่พระองค์ก็ทรงตรัสเองว่าหม่อมฉันสามารถเพิ่มเงื่อนไขได้นี่เพคะ”
“ก็ใช่ ไม่ผิดเช่นนั้นก็พูดมาเถอะ”
“ผู้คุมหอบอกหม่อมฉันว่าพระองค์มีพระสนมแล้วถึงสองคน”
“ใช่ คนหนึ่งเป็นบุตรแม่ทัพแดนใต้ชื่อลี่ฟาง อีกคนเป็นบุตรขุนนางกรมคลัง ชื่อว่าซูหลิง”
“พวกนางกับพระองค์ไม่มีบุตรด้วยกัน”
“หึ…ไม่…ไม่มี ไม่มีทางมีได้”
“แต่พระองค์จะรับหม่อมฉันไปเป็นพระชายาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปได้งั้นหรือเพคะ”
“หากเจ้ากังวลเรื่องนี้ ข้าได้เตรียมการมาแล้วไม่ต้องห่วงไปหรอก”
“หม่อมฉัน…ต้องเข้าพิธีด้วยหรือไม่”
“หากเจ้าถูกแต่งตั้งเป็นพระชายาก็ต้องมีพิธีแต่งงาน”
“แต่ระยะเวลาสัญญาคือหกเดือนหลังจากนี้ หม่อมฉันอยากทราบว่าเหตุใดต้องหกเดือน”
“นั่นเพราะข้าทูลขอเพื่อจะย้ายไปที่ชายแดนตะวันออก ฝ่าบาทให้กำหนดเวลาเอาไว้หกเดือน เมื่อย้ายไปแล้วเจ้าก็จะเป็นอิสระ”
“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง แล้วเหตุใดพระองค์รับเพียงพระสนมแต่ไม่มีพระชายาเพคะ”
“เจ้ามิได้สืบเรื่องนี้มาก่อนงั้นหรือ เรื่องแบบนี้สอบถามผู้คุมหอก็ทราบแล้วนี่ ไยต้องมาถามข้าอีก”
“นั่นเพราะ…ต้องการหาเรื่องคุยกับคู่สัญญาก่อนที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อไปโดยไม่ถูกสงสัยเพคะ”
ท่านอ๋องเผลอมองไปยังริมฝีปากสีสดที่มิได้แต่งแต้มชาดสีแดงจัดเหมือนครั้งก่อนลงไป เขาเผลอกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเพราะนางยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาอย่างมิเกรงกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย
“….ก่อนหน้านี้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นทำให้ข้าไม่อยากรับพระชายาหากว่ามิได้รักใคร่ชอบพอกันจริง ๆ และสนมที่อยู่ในจวนนั่นก็ล้วนแต่ได้รับพระราชทานมาจากฝ่าบาท ข้ากับพวกนาง…มิได้รัก…”
“หม่อมฉันพอจะเข้าใจแล้ว เช่นนี้พระองค์จึงอยากจะหาพระชายาปลอม ๆ คนหนึ่งเพื่อจะได้ไม่ต้องให้ฝ่าบาทประทานผู้ที่พระองค์ไม่ได้รักมาเพื่อจะรอคนที่พระองค์รักมารับตำแหน่งนี้สินะเพคะ”
“….จะพูดเช่นนั้นก็ไม่ผิด”
“ท่านเป็นใครกันแน่นะ แล้วเหตุใดต้องบอกว่าจะได้พบกันอีก”จวนสกุลฮั่วหน้ากากลายดอกเหมยถูกวางเอาไว้ในกล่องอย่างดีก่อนที่ฮั่วหลินอีจะปิดฝาลงและเดินมานอนนึกถึงเรื่องราวในค่ำคืนนี้ช่วงที่นางเต้นรำดอกไม้ ท่วงท่าในการรำแม้ว่าจะเป็นของฉินโจว แต่บุรุษหนุ่มต่างแคว้นผู้นั้นกลับเต้นรำได้อย่างคล่องแคล่วจนน่าตกใจ“ข้าต้องบ้าไปแล้วเป็นแน่ พบกันเพียงครั้งเดียวเองนะ”วังหลวงฮั่วหลินอีรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่ที่ใดสักแห่งตั้งแต่พวกนางลงมาจากรถม้า นางสอดสายตาไปทั่วจนเงยขึ้นไปพบคนผู้หนึ่งที่รู้สึกคุ้นตาแต่ก็รีบหันหน้าหนีในทันที“เหตุใดคนผู้นั้น…”“หืม น้องสามเจ้าเป็นอะไรไป”“เปล่าเจ้าค่ะพี่รอง รีบเข้าไปด้านในกันเถอะเจ้าค่ะ”“ช่วงนี้เจ้าพูดน้อยลงนะรู้ตัวหรือไม่”“งั้นหรือเจ้าคะ ข้าก็แค่….”“เจ้ากำลังโกรธอะไรพวกข้าอยู่หรือเปล่าหลินอี”ฮั่วชิงอันมองน้องสาวด้วยความรู้สึกผิดเพราะตั้งแต่พวกนางกลับมาจากเมืองชุ่น พี่ใหญ่ก็กลับบ้านน้อยลงเพราะมัวแต่ไปเฝ้าลี่ฟางกับแม่ทัพลี่ที่หอต้าหรง ส่วนนางเองก็มีองค์ชายคุณหลิงที่มาหาที่จวนหรือไม่ก็จะไปที่จวนท่านอ๋อง แม้จะพานางไปด้วยแต่ก็ไม่ได้มีเวลาสนใจนางมากนักเกรงว่านางจะน้อย
นางโอบรอบคอของเขาเอาไว้แน่นเมื่อเขารับนางที่กำลังตกจากต้นไม้ที่นางพยายามปีนไปเก็บผลของมันแล้วพลัดตก เขาพานางมาที่ลำธารใสเพื่อล้างแผลที่แขน มือหนาค่อย ๆ ดึงแขนเสื้อนางขึ้นเพื่อล้างแผลและดึงผ้าที่ฉีกจากเสื้อของเขามาพันให้นาง“เอาพันไว้ก่อน กลับไปที่ค่ายแล้วค่อยทายาและเปลี่ยนใหม่”“ขอบคุณท่านแม่ทัพ”ลี่ฟางหันไปขอบคุณ ปากนางจึงหันไปชนแก้มของเขา แต่นางไม่อาจขยับได้เพราะนางกำลังตกใจ ส่วนฮั่วเทียนอี้นั้นรู้ใจตัวเองก่อนนางนานแล้ว เขาดึงนางออกพร้อมกับมองหน้านางที่แดงระเรื่ออีกครั้ง“อยากขอบคุณข้าจริง ๆ งั้นหรือ ข้าช่วยเจ้าครั้งนี้เป็นครั้งที่สามสิบแปดแล้วตั้งแต่ออกเดินทางมา”“ท่านนั่งนับด้วยหรือเจ้าคะ นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ข้า…ขอบคุณจริง ๆ เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นข้าขอ….”เขาไม่พูดต่อแต่ช้อนหน้าขึ้นมาจูบนางในทันทีจนนางเริ่มเงยหน้ารับจูบเขา ร่างบางถูกรวบขึ้นมาและเดินออกไปจากลำธารใสในป่าที่ไร้ผู้คน ลิ้นเกี่ยวตวัดจนทั้งคู่ไม่อยากให้ผู้ใดได้พบเห็น เทียนอี้ค่อย ๆ วางนางลงที่โคนต้นไม้ที่มีพื้นหญ้านิ่ม ๆ รองรับอยู่“ลี่ฟาง….ข้าคิดว่าข้า…”“ฮั่วเทียนอี้ ท่านเอาแต่มองข้า เดินตามข้าและช่วยเหลือข้า แม้หลับตาก็รู้
“คำสั่งพิเศษงั้นหรือ นี่มันแผนอันใดกัน เหตุใดข้าต้องไปแดนใต้เพื่อขอร้องแม่ทัพลี่ด้วย อันเฟยต้องการจะทำอะไรกันแน่น้องรอง”“ข้าเองก็หารู้แผนการของนางทั้งหมดไม่เจ้าค่ะ แต่ว่าในตอนที่ไปที่หอต้าหรงและรับตรากิเลนไฟมา พวกเราต้องฟังคำสั่งนางในฐานะแม่ทัพและข้าเชื่อใจอันเฟยว่านางจะคิดไม่ผิด”“เช่นนั้นข้าก็จะไม่ถาม ในเมื่อท่านอ๋องไว้วางพระทัยให้นางถือป้ายควบคุมกองทัพ นั่นแสดงว่าท่านอ๋องมองเห็นบางอย่างในตัวนาง ชิงอันเจ้าอยู่กับนางคอยคุ้มกันไปจนถึงเมืองชุ่น อย่าลืมว่านางเป็นแม่ทัพ ต้องคุ้มกันนางอย่างดี”“พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วง ข้าทราบแล้ว”“ข้าจะเดินทางไปคืนนี้เลย ที่เหลือฝากเจ้าด้วย”“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่….เดินทางปลอดภัยรักษาตัวด้วย”“เจ้าก็เช่นกัน…นายกองฮั่ว”กองทัพแดนใต้“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพฮั่วน้อยขอเข้าพบขอรับ”แม่ทัพลี่หวงผู้คุมแดนใต้ของแคว้นฉินรีบเดินออกมาต้อนรับแม่ทัพหนุ่มอย่างรีบร้อน เขาต้องยอมรับว่าฮั่วเทียนอี้เป็นแม่ทัพที่ดูน่าเกรงขามไม่ต่างกับแม่ทัพฮั่วตูผู้เป็นบิดา เมื่อเดินเข้ามาเขาเองยังต้องรู้สึกเกรงใจ“แม่ทัพฮั่ว”ฮั่วเทียนอี้หันมาและคำนับให้ลี่หวงอย่างนอบน้อมจนแม่ทัพลี่ถึงกับนับถือเขา ที่จร
เมืองชุ่นฮั่วชิงอันที่คอยดูแลอันเฟยเป็นอย่างดีทั้งคอยเปลี่ยนผ้าพันแผลให้และดูแลเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งที่อยู่ในสายพระเนตรขององค์ชายใหญ่แห่งหงหนานตลอดเวลา“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงมิได้ใช้หมอหลวงของหงหนานเลยพ่ะย่ะค่ะ แม่นางผู้นั้น….”“ไม่ต้องห่วงหรอกพวกนางรักกันดั่งพี่น้อง นางไม่ทำร้ายอันเฟยแน่ พวกเจ้าไปดูแลคนที่บาดเจ็บเถอะข้าจะไปดูอันเฟยหน่อย”“พ่ะย่ะค่ะ”เขาเดินเข้าไปในกระโจมของอันเฟย ด้วยความเคยชินที่เป็นพี่น้องกัน ทหารยามจึงปล่อยให้องค์ชายเข้าไปโดยไม่ทันระวัง แต่เขากลับไม่เห็นนางอยู่ในนั้นพบเพียงสตรีอีกนางที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่“นั่นผู้ใด”นางหันไปคว้าผ้ามาพันตัวเอาไว้ได้ทันและคว้าดาบที่ชั้นวางออกมาพร้อมกับหันมาชี้ใส่องค์ชายคุณหลิงที่ยืนตัวแข็งตกใจอยู่เพราะนึกไม่ถึงว่าบุตรสาวแม่ทัพฮั่วผู้นี้จะมีวรยุทธ์สูงเช่นนี้“องค์ชาย!!”“คือว่า…ขออภัย ข้ามาหาอันเฟยไม่คิดว่าเจ้า…จะอยู่ด้วย”เขารีบหันกลับไปเพื่อให้นางแต่งกายให้เรียบร้อย ชิงอันหน้าแดงจัดเพราะความอับอายเพราะนางไม่เคยเปลือยกายจนให้ผู้อื่นเห็นเนื้อหนังเช่นนี้มาก่อน“องค์หญิงไปเปลี่ยนชุด นางอยู่ด้านในเพคะ หม่อมฉันพึ่งทำแผลให้นางเส
เขากำชับกอดนางแน่นกว่าเดิมเมื่อนึกถึงว่าหากคลาดกันในคืนที่จับฆาตกรต่อเนื่องนั้นไป อาจจะไม่ได้พบกับนางและเรื่องทุกอย่าง เขาคงจะยังจัดการไม่ได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้หากไม่มีนางคอยช่วย“โชคดีงั้นหรือเพคะ แต่ว่าคืนที่เราพบกันที่หอต้าหรงในวันทำสัญญานั่น พระองค์ยังเป็นผู้ที่ถือดี เจ้ายศเจ้าอย่าง เย็นชาและไร้น้ำใจอยู่เลยนะเพคะ”“นั่นเพราะว่าข้า…หลังจากสูญเสียเสด็จแม่ไปและถูกหานจินซือและท่านพี่หักหลัง ข้าก็เลยไม่คิดจะไว้ใจผู้ใดอีกจึงได้แสดงออกเช่นนั้นแต่พอเจ้าเข้ามาอยู่ในจวนข้าก็มิได้เป็นเช่นนั้นแล้วมิใช่หรือ ข้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจนดีขึ้น”“หากตอนนั้นพระองค์ไม่มีตัวเลือก เรื่องพระสนมทั้งสองจะเป็นเช่นไรกันนะเพคะ”“เฮ้อ….ข้าอาจจะมีสนมเพิ่ม หรือไม่คนที่ถูกฆ่าตายอาจจะเป็นข้า มิใช่พี่ใหญ่ก็ได้”“เพราะเหตุใดกันเพคะ”“เพราะว่าแผนการของหานจินซือนั้นมีมากมายเกินคาดเดา นางไม่มีทางยอมเสียตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทไปโดยง่าย และอุปสรรคใหญ่ของพวกเขาก็คือข้าอย่างไรเล่า การที่นำพระสนมสองคนมามอบให้ข้า นั่นก็เท่ากับคอยหาโอกาสเพื่อจะทำร้ายข้า เพียงแต่โอกาสนั้นมาช้าเกินไป”“นึกไม่ถึงว่านางจะคิดเรื่องนี้ไว้ลึก
หลินอีถึงกับตกใจจนแทบจะดึงมือหนีแต่องค์ชายไม่ยอม เขาดึงมือนางเอาไว้พร้อมกับส่งยิ้มมาให้นาง รอยยิ้มนี้เองที่ทำให้หลินอียอมแพ้“องค์ชายเพคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”“ข้าแค่ถามเจ้าดู ได้หรือไม่”“พระองค์ทรงหมายถึง….”“เต้าหู้หวานที่เจ้าทำมานั่นอย่างไร มันอร่อยมากข้าขออีกชิ้นหนึ่งได้หรือไม่”“อ้อ!! ท่าน…เอ่อ ได้สิเพคะ ข้าจะ…รีบไปเอามาให้รอสักครู่เพคะ”“เอ่อ…หลินอีเจ้าไม่จำเป็นต้องลนลานขนาดนั้น ข้าทำให้เจ้ากลัวงั้นหรือ”“หม่อมฉันมิได้ลนลานแค่อยากจะ…”นางไม่ทันรู้ว่าเขาเดินตามมาเมื่อจะหันไปตอบกลับหันไปชนเข้ากับแก้มที่มีลักยิ้มของเขาเข้า ท่าทางของจิ่น หยางเองก็ตกใจไม่น้อยเมื่อถูกแก้มของนางชนเข้าอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาคว้ารอบเอวนางเอาไว้ได้ก่อนที่นางจะเซล้ม“เต้าหู้นี้…ก็อร่อยนะ”เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มที่พร้อมกับขยับปากมาใกล้ ๆ นาง วันนี้เขาคิดว่าเขาเองก็รุกหนักพอสมควรทั้งตอนที่ไหว้พระในวัดและเดินจับมือนางเดินในตลาดหน้าเมือง ซื้อปิ่นปักผมและมุกประดับสวมให้นาง แต่หลินอีที่ไม่เคยถูกบุรุษใดเกี้ยวมาก่อนจึงทำตัวไม่ถูก“ขอชิมได้หรือไม่”“องค์ชายเพคะ นี่มันออกจะ….”มีหรือที่เขาจะทนไหวเมื่อได้อยู่ใกล้นา