"ข้าพยายามให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่เห็นค่าใดของมัน เจ้าอยากลองดีกับข้าใช่หรือไม่?"
หานหยางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แม้ใจจะสั่นด้วยความกลัวแต่เรื่องที่บิดาอยู่ฝั่งกบฏนั้นนางไม่เคยรับรู้มาก่อน ส่วนที่ว่าภาพวาดหุบเขาไป๋หูนั้นคือเขาลูกไหน นางก็จำได้เพียงลางๆ เพราะตอนนั้นนางยังเป็นเด็ก และอีกอย่างหุบเขาในหนานซานมีตั้งมากมายหลายแห่ง
“ท่านอ๋อง ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่รู้ ข้าจำไม่ได้จริงๆ ว่าเขาลูกนั้นอยู่ที่ไหน" หานหยางยังคงยืนกรานปฏิเสธ แต่คำพูดของนางราวกับการราดน้ำมันลงในกองไฟ
หลี่เจ๋อกระแทกโต๊ะจนเสียงดังลั่น สายตาอันดุดันของเขายิ่งกดดันนางจนแทบจะทำให้นางหายใจไม่ออก
"ข้าเกลียดนักคนที่ชอบปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผล เจ้ารู้หรือไม่ว่าตั้งแต่เล็กจนโตนั้นข้าไม่เคยถูกผู้ใดปฏิเสธ? และเจ้าเพิ่งทำสิ่งที่ข้าไม่อาจยอมรับได้ลงไป"
ท้ายที่สุดน้ำตาหยดสุดท้ายของหานหยางก็หลั่งออกมาพร้อมกับสติที่ดับวูบไป...
แต่ก่อนที่ร่างของหานหยางจะร่วงลงบนพื้นเย็นเฉียบกลับมีอ้อมแขนอบอุ่นประคองนางไว้ ดวงตาสีน้ำตาลทองพินิจไปยังไปหน้างามที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ดูท่าว่าหญิงสาวในอ้อมกอดของเขาคงผ่านเรื่องร้ายแรงมามากภายในวันเดียว
อ๋องหนุ่มอุ้มคนในอ้อมกอดด้วยท่าอุ้มเจ้าสาว พาไปยังห้องนอนที่เตรียมไว้ให้และวางนางลงบนเตียงใหญ่ จัดแจงห่มผ้าด้วยกลัวว่าร่างบางของนางจะเหน็บหนาว
เขาจ้องมองหานหยางอยู่ชั่วขณะ ราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป โทสะที่คุกรุ่นเกือบจะทำให้เขาเผยด้านมืดที่เก็บซ่อนอยู่ในส่วนลึกของตัวเอง แต่ในที่สุด เขาก็สูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติกลับคืนมา
"หยางเอ๋อร์ ข้าไม่อยากเสียเวลามากกว่านี้อีกแล้ว"
เขากล่าวเสียงต่ำ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ประตูถูกปิดดังลั่นตามแรงอารมณ์ของเขา ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศเงียบงันที่น่าหวาดหวั่น
เฟิงอี้ที่รออยู่ด้านนอกจ้องมองนายของตน บัดนี้คิ้วขององครักษ์หนุ่มกับขมวดติดกันจนแทบจะมัดปมได้อยู่รอมร่อ
ท่านอ๋อง… เหตุใดนางจึงสำคัญต่อท่านถึงเพียงนี้กัน?
จากนั้นไม่นานหลี่เจ๋อก็ได้ถ่ายทอดคำสั่งให้เฟิงอี้ทำการเก็บกวาดหลักฐานการมีอยู่ของหานหยางให้หมด แถมยังให้เฟิงอี้ติดต่อกับเจ้าเมืองหนานซานเพื่อทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญบางอย่าง
นางอาจจำข้าไม่ได้… แต่นางเคยเป็นแสงสว่างเดียวในชีวิตของข้า หากแม้ต้องแลกทุกสิ่ง… ข้าก็จะไม่มีวันยอมปล่อยให้นางถูกเหล่ากบฏทำอันตรายเด็ดขาด
“ข้า...อยู่ที่ไหนกัน?” หานหยางตกใจเป็นอย่างมากกับภาพแรกที่ได้พบเห็นเมื่อนางได้สติกลับคืนมา ห้องนอนใหญ่ที่ประดับไปด้วยเครื่องเรือนไม้แกะสลักชั้นดีผนวกกับม่านผ้าไหมทอมือสีม่วงอ่อนสลับเข้มซึ่งเป็นสีโปรดของนาง กลางห้องมีโต๊ะกลมใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งมีแสงไฟจากตะเกียงส่องสะท้อน
แม้ว่าลมหนาวจะโชยเข้ามาทางบานหน้าต่างบานหนึ่ง ทำให้กลิ่นกำยานไม้จันทน์หอมลอยอบอวล ทว่าสำหรับหานหยางในตอนนี้แล้ว กลิ่นหอมเย็นของมันกลับไม่สามารถปลอบโยนนางจากจิตใจที่ตึงเครียดได้เลย
หานหยางก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง กระแสลมเย็นเยียบมิอาจหยุดยั้งความพยายามของหานหยางได้ ร่างบอบบางของนางสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหนาวหรือเพราะความหวาดกลัวที่แทรกซึมเข้าไปถึงหัวใจ แววตาสีนิลคู่งามกำลังสอดส่องเพื่อหาทางหนี มือเรียวบางจับขอบหน้าต่างเตรียมพร้อมที่จะกระโดดออกไป แต่ทันใดนั้น...เสียงฝีเท้าหนักเสียงหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ประตูเรื่อยๆ
จากนั้นเสียงดาลประตูถูกเปิดออกอย่างรุนแรง กลิ่นสุราชั้นดีถูกสายลมหนาวพัดกรูเข้ามาในห้อง พร้อมกับเอกบุรุษรูปงามคนหนึ่งในอาภรณ์ชั้นดีสีน้ำเงินเข้ม ดวงหน้าของเขางดงามมากแต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลทองนั้นคมกริบราวกับเหยี่ยวร้ายและมันทำให้หานหยางสั่นสะท้านไปทั้งกาย
“เจ้าคิดจะหนีข้าหรือ หานหยาง” น้ำเสียงของเขาช่างเยียบเย็นและมันก็ทำให้หานหยางนั้นกดดันได้อย่างดี
“ท่านอ๋อง ข้า...” หญิงสาวพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อขออิสรภาพของตัวเอง แม้น้ำเสียงจะสั่นไหวและเบาเหมือนกับเสียงกระซิบ
“ปล่อยข้าไปเถอะนะเจ้าคะ ข้าไม่มีส่วนรู้เห็น ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
หลี่เจ๋อประคองสติที่ยังหลงเหลืออยู่ ก้าวเท้าเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ปรากฎขึ้นที่มุมปาก แต่สำหรับหานหยางแล้ว มันกลับเป็นรอยยิ้มที่เย็นชาและดูน่าหวั่นเกรงยิ่งนัก นางอ่านใจคนผู้นี้ไม่ออก...
หานหยางนั่งอยู่ใต้ต้นพลัมที่ผลิดอกงดงาม ดอกพลัมสีขาวร่วงโปรยลงมาบางเบาตามสายลม มือข้างหนึ่งของนางจับพู่กันตวัดลายเส้นอย่างอ่อนช้อย บนใบหน้าหวานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขสายตาจดจ่ออยู่กับภาพวาดตรงหน้า ขณะที่มืออีกข้างกลังลูบไล้เบาๆ บนหน้าท้องที่เริ่มขยายขึ้นเล็กน้อยสัมผัสอ่อนโยนนั้นราวกับกำลังส่งผ่านความรักและความอ่อนโยนไปยังชีวิตน้อยๆ ที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์ของนางดวงตาของหานหยางเปล่งประกายด้วยความอบอุ่นและความหวัง ท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาติ เสียงนกร้องคลอไปกับสายลม พื้นที่แห่งนี้เหมือนเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อนางและชีวิตใหม่ที่กำลังจะมาแต่แววตานั้นกลับแศร้าหมองลงเมื่อนึกถึงคนๆ หนึ่งที่อยู่ไกลกัน ป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่มา ได้ข่าวว่าการปราบปรามพวกกบฏส่วนที่เหลือเป็นไปอย่างยากลำบากหานหยางเคยบอกกับตัวเอง และยังย้ำมาตลอดว่าจะสนับสนุนเขาอยู่เงียบๆ ด้วยตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมานั้น ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่นางก้รับรู้ได้ว่าหลี่เจ๋อนั้นต้องแบกภาระมากมายเพียงใด“ข้าอาจไม่ใช่คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา แต่หากข้ารักเขาจริง ข้าก็ควรสนับสนุนเขาในสิ่งที่เขาพึงกระทำ”ขณะที่ตกอยู่ใน
"กลับไปแคว้นฉินหรือเพคะ?" หานหยางถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ"ใช่แล้ว" องค์หญิงหลิวอวี้เอื้อมมือไปจับมือนางไว้แน่น "เจ้าทำดีที่สุดแล้ว แต่หากเขายังไม่ทำอะไรเพื่อรักษาเจ้าไว้ เราก็ควรให้เขาได้คิด และให้เจ้ากลับไปในที่ที่เจ้าจะไม่ต้องทนกับความหวั่นไหวเช่นนี้"หานหยางนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะออกเดินทางกลับเป่ยโจวพร้อมกับมารดาของนางหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจปราบกบฏเพื่อไม่ให้ภัยใดๆ มาถึงหานหยางในอนาคตนั้น หลี่เจ๋อได้รับข่าวการจากไปของหานหยาง หญิงสาวที่เขาแอบรักมาโดยตลอด ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เสมือนฝ้าผ่าลงที่กลางใจภายในจวนที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับเงียบสงัดราวกับเวลาหยุดนิ่ง หลี่เจ๋อก้าวเท้าเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ แต่ทุกมุมของจวนกลับไม่มีวี่แววของคนที่เขาโหยหาเขายืนนิ่งอยู่กลางห้อง สองมือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาชัดเจน ดวงตาที่เคยแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นกลับคลอด้วยหยาดน้ำตาที่เขาพยายามกลั้นไว้ "เจ้าจากข้าไปแล้วจริงๆ หรือ หยางเอ๋อร์..." เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับลมที่พัดผ่าน“ข้าผิดเองที่เอาแต่ทำงานจนไม่ใส่ใจความรู้สึกของเขา แต่เจ้าไม่ถามเห
หลี่เจ๋อยืนประจันหน้ากับฉู่หรงที่ถูกล้อมด้วยกำลังทหารของราชสำนัก ดวงตาสีน้ำตาลทองของเขาเยือกเย็นราวกับเหล็กกล้าที่พร้อมจะฟาดฟันศัตรูตรงหน้าของเขา“ฉู่หรง ตอนนี้เจ้าแพ้แล้ว เพราะบัดนี้ฮ่องเต้และเหล่าแม่ทัพหลวงได้จับคนของเจ้าที่แทรกซึมในเหมืองหลวงได้หมดสิ้น ทุกแผนการของเจ้าถูกข้าเปิดโปงหมดแล้ว”ฉู่หรงกัดฟันแน่น สายตาดุดันของเขาจับจ้องไปยังหลี่เจ๋อ พลางหัวเราะในลำคออย่างขมขื่น“เจ้ารู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...ว่าข้าแทรกซึมกำลังไว้ทั่วเมืองหลวง แถมยังรู้แม้กระทั่งวันเวลาที่พวกข้าจะลงมือ?”หลี่เจ๋อมองเขาอย่างสงบนิ่งก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะบอกให้ฉู่หรงได้ตระหนักรู้ว่าความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดของเขาและกลุ่มกบฏเป็นเพียงการดิ้นรนที่ไร้ความหมาย“ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว และมั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้เห็นตราประทับขุนนางอันนั้นที่เป็นของเจ้าอยู่ในหมู่บ้านชิงหรง คิดว่าตระกูลฉู่ของเจ้านั้นเฉลียวฉลาดอยู่ฝ่ายเดียวงั้นหรือ?”คำพูดของหลี่เจ๋อราวกับเข็มแหลมที่ทิ่มแทงเข้าไปในใจของฉู่หรง ความคับแค้นใจที่เก็บกดไว้พลันปะทุขึ้นท่านพ่อบอกว่าตัวเขานั้นเฉลียวฉลาดกว่าฮ่องเต้และอ๋องทุกๆ คนในราชวงศ์ เขาตากห
ดวงหน้าที่งดงามของหานหยางนั้น หากสังเกตุตรงบริเวณเนินผมอย่างละเอียดนั้นจะพบได้ว่ามีแผลเป็นเล็กๆ อยู่ สำหรับองค์หญิงหลิวอวี้แล้วนั้นรอยแผลเป็นเล็กกลับชัดเจนในความทรงจำของพระนาง เพราะมันเชื่อมโยงกับอดีตที่นางลืมไม่ลงแผลเป็นนี้ทำให้องค์หญิงรู้สึกถึงบางสิ่งที่ยากจะอธิบายตอนนั้นในความชุลมุนที่เกิดขึ้นในขณะที่องค์หญิงหลิวอวี้นั้นและเด็กสาวในวัยเพียงไม่กี่ขวบปีได้ตกอยู่ในวงล้อมของกลุ่มศัตรู ขณะที่พวกนางกำลังจะเดินทางกลับไปยังแคว้นฉินองค์หญิงหลิวอวี้พยายามยื้อลูกสาวสุดความสามารถไม่ให้คนมาลักตัวไป แต่ก็ไม่สำเร็จ แถมการยื้อแย่งเด็กน้อยยังทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ฝากร่องรอยแผลเป็นไว้ที่ดวงหน้าของลูกอันเป็นที่รักอีกต่างหาก“แม่นาง...” หลิวอวี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา นางก้าวเข้ามาใกล้หานหยางท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนในที่นั้น“ข้าขอดูหลังใบหูของเจ้าด้วยได้หรือไม่?”หานหยางมององค์หญิงด้วยสายตาลังเล ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ นางหันศีรษะให้หลิวอวี้ดูเมื่อหลิวอวี้มองเห็นปานรูปหัวใจที่ซ่อนอยู่หลังใบหูของหานหยาง น้ำตาของนางก็ไหลรินลงอาบแก้มทันที“เป็นเจ้า...เจ้าคือลูกของข้า!” หลิวอวี้เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
กลุ่มกบฏเองไม่ได้นิ่งนอนใจเมื่อได้รับข่าวจากเจ้าเมืองหนานซานที่แอบลอบติดต่อมาว่าได้พบตัวหานหยาง ซึ่งเป็นคนที่วาดภาพฐานลับของกบฏแล้ว สิ่งนี้สร้างความปั่นป่วนและความตื่นตัวในหมู่กบฏทันที เพราะหานหยางถือเป็นกุญแจสำคัญที่อาจเปิดโปงที่ซ่อนของพวกมันทั้งหมดได้โดยแท้จริงแล้วนั้น เจ้าเมืองหนานซานหวังผลประโยชน์ส่วนตัวมาโดยตลอด จึงทำตัวเป็นนกสองหัวและเป็นสายลับให้กับทั้งสองฝ่าย แถมยังวางแผนส่งบุตรสาวของตนเข้าไปในจวนเป่ยอ๋องในฐานะสายสืบ ทำให้บุตรสาวของเจ้าเมืองสามารถล่วงรู้ได้ว่าหานหยางนั้นถูกหลี่เจ๋อซ่อนตัวไว้อย่างปลอดภัยในจวนของเขาข่าวนี้ทำให้กลุ่มกบฏเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พวกเขาวางแผนที่จะตามสังหารหานหยางเพื่อให้มั่นใจว่านางจะไม่กลายเป็นภัยต่อแผนการใหญ่ที่ใกล้จะมาถึงแต่พวกมันหารู้ไม่ว่าหลี่เจ๋อเองก็เป็นคนระวังตัวและเจ้าแผนการมาก เขาได้พาหานหยางไปซ่อนในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งเรียบร้อย แถมยังรู้ถึงที่ซ่อนของพวกมันแล้วด้วยแผนที่ที่วาดขึ้นมาใหม่จากความทรงจำเก่าของหานหยางได้นำพาพวกของหลี่เจ๋อมาที่หมู่บ้านลับแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าชิงหรง ซึ่งมันเป็นอาณาเขตตีนเขาของหุบเขาลูกนั้นในกระท่อมหลังหนึ่งขอ
“ในวัยเด็ก ท่านพ่อมักจะทุ่มเทเวลาให้กับงานจนไม่สนใจข้ากับท่านแม่ ข้าจึงต้องคอยแอบหนีเพื่อไปติดตามท่านพ่อ ข้าจำได้ว่าท่านพ่อมักเดินทางไปยังภูเขาและหุบเขามากมาย เพื่อดูแลธุรกิจหรือเจรจาค้าขาย ข้าเองก็มักจะคอยจดจำภาพของหุบเขาและก็จะแอบนั่งวาดภาพเหล่านั้น แต่ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็นหลักฐานมัดตัวพวกกบฏไปได้ ข้าทำลายครอบครัวของข้าด้วยน้ำมือของข้าเอง เป็นข้าเองที่ผิดทั้งหมด”“ข้าคิดว่าหลิวจินหลันนั้นคงไม่ปรารถนาจะให้เจ้าเป็นเช่นนี้ นางคงอยากเห็นเจ้ากลับมายืนหยัดได้อย่างเข้มแข็ง และตามหาครอบครัวที่แท้จริงของเจ้าให้พบ”หัวใจของนางยังคงสั่นไหวเมื่อสายตาของหลี่เจ๋อจับจ้องมาที่นางอย่างลึกซึ้ง“ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า จับกลุ่มกบฏมาลงโทษ และช่วยเจ้าตามหามารดาของเจ้าให้พบ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าจะไม่ทิ้งเจ้า หยางเอ๋อร์”หลี่เจ๋อยื่นมือไปแตะที่แก้มของหานหยางอย่างแผ่วเบา แม้คำว่า “รัก” จะยังไม่ออกมาจากปากของเขา ด้วยปณิธานว่าหากเรื่องทุกอย่างยังไม่จบ เขาจะไม่บอกความในใจอออกไป แต่ทุกการกระทำของเขานั้นมันคงจะชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดเสียอีกสัมผัสนั้นทำให้หานหยางตัวแข็งทื่อ ดวงตาคู่งามหลุบลงอย่างเขินอาย แต่ก็ไม