ทางฝั่งของเฟยหลงที่ได้ยินหนิงอ้ายตอบกลับมาคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังแง่งอนเสียอย่างนั้นในความรู้สึกที่สัมผัสได้ ชายหนุ่มจึงรู้สึกหมั่นเขี้ยวเด็กหนุ่มไปไม่น้อย ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศอันมากล้นได้ค่อย ๆ ก้าวเท้ามุ่งเดินตรงมาพร้อมกับเอ่ยหยอกล้อร่างบางกลับไป
"เพียงไม่กี่วันที่ไม่พบเจอกัน ไม่คิดว่าเสี่ยวอ้ายจะคิดถึงข้าเช่นนี้?" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ไม่ห่าง
"ใครคิดถึงท่านกัน หึ!! ช่างหน้าหนาเสียจริง..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างหงุดหงิด ยิ่งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมา ช่างเป็นบุรุษที่มีความสามารถในการยั่วโมโหยิ่ง
"เป็นข้าที่เข้าใจผิดเอง..." เป็นเฟยหลงที่ยอมแพ้ไปก่อนในท้ายที่สุด
"ท่านมีสิ่งใดก็กล่าวออกมาได้แล้ว หวังว่าจะสำคัญมากพอเเล้วกัน..." หนิงอ้ายที่ได้ยินเสียงคล้ายกับสำนึกผิดของชายหนุ่ม จึงมองหน้าเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่าย ด้วยเพราะเขาก็ต้องการทราบเช่นกันว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างในช่วงนี้
เป็นเวลาเกือบสองชั่วยามที่หนิงอ้ายกับเฟยหลงได้นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ต่างไปจากที่เด็กหนุ่มคาดการณ์เอาไว้ไปสักเท่าไหร่นัก อย่างเเรกอาการของศิษย์ในสำนักสองคนนั้นยังคงไม่ฟื้นสติ แม้ว่าท่านอาจารย์ของเขาจะปรุงยาเเก้พิษและพยายามช่วยเหลืออย่างสุดกำลังเเล้วก็ตาม ตัวของเฟยหลงเองก็พึ่งกลับมาจากเดินทางเพราะต้องไปสืบค้นหาเบาะเเสเเต่ก็เหมือนกับว่าช้าไปกว่าอีกฝ่ายเพียงหนึ่งก้าว
ตอนนี้จำนวนของศิษย์ชายหญิงรุ่นเยาว์ที่ได้หายตัวไปอย่างลึกลับด้วยจำนวนที่มากขึ้นจนผิดสังเกต อีกสามวันหลังจากนี้จะมีการประชุมกันระหว่างห้าสำนักศึกษาใหญ่ประจำมหาทวีปบูรพาแห่งนี้รวมไปถึงสำนักศึกษาน้อยใหญ่ต่าง ๆ เพื่อหาทางรับมือและป้องกันหลัง
ด้วยเพราะการบ่มเพาะศิษย์เเต่ละคนทุกคนต่างล้วนตระหนักกันดีว่าย่อมให้ทรัพยากรที่ล้ำค่าเป็นจำนวนมาก แม้ในตอนนี้จำนวนของศิษย์ชายหญิงรุ่นเยาว์ที่ได้หายตัวไปจะยังมีไม่มาก เเต่ถึงอย่างไรก็สมควรที่จะป้องกันการสูญเสียศิษย์เหล่านี้ให้น้อยจะเป็นการดีที่สุด
เรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ฟังมาตั้งเเต่ต้นยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเป็นแน่ แล้วยิ่งในระยะหลังที่มีจำนวนของศิษย์รุ่นเยาว์ชายหญิงที่หายตัวไปมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเกิดขึ้นในทุกสำนักในมหาทวีปบูรพาเเห่งนี้คล้ายกับว่าไม่ได้สนใจอิทธิพลความยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษาเหล่านี้สักนิด
แม้เรื่องราวจะยังเป็นที่รับรู้ในกลุ่มคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จริง เเต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่าเรื่องราวสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นที่รับรู้อย่างใหญ่โตในภายหลังหลังจากนี้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่เป็นต้นเหตุในความวุ่นวายดังกล่าวมีเเผนการใดซ่อนเร้นหรือไม่ เเต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้คือผู้ที่หนุนหลัง ผู้ที่คอยปกปิดเรื่องราวในการกระทำเหล่านี้ย่อมไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน
"เรื่องราวความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเจ้าสำนักศึกษาเเต่ละคนได้มีการพูดคุยกันไปบ้างแล้วบางส่วน หลังจากการประชุมหารือในอีกสามวันข้างหน้าอย่างน้อยคงมีความเห็นลงมติจัดการที่สามารถรับมือได้ในสถานการณ์หลังจากนี้..." เฟยหลงบอกกับหนิงอ้ายให้คลายกังวลใจ
"ท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิงว่าอย่างไรบ้าง?" หนิงอ้ายถามไปด้วยความสงสัย
"เขาบอกเเต่เพียงว่าระยะนี้ได้เพิ่มเวรยามสังเกตการณ์ที่มากขึ้น เสริมความเเข็งแกร่งของค่ายกลป้องกันโดยรอบสำนักศึกษาไปบ้างเเล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นเจ้าตำหนักทั้งสามและผู้อาวุโสที่นั่งประจำการอยู่ต่างสอดส่องดูเเลศิษย์ชายหญิงในสังกัดของตนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน..." เฟยหลงตอบกลับไป
หนิงอ้ายพยักหน้ารับรู้ถึงแม้ว่าในใจของเขาจะคิดว่านี่เป็นเพียงการเเก้ไขเพียงปลายเหตุเท่านั้น ถึงจะดูว่าในตอนนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจะมีเพียงเล็กน้อย เเต่หากว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายเหล่านี้เป็นเผ่ามารตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้จริง โลกยุทธภพเเห่งนี้ที่ประกอบไปด้วยสี่มหาสมุทร หกมหาทวีป แปดเขตดินแดนล้วนย่อมได้รับผลกระทบที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ไปตามกันทั้งสิ้น
เสียงพูดคุยกันของทั้งสองคนยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในเรือนพักหลังนี้ แน่นอนว่าด้วยอาณุภาพของค่ายกลป้องกันที่ทางตำหนักได้วางสลักไว้โดยรอบ รวมถึงก่อนหน้าหนิงอ้ายและเฟยหลงเองได้เสริมความเเข็งแกร่งของม่านปราการนี้ ทำให้เวรยามภายนอกที่คอยตรวจตรารักษาการอยู่ในเขตพื้นที่ของตำหนักแห่งนี้เห็นเป็นเพียงเรือนหลังหนึ่งที่แวดล้อมไปด้วยป่าไผ่ที่พริ้วไหวไปตามเเรงลมชวนให้สงบใจ เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งอย่างปกติไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจึงเดินเเยกย้ายไปในส่วนอื่นจากนี้
ทางฝั่งของเฟยหลงเองที่เห็นว่าสมควรแก่เวลาพักผ่อนของหนิงอ้ายเเล้ว ชายหนุ่มจึงพูดคุยกับเด็กหนุ่มอีกเล็กน้อยก่อนที่จะหายตัวไปในเงามืดอีกเช่นเคย หนิงอ้ายที่คล้ายกับจะคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้จึงได้เเต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียงที่มีต้าเฮยนอนหลับด้วยท่าทางที่น่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก
ช่วงหลังมานี้หนิงอ้ายสังเกตุว่าอีกฝ่ายมีการหายใจที่น้อยลงคล้ายกับกำลังเข้าสู่สภาวะจำศีลเเต่เมื่อตรวจดูเเล้วเนตรแห่งสวรรค์ได้บอกว่าไม่เป็นอันตรายเเต่อย่างใดเพราะนี่เป็นเพียงหนึ่งในขั้นตอนของการเลื่อนระดับเท่านั้น หนิงอ้ายจึงไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายมากนัก เมื่อจัดท่าทางตัวเองเรียบร้อยเเล้วหนิงอ้ายจึงหลับไปในทันทีโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าดวงตาอสรพิษสีเเดงฉานมองไปยังใบหน้าของเขาด้วยแววตาอย่างไร...
วันคืนได้หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปด้วยความรวดเร็วตลอดระยะเวลาในหลายเดือนมานี้ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นไม่น้อย ตอนนี้ข่าวคราวการหายตัวไปของผู้ฝึกตนนั้นมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจซึ่งได้สร้างความหวาดระแวงในหมู่ของผู้ฝึกตนเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นการล่มสลายของตระกูลเก่าแก่ประจำแคว้นหรือตระกูลอิทธิพลน้อยใหญ่ที่ว่ากันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้คล้ายกับต้องการทำลายความเชื่อมั่นและสร้างผลกระทบในหลากหลายด้านรวมไปถึงการถ่วงดุลของอำนาจปกครองล้วนสั่นสะเทือนไปทั้งสิ้น
พึงทราบว่าตระกูลใหญ่ประจำแคว้นหรือกลุ่มอิทธิพลที่ขึ้นชื่อต่าง ๆ แม้ว่าเบื้องหน้าพวกเขานั้นคล้ายกับว่าต่างนับถือกันดั่งเช่นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ความจริงเเล้วภายในใจล้วนต่างต้องการเป็นที่หนึ่งที่ได้รับการยอมรับนับถือ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์สูญเสียเหล่านี้จึงคล้ายกับว่าได้จุดติดกับระเบิดเวลาที่รอคอยปะทุในสักวัน
หนิงอ้ายยังคงฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ หลังจากตื่นนอนเด็กหนุ่มจะใช้เวลาหนึ่งชั่วยามไปกับการฝึกฝนเชิงยุทธ์และเคล็ดวิชากระบี่สลับไปกับการฝึกฝนปรุงโอสถที่ในตอนนี้ถือว่ามีความเชี่ยวชาญในการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสามได้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
แม้ว่าจะสามารถปรุงออกมาได้ด้วยความบริสุทธิ์อย่างน้อยแปดส่วนก็จริง เเต่ถึงอย่างไรเขายังไม่ถือว่าเป็นนักปรุงโอสถระดับสามที่เเท้จริงตราบใดที่ยังไม่ได้เข้ารับการทดสอบเลื่อนระดับ
นอกจากนั้นเเล้วหนิงอ้ายยังคงแวะเวียนไปหาสหายของตนที่สังกัดอยู่ในเเต่ละตำหนัก
ด้วยฐานะศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาดังนั้นเขาจึงได้รับอนุญาติให้เข้าพื้นที่ของตำหนักอื่นได้ เพียงเเต่ต้องมีการลงชื่อกำกับทุกครั้งและมีกำหนดเวลาเพียงครั้งละหนึ่งชั่วยาม จึงทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้ความเป็นไปของลู่ซีรวมไปถึงสหายคนอื่นของตนทั้งสิ้น
ไม่คาดคิดว่าในตอนนี้พวกเขาทั้งเจ็ดคนต่างเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณอย่างเต็มภาคภูมิเเล้ว ฟังว่าสหายของเขาเเต่ละคนนั้นต่างได้รับความเมตตาจากผู้อาวุโสผู้เป็นอาจารย์ในการสั่งสอนเคล็ดวิชาต่าง ๆ รวมไปถึงบรรดาทรัพยากรล้ำค่าพิศดารสำหรับการฝึกฝนบ่มเพาะที่จำเป็นต่างถูกส่งต่อมอบให้อย่างไม่เสียดาย
นอกจากนั้นแล้วความเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเเต่ละตำหนักที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงยิ่งส่งเสริมให้บรรดาสหายของเขาทุกคนต่างถือได้ว่าเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์แถวหน้าในบรรดาศิษย์สายนอกได้ยากไม่ยากเย็นสักเท่าไหร่นัก
ทุกคนได้รับรู้ว่าหนิงอ้ายมีกำหนดการณ์ในการทำภารกิจตามกฎของตำหนักที่ต้องออกเดินทางไปจากสำนักศึกษาในอีกไม่นานนี้ ทุกคนต่างเป็นห่วงเด็กหนุ่มกันทั้งสิ้น ความสามารถและพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มผู้เป็นสหายตัวน้อยนี้พวกเขาล้วนต่างกระจ่างแก่ใจว่ามีความสามารถมากเพียงใด
ยิ่งได้รับการถ่ายทอดภูมิความรู้โดยตรงจากปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ ผู้มีสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่าปรมจารย์หมื่นพิษ แน่นอนว่าหนิงอ้ายผู้เป็นศิษย์สายตรงนั้นย่อมได้รับการถ่ายทอดและได้รับการสั่งสอนในเรื่องนี้เป็นอย่างดีแน่นอน เเต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็อดใจที่จะเป็นห่วงอีกฝ่ายไม่ได้เช่นกัน
ยิ่งกับลู่ซีเเล้ว แม้ว่าในใจของเขานั้นจะเป็นห่วงเด็กหนุ่มผู้เป็นดั่งน้องชายของตนเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายนอกสำนักในตอนนี้พวกเขาต่างรับรู้โดยทั่วกันว่าศิษย์รุ่นเยาว์ชายหญิงเเต่ละคนที่หายตัวไปนั้นมีเเต่ศิษย์แถวหน้าทั้งสิ้น บางคนถึงกับเป็นผู้ฝึกตนที่มีความเเข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงอันโดดเด่นเป็นอย่างมาก แต่กลับพลาดท่าได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
การออกไปทำภารกิจด้วยระยะเวลาหนึ่งปีนั้นเป็นกฎของทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่ได้ยึดถือปฏิบัติ หนิงอ้ายยังรับปากไว้ว่าอีกฝ่ายจะส่งจดหมายเวทย์กลับมาในทุก ๆ เจ็ดวันเพื่อให้พวกเขาทุกคนคลายกังวลใจ ได้ยินเช่นนี้ทั้งตัวของลู่ซีเองและสหายคนอื่นจึงได้เเต่พยักหน้ายอมรับ พร้อมกับกำชับเด็กหนุ่มให้รักษาตนเองให้กลับมายังสำนักได้อย่างปลอดภัย
ก่อนหน้านี้เหล่าบรรดาศิษย์พี่เเต่ละคนของหนิงอ้ายต่างได้ทยอยออกเดินทางออกจากสำนัก ตามกฎของตำหนักที่ว่าศิษย์เก่าตั้งเเต่ปีสองเป็นต้นไปจะต้องออกพเนจรไปทั่วมหาพิภพเเห่งนี้เพื่อฝึกฝนขัดเกลาความสามารถเป็นเวลาหนึ่งปีจึงจะสามารถกลับมายังสำนัก
ด้วยระยะเพียงเท่านี้ถือว่าเพียงพอมากเเล้วสำหรับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันล้ำค่าที่สามารถสร้างชื่อเสียงแก่สำนักศึกษาได้ ทางเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของหนิงอ้ายนั้นเห็นว่าแม้หนิงอ้ายในตอนนี้จะถือว่าเป็นศิษย์ปีหนึ่งก็จริง เเต่หากพิจารณาไปถึงความสามารถหรือพรสวรรค์ในด้านต่างๆ เเล้ว ถือได้ว่าเหนือชั้นไปมากกว่าศิษย์ปีสองในตำหนักอื่นเสียด้วยซ้ำ
แม้จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มมากเพียงใดเเต่ชายชราก็มั่นใจว่าในระยะเวลาที่ผ่านมาตนได้ถ่ายทอดสั่งสอนอีกฝ่ายมากเพียงพอที่จะเอาตัวรอดตามกำหนดและสามารถกลับมายังสำนักได้อย่างปลอดภัย...
ณ สถานที่แห่งหนึ่งบนมหาพิภพ
ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทั้งบริเวณ ลานกว้างเเห่งนี้เต็มไปด้วยรุ่นเยาว์ชายหญิงมากมายหลายช่วงอายุที่ดูแล้วน่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง ร่างเงาดำได้ไหววูบที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายออกมาอย่างเข้มข้นที่พุ่งเข้าโจมตีผู้เคราะห์ร้ายอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานที่ดังขึ้นได้กระตุ้นสัญชาติญาณอันดิบเถื่อนให้มีความบ้าคลั่งยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะแว่วลอยมาตามลมชวนให้ผู้ที่ได้ยินนั้นแทบเสียสตินึกคิดไปเเล้วทั้งสิ้น คล้ายกับว่าความหวังสุดท้ายในการรอดชีวิตได้ถูกทำลายลงไปอย่างไม่มีชิ้นดี
"พลังปราณอันบริสุทธิ์ของเหล่าผู้ฝึกตนเหล่านี้ช่างมีความเข้มข้นยิ่งนัก..." เสียงที่เอ่ยขึ้นด้วยความพึงพอใจหลังจากที่ได้ดูดกลืนพลังวิญญาณจากผู้ฝึกตนที่โชคร้ายคนหนึ่ง
ท่ามกลางสายตาของผู้ที่ยังมีชีวิตในตอนนี้ต่างรู้สึกสั่นสะท้านโดยพร้อมเพรียงกัน เสียงอ้อนวอนร้องชีวิตเงียบลงหลังจากที่ลมหายใจสุดท้ายของพวกเขานั้นจะถูกพรากจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน ร่างกายที่เคยสูงโปร่งในตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างกายที่ซูบผอมผิวหนังเเห้งย่นติดกระดูกที่บิดงออย่างที่ไม่ควรจะเป็น
เพียงหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เงาร่างสีดำที่เคยวูบไหวไม่แน่ชัดในก่อนหน้าได้ปรากฎเป็นร่างกายที่สมบูรณ์แบบสวมใส่ชุดสีดำที่แผ่กลิ่นอายความตายอันน่าสะอิดสะเอียนออกมาอย่างเข้มข้น รสชาติอันหวานหอมของพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนที่ได้ลิ้มลองไปในก่อนหน้านี้ได้สร้างความสุขอันสาแก่ใจเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าเพียงได้ดูดกลืนไปเพียงจำนวนครึ่งร้อยเเต่กลับฟื้นคืนพลังให้หวนคืนกลับมาได้สองส่วนเลยทีเดียว ดูท่าเเล้วหลังจากนี้คงต้องเก็บตัวและใช้เวลาอีกสักพักใหญ่จึงจะสามารถชำระหนี้แค้นที่ถูกกระทำได้
"ข้าต้องการดูดกลืนพลังวิญญาณของบรรดาสุดยอดรุ่นเยาว์ห้าอันดับเเรกจากงานประลองแคว้น ขอเพียงอายุไม่เกินสามสิบปีนั้นร่างกายของพวกมันล้วนเต็มไปด้วยพลังชีวิตบริสุทธิ์ที่จำเป็นต่อข้า จำเอาไว้!!ยิ่งพลังของข้าหวนคืนกลับมาเร็วเท่าใดสิ่งที่เจ้าปรารถนาก็จะได้เร็วเท่านั้น!!!" ใบหน้างดงามที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ร้ายอันยั่วยวนที่ค่อย ๆ ย่างกรายเข้าใกล้บุรุษที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า มือเรียวงามขาวซีดได้เชยสันกรามของอีกฝ่ายคล้ายกับว่าพึงพอใจยิ่งนัก
ทว่าอีกฝ่ายที่โดนกระทำนั้นร่างกายกำยำต่างสั่นสะท้าน ร่างกายอันงดงามตรงหน้าที่เป็นเพียงหนังมนุษย์ห่อหุ้มหลังจากที่ได้ดูดกลืนพลังวิญญาณไปหลายสิบชีวิต เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวอันเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"ที่สำคัญเจ้าอย่าใจร้อนมากเกินไป ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งที่วางเเผนไว้ทั้งหมดคงสูญเปล่า อย่าได้หลงเหลือหลักฐานใดให้พวกมันตามสืบได้ จากนี้ไปอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าข้าจะไปหาเจ้าด้วยตัวเองเเล้วกัน..."
"ขอรับ..." จากนั้นร่างกายสูงใหญ่ได้ตอบรับและประสานมือคำนับกับบุคคลลึกลับในชุดดำตรงหน้า ก่อนที่ชั่วพริบตากลิ่นอายความตายที่เคยอบอวลในก่อนหน้าได้หายไปสิ้นราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต