อันเมี่ยนตระหนกเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะถูกเลือก ในรายการที่ผู้ดูแลส่งมาให้ นางนับว่าวรยุทธ์ด้อยกว่าอีกสามคนมากนักเพราะฝึกยังไม่ทันสำเร็จก็ต้องลงจากเขามาก่อน แต่สำหรับเหรินซินเพียงแค่อันเมี่ยนที่มาจากสำนักไป๋ซานนั่นก็เพียงพอที่จะเลือกนางแล้ว
“คะ คุณหนูจากนี้ไปข้าน้อย…”
“ไม่ต้องคุกเข่าอย่าคำนับให้มากพิธี ข้าเป็นแค่คนธรรมดามิใช่ราชวงศ์อย่าวุ่นวายเลย”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลพาอีกสามคนเดินออกจากห้องไปตามคำสั่งของเหรินซิน อาเจิงมองพินิจพร้อม ๆ กับคุณหนู แต่เหรินซินดูเหมือนว่าจะมิได้มองคนอื่น ๆ เลยด้วยซ้ำ เมื่อเข้ามาถึงนางก็ตรงมาที่สตรีนางนี้เลยจนทำให้อาเจิงรู้สึกประหลาดใจ
“อันเมี่ยน ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเจ้ามาให้ข้าฟังสักหน่อยสิ ข้าต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหน หวังว่าเจ้าจะไม่เริ่มต้นด้วยการโกหกนะเพราะว่าข้าต้องการคนที่ไว้ใจได้”
“เจ้าค่ะข้าน้อยจะไม่โกหกท่าน ข้าเป็นคนฉีอันและเคยร่ำเรียนอยู่สำนักไป๋ซาน”
“สำนักไป๋ซาน! นี่เจ้าเคยเรียนสำนักดาบและกระบี่อันดับหนึ่ง…”
“อาเจิง เจ้าเงียบก่อน... ว่าต่อสิ”
อันเมี่ยนก็ยังไม่ต่างไปจากเดิม นางเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวนางให้กงเหรินซินฟังโดยไม่ปิดบัง เหรินซินเองก็นั่งฟังอย่างตั้งใจเพราะหากว่าอันเมี่ยนโกหก นางก็จะรู้ได้ในทันทีเพราะอันเมี่ยนเคยเป็นศิษย์น้องของเยว่ชิงชิง
“หมายความว่าหลังจากมารดาของเจ้าตาย บิดาก็ยกอนุขึ้นเป็นใหญ่และจะบังคับให้เจ้าแต่งงานกับขุนนางแก่ที่มีเงินมาก เจ้าซึ่งเป็นบุตรของภรรยาเอกจึงมิได้รับความเป็นธรรมงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ข้าเองก็มิได้ต้องการอยู่ที่นั่นดังนั้นจึงได้ตัดขาดจากครอบครัวและออกเดินทาง แม้ว่าอยากจะกลับขึ้นเขาก็เกรงว่าท่านพ่อจะตามหาข้าเจอ ก็เลยหนีมาที่เมืองหลวงเจ้าค่ะ”
'เพราะเหตุนี้นางจึงมิได้กลับไปที่ไป๋ซานสินะ'
“เจ้าอยากกลับไปร่ำเรียนที่สำนักไป๋ซานงั้นหรือ”
“ตอนนี้จะกลับหรือไม่ ก็ไร้ประโยชน์แล้วเจ้าค่ะ”
“ทำไมเล่า”
“ที่ข้าอยากกลับไปเพราะศิษย์พี่ชิงชิง แต่ตอนนี้นาง…”
หยดน้ำตาของอันเมี่ยนไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เหรินซินรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อยราวกับมีเข็มเล่มเล็กมาทิ่มที่หัวใจนาง
“เกิดอะไรขึ้น ข้าอยากให้เจ้าเล่าแต่หากทำให้ลำบากใจ...”
“ไม่ลำบากเจ้าค่ะ หลังจากข้าลงจากเขาไม่นานก็ได้ข่าวว่าศิษย์พี่ฆ่าท่านอาจารย์ใหญ่แต่ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด อาจารย์กับศิษย์พี่เป็นดุจบิดาและบุตร ข้าไม่มีทางเชื่อว่านางจะทำเรื่องเช่นนี้”
เหรินซินกำหมัดแน่นเพราะไม่คิดเลยว่าศิษย์น้องที่นางเคยพร่ำสอนและถูกนางดุมากที่สุด กลับเป็นคนเดียวที่เชื่อว่านางมิได้ฆ่าอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ “นิ่งเสี่ยวเหยา” ที่นางเอ็นดูมากกว่าจะเชื่อในสิ่งที่เห็นแต่ทว่า…
‘ศิษย์พี่ หากท่านมิได้ฆ่าอาจารย์ ท่านก็กลับไปกับพวกเราเพื่ออธิบายเถอะเจ้าค่ะ’
“เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อว่าศิษย์พี่คนนั้นของเจ้าไม่ได้ทำเล่า เรื่องของสำนักไป๋ซานครั้งนั้นโด่งดังมาถึงเมืองหลวง”
“ไม่! ท่านไม่รู้จักศิษย์พี่ของข้า นางไม่ใช่คนเนรคุณคนต่อให้นางจะดุด่าข้าและเข้มงวดก็เพื่อให้พวกเราได้ดี นางรักอาจารย์ไม่ต่างกับบิดาข้าย่อมรู้ดีเพราะข้าอยู่ที่เขาไป๋ซานมากว่าสามปี หากจะบอกว่านางเป็นคนฆ่าต่อให้เอาเชือกมารัดคอข้าให้ตาย ข้าก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นนาง ไม่มีทาง!!”
“อันเมี่ยน เจ้าตะคอกใส่คุณหนูข้าทำไม”
“เอ่อ ข้า...ขออภัย”
แต่สิ่งนั้นกลับทำให้เหรินซินแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าศิษย์น้องนอกสายตา ที่ใช้เวลาพร่ำสอนมานานกว่าคนอื่นจะเป็นคนเดียวที่เชื่อว่านางมิได้ทำผิด ครั้งนี้นางจะไม่เลือกคนผิด
“เอาล่ะอันเมี่ยนวันนี้เจ้ากลับจวนไปกับข้าก่อน อาเจิงหลังจากนี้ฝากเจ้าดูแลเรื่องเสื้อผ้า อาหารและที่อยู่ให้นางด้วย”
“ได้เจ้าค่ะ อันเมี่ยนต่อไปข้าเรียกเจ้าว่าอาเมี่ยนได้หรือไม่เจ้าก็เรียกข้าว่าอาเจิง”
“ได้อาเจิง จากนี้ข้าขอฝากตัวด้วย หากว่ามีสิ่งใดที่ข้าทำผิดขอให้เจ้าช่วยชี้แนะด้วย”
“เอาล่ะไม่ต้องมากพิธี พวกเราสามคนมิได้เป็นนายบ่าว พวกเราอยู่กันอย่างครอบครัว จากนี้ข้าจะเป็นครอบครัวของเจ้า พวกเรากลับกันเถอะ”
อาเมี่ยนหันมาน้ำตานองอีกครั้งพร้อมกับคุกเข่าลง อาเจิงไม่ทันได้ห้ามนางแต่เหรินซินก็รีบดึงนางขึ้นมาอีกครั้ง
“อาเมี่ยน! ข้าบอกแล้วว่า…”
“คุณหนูเจ้าคะ จากนี้ไปข้าจะตั้งใจทำงานที่คุณหนูสั่ง จะยอมเป็นช้างม้าให้ท่านใช้ ข้าสาบานว่าจะซื่อสัตย์และภักดีกับคุณหนู”
“พอแล้วลุกขึ้นเถอะ ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าพวกเราอยู่กันอย่างครอบครัว จากนี้ก็ค่อย ๆ เรียนรู้กับอาเจิง”
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมเพื่อจะกลับจวน แต่เหรินซินคิดว่าไหน ๆ ก็ออกมาแล้วจึงแวะไปที่ร้านผ้า เพื่อเลือกชุดใหม่สักสองสามชุดอีกทั้งยังเลือกให้สาวใช้ทั้งสองด้วย เมื่อได้ของครบก็เกือบเย็นจึงได้รีบออกมาแต่ก็พบว่าสายตาของคนในเมือง แม่ค้าและผู้คนเริ่มพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวังหลวง
“นางน่ะหรือ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
“ใช่ ๆ กล้าจะผลักน้องสาวท่านอ๋องตกสระน้ำในวังแล้วยังมีหน้ามาเดินตลาด หน้าไม่อายจริง ๆ”
“นางน่าจะตายไปเสียนะ แล้วยังลงโทษบุตรขุนนางใหญ่ให้จ่ายค่าทำขวัญเพราะอยากแก้แค้นอีก ช่างไร้คุณธรรม”
“คุณหนูเจ้าคะ รีบกลับจวนกันเถอะ…คุณหนู!!”
“อาเจิง เจ้าอยู่ที่นี่ข้าจะไปคุ้มกันคุณหนู”
“อาเมี่ยน เดี๋ยวก่อน”
กงเหรินซินไม่เพียงไม่หนีคำครหาแต่นางกลับเดินหน้าเข้าไปหาคนที่พยายามพูดเรื่องของนาง เมื่อเดินเข้าไปใกล้พวกที่กำลังนินทากันอย่างออกรสถึงกลับไม่กล้ามองนาง เพราะทั้งท่าทางและสายตาของเหรินซินทำให้พวกนางเริ่มกลัว
“หยุดทำไมเล่า ทำไมไม่พูดต่อล่ะข้าอยากฟังให้มากกว่านี้ พูดอีกสิ”
“ทะ ท่าน.. นี่ท่านจะมาข่มขู่ พะ พวกข้าหรือ”
“เหตุใดต้องกลัวด้วย เมื่อครู่ยังกล้าพูดให้ข้าได้ยินเลยมิใช่หรือ หากว่าเป็นเรื่องจริงพวกเจ้าจะกลัวทำไมกัน พูดสิ!!”
เสียงตวาดนั้นทำเอาคนที่นั่งนินทาอยู่ตกใจจนเกือบตกเก้าอี้ บางคนเริ่มลุกขึ้นและชี้หน้าด่านางแต่ก็กล้า ๆ กลัว ๆ
“ทะ ทะ ท่าน.. ท่านจะมาข่มขู่พวกข้าที่พูดความจริงงั้นหรือ ที่พวกข้าพูดล้วนเป็นความจริงเหตุใดจึงไม่กล้ายอมรับ”
“ชะ ใช่แล้ว เป็นถึงบุตรแม่ทัพใหญ่เลื่องชื่อแต่กลับทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ยังจะกล้า...”
กงเหรินซินหันไปมองผู้ที่พูดด้วยสายตาดุดันเมื่อเดินเข้าไปหา นางมิได้เกรงกลัวคนเหล่านี้เลยสักนิด และไม่คิดจะถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว คนนับสิบที่พูดนินทาว่าร้ายนางเมื่อครู่เริ่มถอยเพียงเพราะนางที่เดินเข้ามาหา
“ต่ำช้างั้นหรือ พวกเจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่ที่จะให้ร้ายข้าด้วยเรื่องนี้”
สีหน้าของเหล่าแม่ค้าและสตรีปากตลาดเริ่มสั่น เมื่อเห็นว่าบุตรสาวขุนนางใหญ่ไม่เกรงกลัวแม้คำนินทาว่าร้าย อีกทั้งยังกล้าที่จะสู้กับพวกนาง
“พูดสิ พูดมาให้หมด”
“ผลัวะ!!”
“คุณหนู!!”
ผักกาดหัวใหญ่ถูกโยนมาที่ด้านข้าง แต่กงเหรินซินหันไปรับเอาไว้ได้ คนที่ปาออกมาถึงกับแอบกลืนน้ำลายเพราะไม่คิดว่านางจะรับได้ทัน เมื่อกวาดสายตาไปโดยรอบ เหรินซินจึงได้เห็นตัวต้นเหตุที่คอยพูดบางอย่างให้คนอื่น ๆ เริ่มหันมาต่อว่านาง และนางผู้นี้เป็นคนที่เหรินซินเห็นตั้งแต่ก่อนที่จะเดินเข้าไปในร้านตัดเสื้อ
“พูดให้ร้ายไม่ได้ผลคิดจะใช้กำลังกับข้างั้นหรือ พวกเจ้ากระจอกถึงเพียงนี้ถึง เก่งแต่ปากเอาแต่พูดลับหลังคนอื่น คิดว่าคงอยากจะไปนอนเล่นที่คุกศาลาว่าการสินะ”
“ทะ ทะ ท่าน!! ท่านขู่พวกข้างั้นหรือ”
“อันเมี่ยน!! จับนางเอาไว้ คนที่อยู่หลังร้านขายผักชุดสีน้ำตาล!!”
“เจ้าค่ะ!!”
สามวันถัดมา“เสด็จแม่ ยังอีกไกลหรือไม่เพคะ”“ไหนว่าเจ้าจะไม่บ่นอย่างไรเล่าเซียนเอ๋อร์ นี่แค่ทางขึ้นเขาเองเจ้าก็บ่นเสียแล้ว”“ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวเพราะรถม้ามันโยกนี่เพคะ”“มานั่งตักพ่อเถอะจะได้นิ่มหน่อย มาสิ”หมิงชิงเซียนขยับไปนั่งตักบิดาซึ่งทั้งกว้างและนิ่มเมื่อท่านอ๋องวางตำราลงและหันมามองหน้าพระชายาที่แง้มหน้าต่างและเริ่มมองออกไปข้างนอก“เจ้าคงไม่คิดที่จะอยู่ที่สำนักไป๋ซานนานนักหรอกนะ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เป็นพระชายาหมิงชินอ๋อง หาใช่สตรีอันดับหนึ่งในยุทธภพไม่”“ท่านกังวลเกินไปแล้ว ข้าแค่อยากจะมองดูรอบ ๆ เท่านั้นว่าต่างไปจากเดิมหรือไม่”“เสด็จพ่อ ลูกจะต้องมาฝึกที่นี่จริง ๆ หรือเพคะ”“เจ้าอยากจะมาหรือไม่เล่าเซียนเอ๋อร์”“ลูกเองก็ไม่รู้ แต่ลูกอยากจะเก่งเหมือนเสด็จแม่เพคะ”“เจ้าเป็นลูกของแม่ก็ต้องเก่งและยอดเยี่ยมเหมือนแม่เจ้าอยู่แล้ว ยอดหญิงอันดับหนึ่งในใต้หล้ามีเพียงเสด็จแม่ของเจ้าเท่านั้น”“แต่เหตุใดบางคืนข้าถึงได้ยินเสียงท่านแม่ร้องแปลก ๆ เล่าเพคะ”เหรินซินหันมามองพักตร์ท่านอ๋องในทันทีเมื่อได้ยินเสียงบุตรสาวกล่าวขึ้นมา ท่านอ๋องนึกขำเมื่อเห็นใบหน้าของพระชายาที่เริ่มแดงจัดจนถึงใบหู“เซ
แปดปีต่อมา“ชิงเซียน ได้เวลาอาบน้ำแล้ว”“เพคะเสด็จแม่ แต่ว่าข้ายังอยากฝึกดาบอยู่”“วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะ น้าอันเมี่ยนของเจ้าเหนื่อยแล้วอีกเดี๋ยวเสด็จพ่อเจ้าก็จะกลับมาจากในวัง จะถูกตำหนิเอาได้นะ”“ก็ได้เพคะ”“ข้าพานางไปเองเพคะ”“ฝากเจ้าด้วยนะอาเจิง”“เพคะพระชายา”อาเจิงพา “หมิงชิงเซียน” บุตรสาวของท่านอ๋องในวัยสี่ขวบครึ่งไปอาบน้ำตามคำสั่งของพระชายากงเหรินซิน ไม่นานเมื่อทั้งคู่เดินไปท่านอ๋องก็กลับเข้ามาในตำหนัก พระองค์เดินตรงมาหานางที่นั่งรออยู่ศาลาริมสวนซึ่งชิงเซียนใช้ฝึกดาบกับอันเมี่ยน“ท่านพี่”“เหตุใดเจ้าถึงได้มานั่งที่นี่คนเดียว เซียนเอ๋อร์เล่าไปไหนแล้ว”“ข้าให้อาเจิงพานางไปอาบน้ำแล้วเพคะ เหตุใดวันนี้ท่านพี่จึงกลับเร็วนักเล่าเพคะ”“รีบกลับมาหาเจ้าน่ะสิ เตรียมของทุกอย่างแล้วหรือ”“เสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ อากาศเริ่มเย็นลงอีกแล้วคิดว่าครั้งนี้คงไม่หนาวเท่าปีก่อน หยางเอ๋อร์จะได้ไม่ลำบากมาก”“เจ้าก็เอาแต่เป็นห่วงบุตรชายของเจ้า เขาไปฝึกที่สำนักไป๋ซานร่วมปีแล้วน่าจะชินกับอากาศแล้วกระมัง อีกอย่างยังมีอาจารย์อย่างเฉินกวนคอยส่งข่าวมาให้ไม่ขาด ยังเป็นห่วงอีกหรือ”“แต่หยางเอ๋อร์ยังเด็กนะเพคะ เส
“อ๊าา…. อ๊าา ไม่ไหวแล้ว มันจุกมาก อื้อ….”เหรินซินทั้งกัดฟัน ทั้งอ้าปากระบายความเสียวออกมาเมื่อท่านอ๋องจับบั้นท้ายนางกระแทกลงมาถี่ ๆ เพื่อรับมังกรยักษ์ที่สอดอยู่ด้านใน ไม่นานร่างเล็กก็ถูกเขาจับพลิกให้นอนตะแคง ขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมา อ้อมกอดของพระสวามีกระชับเข้ามาจนชิดและถูกเขากระแทกอีกครั้ง พร้อมกับหน้าอกที่ถูกนิ้วสากหนานั้นบดขยี้ที่ยอดจนแตะทางสวรรค์ไปอีกครั้ง“อ๊าา….”ครึ่งชั่วยามถัดมา“ท่านพี่เพคะ พอแล้วได้หรือไม่ข้าขอพัก อ๊าา!!”หน้าต่างทุกบาน รวมถึงประตูถูกลงกลอนจนหมดสิ้น บัดนี้เหรินซินได้หลงกลท่านอ๋องเพราะคำพูดหวาน ๆ นั่นเสียแล้ว ใครจะคิดว่าหลังจากที่เปิดประตูให้พระสวามีเข้ามา นางจะไม่ได้พักและแทบจะหายใจไม่ทันอยู่แล้วกับศึกรักที่โหมกระหน่ำ จนเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้าเช่นนี้“อ๊าา ท่านพี่ อย่าเลียนะ! เราพึ่งจะ อ๊าา….”แต่ท่านอ๋องมิได้ใส่ใจ ลิ้นของเขายังคงซอกซอนเข้าไปยังร่องรักที่เปียกชื้นทั้งน้ำของเขาและนาง เหรินซินเหงื่อไหลท่วมและแทบจะสิ้นเรี่ยวแรงแต่ก็มิอาจทัดทานความปรารถนาของท่านอ๋องที่มีต่อนางได้“อ๊าา….”เป็นอีกครั้งที่นางถึงฝั่งสวรรค์ แต่ท่านอ๋องก็มิได้เว้นช่วงให้นางพักเลยจร
ท่านอ๋องเดินไปยังเรือนหลังที่ตอนนี้เริ่มเงียบลงแล้วหลังจากที่รอสาวใช้ของเหรินซินเดินออกมา เว่ยเซียวที่หลบอยู่ด้านหลังก็ค่อย ๆ ไปที่ประตูแต่ปรากฏว่าประตูถูกลงกลอนเอาไว้“อะไรเนี่ย ปิดประตูงั้นหรือ”“ท่านคิดว่าจะเข้ามาในห้องข้าได้ง่าย ๆ งั้นหรือ”“เจ้า! ร้ายนักนะอาซิน”เสียงของเหรินซินดังออกมาจากด้านในเขาจึงรู้ว่าติดกับเข้าแล้ว พระชายาของเขามิใช่คนโง่ที่จะไม่รู้แผนการตื้นเขินเช่นนี้ แต่ในเมื่อพ่อตาสอนมาแล้วทุกอย่าง เช่นนั้นคืนนี้เขาจะไม่มีทางยอมแพ้เป็นอันขาด“อาซิน… เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อยสิ ข้าอยากจะคุยกับเจ้าจริง ๆ นะ อีกอย่าง…”“ท่านกลับไปดื่มสุรากับพี่ใหญ่และท่านพ่อจะดีกว่า มายืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีความหมาย หม่อมฉันไม่มีทางเปิดประตูให้พระองค์”“เจ้ากลายเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน เจ้าจะยอมให้สามีของตัวเองถูกยุงกัดตายอยู่ตรงนี้งั้นหรือ หากเจ้าไม่เปิดข้าก็จะยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น คอยดูสิว่าข้าจะตายก่อนหรือว่าเจ้าจะใจอ่อนก่อน”“เช่นนั้นก็เชิญท่านอ๋องยืนเฝ้ายามหน้าประตูต่อไปนะเพคะ จะได้รู้ว่าเหล่าองครักษ์ต้องลำบากเพียงใด”“เดี๋ยวสิ! นี่กงเหรินซินมันจะเกินไปแล้ว อย่าใ
สองเดือนถัดมา“ยอดไปเลย ข้าพึ่งจะเคยเห็นกระบวนท่าของ “กระบี่วารีพิสุทธิ์” เต็มตาก็วันนี้เอง เว่ยเซียวท่านเริ่มสงสัยตั้งแต่เมื่อใดว่านางมิใช่ซินเอ๋อร์แต่เป็นเยว่ชิงชิง"“ครั้งแรกที่ข้าเห็นนางแอบฝึกที่โรงฝึกของพวกเจ้าข้าก็เริ่มสงสัยว่านางมิใช่กงเหรินซิน ยอดไปเลยใช่ไหมเล่า”“เรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ”“นั่นสิ ว่าแต่เจ้าเถอะตอนที่ไปสำนักไป๋ซาน ไม่เห็นเคยบอกข้าเลยว่านางคือใคร”“ตอนนั้นข้ารับปากท่านพ่อแล้วว่าจะไม่เปิดเผยฐานะของนาง และจะไม่บอกว่าตัวเองเป็นใคร ได้แต่เฝ้ามองนางห่าง ๆ และคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ข้าพอจะช่วยได้ ทั้งกระบี่ที่ท่านพ่อสั่งทำแล้วมอบให้และเงินที่ฝากเอาไว้กับอาจารย์โดยไม่บอกให้นางรู้”“ข้านับถือเจ้านะที่ปกปิดความลับมาได้นานขนาดนี้ หากเป็นข้าก็คงอยากจะเผยตัวตนตั้งแต่แรก”“ใช่ว่าข้าไม่อยาก เพียงแต่ว่า…”“เพราะกงเหรินซินสินะ ปากเจ้าพร่ำบ่นนางและด่านางเป็นประจำแต่ก็รักนางมากไม่ต่างกังกงอวี้หาน”“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าเสียใจมากที่สุดในฐานะพี่ชาย ข้าควรจะดีกับนางเหมือนที่อวี้หานทำ”ท่านอ๋องตบไหล่ของจ้าวหนาน สหายและเพื่อนร่วมสำนักของเขา ท่านอ๋องพอจะรู้
สามวันถัดมา / สุสานสกุลกง “ซินเอ๋อร์ เนี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าคงจะได้พบกันแล้วสินะ ฝากดูแลนางด้วยนะ”“ซินเอ๋อร์ พี่ใหญ่ไม่เคยอยากจะทะเลาะกับเจ้าเลยสักครั้ง พี่ทำผิดต่อเจ้าที่คอยเปรียบเทียบเจ้ากับคนอื่น ชาติหน้าหากมีจริงขอให้พี่ได้มีโอกาสเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าอีกสักครั้งเถอะนะ”ตุ๊กตาไม้ที่แกะด้วยมือของกงจ้าวหนานวางลงที่หน้าป้ายวิญญาณน้องสาวผู้ล่วงลับ เขาทำมันขึ้นมาระหว่างออกศึกและเก็บเอาไว้นานกว่าสิบปีแต่ไม่มีโอกาสได้ให้กงเหรินซิน เพียงเพราะนางเอาแต่โวยวายและโมโหทุกคนที่ไม่เข้าข้างนาง เขาจึงเก็บตุ๊กตาไม้นี้เอาไว้ตลอด กงอวี้หานเดินมาตบไหล่ของพี่ใหญ่ที่ยืนอยู่หน้าป้ายวิญญาณของน้องสาวที่ทำขึ้นมาในสุสานของสกุลกง“พี่ใหญ่ท่านอย่าคิดมากเลย ซินเอ๋อร์เองก็มิได้โกรธท่านจริง ๆ หรอก ที่นางเอาแต่ใจก็แค่อยากให้ท่านหันไปสนใจนางเท่านั้นเอง”“ข้าไม่เคยได้มีโอกาสขอโทษ หรือทำดีกับซินเอ๋อร์เลยสักครั้ง จนกระทั่ง…”“พี่ใหญ่ ตอนนี้คนร้ายก็ได้ชดใช้ให้กับน้องเล็กแล้ว ท่านอย่าได้โทษตัวเองอีกเลยนะเจ้าคะ”“เจ้าพูดถูก แม้ว่านางจะไม่อยู่แล้วแต่ตอนนี้เจ้าเองก็อยู่ในร่างของนาง ทำดีกับเจ้าก็ไม่ต่างกับทำดีกับนาง”“ใช่แล้ว