หอศิลป์กรุงเทพฯ ตั้งอยู่แถวแยกปทุมวัน มีทั้งหมดสิบชั้นนับจากชั้นใต้ดิน ศศินปล่อยมือสาวเจ้าเมื่อเข้ามาในตัวอาคาร ที่นี่มีงานศิลป์รอให้เขาเสพมากมายหลายสิ่ง
“ตอนเรียนฉันเคยมาบ่อยๆ เพื่อนชอบน่ะ” รวีกานต์บอก พาศศินเดินไปขึ้นบันไดเลื่อนเพราะด้านล่างนี้ไม่ค่อยมีงานศิลป์ให้เสพ ไฮไลท์จะอยู่ที่ชั้นเจ็ดถึงเก้า ที่นั่นมีนิทรรศการงานศิลป์แวะเวียนมาจัดแสดงไม่ว่างเว้น
“เราไม่เดินข้างล่างก่อนหรือครับ”
“เดี๋ยวค่อยลงมาค่ะ ไปชั้นเจ็ดก่อน ชั้นนี้ถึงชั้นสี่ส่วนมากเป็นร้านค้า ชั้นห้ามีห้องประชุม ส่วนชั้นหกเป็นที่ตั้งสำนักงานค่ะ” อธิบายแล้วมองวงหน้าหล่อเหลาขณะที่สืบเท้าเข้าไปหาบันไดเลื่อน
ศศินรู้ตัวว่าถูกมองอย่างชื่นชม รู้สึกเขินต่อดวงตากลมโตคู่นั้น แต่ไม่อาจร้องขอให้หล่อนเลิกมอง เขาเลยเสสายตาไปทางอื่นเสีย และเมื่อเดินมาถึงบันไดเลื่อน สตรีร่างบางในชุดสีชมพูยาวกรอมเท้าก็ทำให้เขาประหลาดใจ หล่อนเห็นเขาเช่นกัน หมวกไหมพรมใบเล็กบางจึงถูกดึงปิดหน้าอีกนิด แว่นกันแดดสีชาเข้มกับหน้ากากอนามัยก็เช่นกัน ดูเผินๆ คงไม่มีใครจำเวนิสาได้
เขาขึ้นบันไดเลื่อนตามหลังรวีกานต์ ห่างจากหล่อนแค่บันไดขั้นเดียว ในขณะที่เวนิสาอยู่ข้างหลัง ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าเขาอยู่ตรงกลางระหว่างสตรีสองนาง บันไดเลื่อนเคลื่อนขึ้นไปแต่รวีกานต์เอาแต่มองมาข้างหลัง
“มีอะไรครับ”
“เอ่อ...คนที่อยู่ข้างหลังบอสน่ะ ดูคุ้นๆ นะคะ”
“หรือครับ คงไม่รู้จักมั้ง ถ้ารู้จักคงทักเราแล้ว อาจมากับทัวร์จีนข้างหลังมั้งครับ”
เขารีบแก้ต่าง ดีที่มีทัวร์กลุ่มใหญ่รั้งท้ายให้เขาใช้เป็คนข้ออ้างได้ รวีกานต์เลยพยักหน้าว่าเข้าใจ ก่อนจะหันไปมองเบื้องหน้า และเมื่อบันไดเลื่อนสู่ชั้นสาม แม่คนที่อยู่ข้างหลังก็โผล่หน้าลงไปมองด้านล่าง เขาหันไปเจอพอดี มือสองข้างของหล่อนจับราวบันไดแน่น เหมือนหล่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ มีเหงื่อซึมลงมาจากขมับทั้งที่ในนี้เปิดแอร์เย็นเยียบ ใช่สิ...หล่อนกลัวความสูงนี่นา
แขนซ้ายของศศินค่อยๆ เลื่อนไปด้านหลัง เขาแบมือค้างไว้แล้วแอบหันไปหาเวนิสา หล่อนเงยหน้ามามอง เขาเห็นดวงตาหล่อนผ่านแว่นสีชา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความกลัว เขาเฝ้ารอให้อีกฝ่ายยอมรับสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ มันไม่ใช่สิ่งของ ไม่ใช่ของมีค่า แต่มันคือความเอื้ออาทรที่เขาสามารถให้หล่อนได้ แล้วในที่สุดมือน้อยของหล่อนก็วางลงบนมือเขา สัมผัสเย็นชื้นแต่กลับทำให้อุ่นถึงหัวใจ สองมือจากสองคนกำกันแน่นหนึบ ศศินรู้ถึงเหงื่อชื้นๆ ของฝ่ามือน้อย
หัวใจของเวนิสาเต้นรัว ทั้งกลัวความสูง และกลัวความเมตตาที่เขาหยิบยื่นให้ เพราะหากรวีกานต์รู้เข้าละก็เป็นเรื่องแน่ๆ
แม่ดาวพระศุกร์พยายามแกะมือศศินออก แต่ไม่เป็นผล เขากลับจับมือเธอไว้แน่น จนในที่สุดเธอก็ต้องยอมพ่ายแพ้ ยอมรับว่าอุ่นใจยามมือน้อยตกอยู่ในอุ้งมือใหญ่ ได้แต่ปลอบโยนหัวใจว่าอย่าได้วิตกกังวลนัก รวีกานต์คงไม่รู้หรอก เดี๋ยวก็ถึงชั้นเจ็ดแล้ว
“อา...ถึงแล้ว ที่นี่เขางดใช้เสียงนะคะ” รวีกานต์กระซิบใกล้หูศศิน พาเขาเดินไปทางขวาในขณะที่เวนิสาเลี่ยงเดินไปทางซ้ายกับพวกทัวร์จีน
ศศินเดินตามรวีกานต์อย่างเป็นกังวล นึกห่วงคนที่กลัวความสูงตงิดๆ วันนี้มีจัดแสดงภาพเขียนของจิตรกรหลายท่าน ก็อยากเดินดูให้สมใจ แต่ว่า...
“เอ่อ...ขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ แล้วจะรีบมา” เขาเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ
รวีกานต์ส่งสัญญาณมือว่าโอเค ก่อนจะหันไปมองภาพเขียนที่จัดแสดงไว้ต่อ เธอไม่ได้ชื่นชอบงานศิลป์มากมาย แต่ดูเพราะเห็นว่ามันแปลก และทึ่งกับสิ่งที่เหล่าจิตรกรรังสรรค์ขึ้นเท่านั้น เธอแค่อยากรู้ว่าพวกเขาเล่านั้นวาดขึ้นมาได้อย่างไร
ทางด้านบิ๊กบอส เขาไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำอย่างที่เอ่ยอ้าง แต่เดินกลับมาทางเดิม ตรงไปทางซ้ายจากบันไดเลื่อน สองตาแลหาแม่สาวชุดสีชมพู แล้วในที่สุดก็เห็น หล่อนนั่งอยู่บนพื้นข้างผนัง หลบมุมเล็กน้อย มีกลุ่มทัวร์จีนบังหล่อนไว้ เขาจึงมองไม่เห็นตั้งแต่ทีแรก
ขายาวๆ ก้าวเข้าหาคนร่างบาง ก่อนจะนั่งยองๆ ลงตรงหน้าหล่อน ดึงหมวก แว่นตา และหน้ากากอนามัยของหล่อนออก
“เอ๊ะพี่!”
“ชู่ว์...เบาๆ สิ” เขาติงด้วยเสียงกระซิบ ดึงมือเวนิสามาดูก็เห็นชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาเอาหมวกนิ่มๆ ของหล่อนเช็ดไปตามฝ่ามือ ส่งสัญญาณให้หล่อนหายใจเข้าออกลึกๆ จะได้หายจากอาการที่เป็น “กลัวความสูงแล้วมาที่นี่ทำไม”
“ฉันมาบ่อย แต่ทุกทีเกาะแขนตะวันหรือไม่ก็เจ๊หวานตอนขึ้นบันไดน่ะ” บอกเขาด้วยเสียงที่เบาไม่แพ้กัน ต้องหายใจเข้าออกแรงๆ เพื่อลดอาการที่เป็น
ความกังวลคลี่คลุมหัวใจของศศิน อยากพาหล่อนกลับบ้านหรือไม่ก็พาไปหาหมอให้รู้แล้วรู้รอด
“กลับเถอะ เธอเดินไม่ไหวหรอก”
“ไหวน่า อุตส่าห์มาทั้งที มีภาพเขียนดีๆ เยอะเลย ขอฉันดูก่อน กว่าจะหาเวลามาได้ไม่ใช่ง่ายๆ นี่นา” เธอชี้แจง โบกลมเข้าตัวด้วยมือน้อย แล้วจู่ๆ เหงื่อที่ผุดซึมข้างขมับก็ถูกปาดเช็ดด้วยหลังนิ้วของศศิน เขาดูตั้งอกตั้งใจในสิ่งที่ทำอยู่ ทั้งที่ไม่ต้องทำก็ได้
ตอนพิเศษจูบนี้คือสัญญา__________ห้าปีผ่านไปไวเหมือนนิยาย หน้าร้อนปีนี้เวนิสาพาครอบครัวและเพื่อนรักมาพักผ่อนหย่อนใจที่เกาะชื่อดังทางภาคใต้ ด้วยพุงป่องๆ ของการตั้งครรภ์เข้าเดือนที่ห้าของเธอ ทำให้ศศินไม่อนุญาตให้นั่งเครื่องออกนอกประเทศ ทริปวันหยุดสุดหรรษาเลยตกลงปลงใจที่เกาะแห่งหนึ่งในไทยนี่เอง ในยามนี้ปลายภูและรวีกานต์ คงกำลังรำลึกความหลังเมื่อครั้งแต่งงานกันใหม่ๆ คงพากันเดินจูงมือดื่มด่ำคลื่นลมที่ชายทะเล ส่วนเจ๊หวานอาสาดูแลเด็กๆ ให้ ช่างเป็นทริปที่สุขีเกินจะกล่าวจริงๆ“อืม...ถอดหน่อยๆ ไม่ไหวแล้ว...”เวนิสาอ้อนพ่อของลูกอยู่ที่บาร์เครื่องดื่ม ศศินในชุดที่นุ่งเพียงกางเกงขาสั้น สวมเสื้อลายดอกไม่ติดกระดุม อวดแผงอกล่ำๆ ยั่วใจศรีภรรยา เขายังพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยว่าตอนนี้เพิ่งเที่ยงเท่านั้น“ไม่เอา เดี๋ยวชาวบ้านเห็น ไปดูลูกก่อนดีกว่านะคะคนดี” ศศินอ้อนเมีย พยายามดึงมือที่กำลังลูบไล้แผงอกเขา ขนาดท้องอยู่ยังหื่นได้ใจนะแม่ตัวแสบ“ไม่เอา พี่อ่า...เมื่อคืนน้องจูนก็งอแง น้
ในค่ำคืนที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกน้ำค้าง แลเห็นดวงดาราน้อยใหญ่ประปราย ณ ที่ตรงนั้นท่ามกลางหมอกหนาและดาราพร่างพราว พระจันทร์ดวงใหญ่กำลังอวดโฉมสีเหลืองนวลตาเวนิสากับกลุ่มเพื่อนนั่งสังสรรค์กันอยู่ บนระเบียงดูดาวเหนือหลังคาเรือนพัก พวกเขาปูเสื่อลงนั่ง มีผ้าห่มคนละผืน มีเครื่องดื่มวางตรงหน้าทั้งขนมขบเคี้ยวมากมาย เสียงหัวเราะและรอยยิ้มแห่งความสุขกระจ่างอยู่บนใบหน้าของทุกคน ตั้งแต่หัวค่ำกระทั่งค่อนคืนเมื่อเบียร์มากกว่าหนึ่งโหลถูกเทใส่กระเพาะน้อย ไม่นานหลังจากนั้นเจ๊หวานก็สลบเหมือด รวีกานต์กับปลายภูอาสาพยุงร่างหมีของเจ๊ลงไปส่งที่ห้องพัก แน่นอนว่าเพื่อนสาวของเวนิสาไม่ได้ขึ้นมาที่ระเบียงดูดาวอีก ตอนนี้จึงเหลือเพียงแม่ดาวพระศุกร์คนงามกับพ่อพระจันทร์ดวงโต“อืม...ทีนี้ก็ไม่มีก้างขวางคอแล้วเนาะ”ศศินว่าแล้วขยับไปหาเวนิสา พาร่างหล่อนนอนลง ใช้ผ้าห่มของตัวเองห่มทับทั้งสองร่างอีกชั้นหนึ่ง เขามองขึ้นไปบนฟ้า ท่ามกลางหมอกหนายังแลเห็นดาวพระศุกร์ขึ้นเคียงข้างดวงจันทร์ เขาเผยรอยยิ้มละไม“พี่ยิ้มอะไรคะ”“ฉันน่ะ...เหมือนคนโง่แ
เจ๊หวานพยักหน้าเข้าใจ หากเปรียบผู้ชายเป็นของกินได้ ก็แสดงว่าผ่าน เพราะคนเราก็ยังต้องกินเพื่อความอยู่รอด อย่างน้อยรวีกานต์ก็ไม่ต้องทนง่วงอีกต่อไป เพราะมีม็อคค่าปั่นให้ซดทั้งคืน!“แล้วหล่อนละยะแม่ดาวพระศุกร์ ผู้ชายของหล่อนเป็นยังไง”เวนิสาถอนหายใจเฮือกๆ ศศินนั่นหรือ ยังไงดีล่ะ“ก็ดี...พอมองย้อนกลับไป ก็จำได้ว่าเวลาลำบาก เขาก็คอยดูแล คอยปลอบโยน คอยให้กำลังใจ คอยเป็นเพื่อนคู่คิด แม้ว่าความเจ้าอารมณ์ของเขาจะทำให้ฉันอยากจับเขาลงทอดในกระทะก็เถอะ เขาน่ะ ปากร้ายแต่ใจดี บางครั้งการกระทำกับคำพูดก็สวนทาง เรื่องนี้ฉันต้องทำใจให้ชิน”“แล้วไงยะ ก็โอเคในเรื่องนั้น แล้วเรื่องแซ่บล่ะ แซ่บมะ” เจ๊หวานยิ้มหื่นๆวนิสาหรี่ตามอง นึกว่าเธอจะไม่กล้าตอบหรือ เธอไม่ใช่แม่แสงตะวันผู้เหนียมอายนะ“แซ่บเว่อร์ค่าเจ๊! ฮ่าๆๆๆ”“อ๊ายยย!!!”เจ๊ร้องระงมเพราะถูกใจ เหล่าคนงานและสองหนุ่มเมืองกรุงฯ หันมามองทางพวกเธอ ปลายภูโบกมือใส่รวีกานต์ ส่งยิ้มหวานให้กันอย่างข้าวใหม่ปลามันที่แรกรักน้ำต้มผักยังหวานอยู่ ส่วนศศ
เวนิสาหรี่ตามอง ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง “มาปิดให้ไว!”“คร้าบ! ปิดเดี๋ยวนี้คร้าบ!” ศศินจำต้องเดินรอบเตียงเพื่อมาปิดโคมไฟให้แม่ของลูก เอาเถิด จัดมาเสียให้พอ ให้ต้องโดนเมิน ต้องโดนจิกหัวหรือต้องเป็นทาสก็จัดมา สักวันเมื่อเวนิสาเริ่มเบื่อ หล่อนคงกลับมาเป็นแม่ดาวพระศุกร์ผู้น่ารักของเขาเหมือนเดิมกระมัง_________พระอาทิตย์ดวงใหญ่โผล่ขึ้นทางทิศตะวันออก เหนือยอดเขา มันเริ่มโผล่ขึ้นมาทีละนิดๆ ราวกับพู่กันอันใหญ่ที่จุ่มสีส้มแดงคอยแต้มแต่งเวิ้งฟ้ารวีกานต์จ้องมันไม่วางตา หมอกน้ำค้างเหนือชายคายังคงแรงอยู่ แต่มิอาจขัดขวางความตั้งใจ รอบๆ เรือนไม้ของปลายภูโอบล้อมด้วยต้นกาแฟเขียวชอุ่ม มันกินพื้นที่ทั่วทั้งหุบเขา ไม่ต้องบอกว่ามีมูลค่าทางการตลาดมากเท่าใด เธอไม่อยากคาดคิดเพราะอาจทำให้ตัวเองจุกความสุขตาย ในที่สุดฝันของเธอก็เป็นจริงสินะ ฝันว่าสักวันจะได้กลายเป็นซิลเดอเรลล่าของเจ้าชายรูปงามความรักที่เธอมีให้ปลายภูนั้น แม้ไม่ได้ถึงขั้นคลั่งไคล้หลงใหล แต่มันคือรักซึมลึกที่เธอเองยังไม่รู้ตัว ไม่ได้หวือหวา แต่แอบผลิดอกงอกงามในจิตใจ คว
[21]คำสัญญาจากพระจันทร์______________ไร่กาแฟ ณ ปลายภู สัปดาห์ถัดมาเรือนไม้หลังงามผุดขึ้นท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อมด้วยต้นกาแฟ เส้นทางลดเลี้ยวยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา ทำให้สองสาวเมารถมากกว่าจะได้ชื่นชมธรรมชาติ กว่าจะนั่งรถขึ้นมาถึงบนนี้ได้ ว่าที่คุณแม่ทั้งสองก็จอดรถอาเจียนไปหลายรอบ รวีกานต์ถึงกับหมดแรงนั่งซบอกพ่อเด็กน้อย ในขณะที่เวนิสานั่งหน้าบูดอยู่เบาะข้างหลังบนรถตู้คันหรู ส่วนเจ๊หวานจ้อเจรจาอยู่ด้านหน้ากับคนขับรถวัยขบเผาะหุ่นล่ำหน้าโหด ที่ถูกใจนางเสียเหลือเกิน“ใกล้ถึงแล้วครับ ตะวันไหวไหม”รวีกานต์ส่ายหน้า ปลดเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อจะได้กอดปลายภูดีๆ เธอซุกหน้าเข้าหาอกเขาราวลูกแมวตัวน้อยที่ต้องการไออุ่นจากเจ้าของ ปลายภูยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชอบใจนักเวนิสามองเพื่อนรักกับปลายภูผ่านทางช่องว่างระหว่างเบาะนั่ง ได้แต่เบะปากใส่เพราะหมั่นไส้“นี่! แกจะอ้อนเด็กเพื่อ!?”“เรื่องของฉันน่า นั่งเงียบๆ ไปเลย คนจะสวีตกัน เนาะภูเนาะ”รวีกานต์ยิ้มหวานอย
“แล้วเธอมาทำไม!” น้ำเสียงที่ใช้ไม่ค่อยพอใจนัก จากแค่ประหม่ามึนงง ก็เริ่มมีอารมณ์โกรธเข้ามาปะปน เวนิสากำลังป่วนประสาทเขาอีกแล้วใช่ไหม“มาทำธุรกิจ”“หือ?”คนสวยยิ้มแป้น ก่อนจะอธิบาย“เรามาทำธุรกิจกัน เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต”“ยังไง”“ง่ายๆ เลย เราก็แค่ทำให้คนรอบข้างเรา เช่นพ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูง เข้าใจว่าเราสองคนตกลงกันได้เรียบร้อย พี่ก็รู้นี่ ตอนนี้แม่ถามยิกๆ ว่าเมื่อไหร่ฉันจะแต่งงานกับพี่ เมื่อเช้าพ่อพี่ก็โทรมา เพื่อนฉันขู่จะคว่ำบาตรถ้าไม่คืนดีกับพี่ ฉันเลยคิดว่า เพื่อความสบายใจของคนที่รักเราทุกๆ คน ฉันควรเสียสละความไม่สะดวกน้อยนิดแล้วร่วมมือกับพี่น่ะ”“ร่วมมืออะไร ไม่เห็นเข้าใจ” ศศินชักงง“เฮ้ย...พี่นี่โง่ปะเนี่ย พูดไปตั้งเยอะไม่เข้าใจได้ยังไง”“นี่ด่าฉันเหรอ!”“อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉันนะ!” ตะคอกมาตะคอกกลับ เวนิสาไม่โกงศศินหุบปากฉับ“เอาแบบนี้แหละ พี่เข้าใจแล้วนะ บอกพ่อพี่