หยางติงหอบหญ้าแห้งกอใหญ่เข้ามาพอดี ตามด้วยทหารที่หอบหญ้ามาอีกกอหนึ่ง
“ช่วยกันจับหญ้าพันให้เป็นรูปคนเร็วเข้า!” อินทุภาสั่ง แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่นานก็ได้รูปโครงคล้ายหุ่นไล่กา
เธอจัดแจงสวมเสื้อผ้าให้หุ่น ตามด้วยผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่ศีรษะ แล้วผูกตรงคอให้ดูเหมือนศีรษะคน
หญิงสาวสั่งการให้ทหารแปดคนรออยู่ที่นี่ โดยให้เอาหุ่นปลอมของท่านอ๋องขึ้นม้าและผูกไว้ด้านหลัง เมื่อศัตรูเข้ามาใกล้ ให้ทหารลาดตระเวนทำเสียงโวยวาย แล้ววิ่งออกไปล่อให้พวกมันไล่ตาม
ส่วนกลุ่มของอินทุภาจะมีทหารสองนายที่เหลือ หยางติง เสียวมี่ และท่านอ๋อง ซึ่งจะออกเดินทางทันทีที่ท่านอ๋องพอจะทรงตัวได้
“ไปเถอะ! ข้าพอไหว” หยางหมิงอวี้พูด พร้อมพยุงตัวพยายามลุกขึ้น
อินทุภาพยักหน้าให้หยางติงช่วยพยุง แล้วพาท่านอ๋องเดินออกไปด้านนอก เพื่อเตรียมออกเดินทาง"
"ฝ่าบาท... ไปกับหม่อมฉัน!" อินทุภากระซิบเสียงหนัก รีบพยักหน้าให้หยางติงและนายทหารช่วยกันพยุงท่านอ๋องขึ้นหลังม้า
เธอกระโดดขึ้นตามไปนั่งซ้อนหน้า ดึงชายผ้าคลุมมาผูกรัดตัวเองกับหยางหมิงอวี้ไว้แน่น ตอนนี้ไม่มีที่ว่างให้ความลังเล มีแต่ทางรอดเท่านั้น!
"เราต้องรีบพาท่านอ๋องกลับค่าย ที่นั่นปลอดภัยที่สุด! เสี่ยวติง! นายนำไปก่อน ส่วนท่านสองรั้งท้ายคุ้มกันท่านอ๋อง!" ออกคำสั่งจบ อินทุภาก็กระตุ้นม้าออกตัวทันที
เสียงฝีเท้าม้ากระทบพื้นดังก้อง การควบเต็มฝีเท้าทำให้เกิดแรงกระแทกหนักหน่วง ท่านอ๋องที่หมดสติไปแล้วก็โอนเอนไปมา อินทุภาต้องโน้มตัวไปข้างหน้า เกร็งตัวเป็นหลักยึด ไม่ให้เขาร่วงหล่น ในจังหวะที่ม้าพุ่งทะยานฝ่าความเป็นความตาย
"มันตามมาแล้ว!" เสียงตะโกนของทหารทางด้านหลังทำให้หัวใจของเธอกระตุก
อินทุภากระตุ้นม้าให้เร่งฝีเท้าเข้าไปอีก ม้าตัวเขื่องเหมือนจะรับรู้ถึงอันตราย มันวิ่งเร็วขึ้นจนแซงหยางติง ทิ้งระยะห่างจากพวกคนชุดดำไปได้พอสมควร แต่ทันใดนั้น…
พรึ่บ!
ร่างในชุดดำพุ่งออกจากข้างทาง ม้าของอินทุภาผงะสุดตัว เธอต้องดึงบังเหียนขึ้นจนสุดแขน สองขาหน้าของมันยกขึ้นกลางอากาศ กระแทกเข้ากับไหล่ของคนชุดดำ ที่กำลังง้างธนูเตรียมยิง ร่างนั้นปลิวกระเด็นถอยหลังไปอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ในจังหวะเดียวกัน ปมผ้าที่เคยผูกไว้แน่นก็กลับคลายออก
ร่างของหยางหมิงอวี้ ลื่นไถลลงจากหลังม้าไปอย่างควบคุมไม่ได้ และผ้าคลุมนั้นก็ดึงรั้งให้อินทุภาไถลตามลงไปด้วย
เธอไม่มีทางเลือก ต้องปล่อยบังเหียนแล้วกระโจนลงมา ร่างกระแทกเข้ากับพงหญ้าสูงท่วมหัว กลิ้งไปหลายตลบจนสุดท้ายไปหยุดอยู่ข้างกายของหยางหมิงอวี้ ที่กลิ้งมาก่อนหน้านี้
หญิงสาวรีบทรงตัวขึ้น ดึงมีดสั้นจากหน้าแข้งที่ชายหนุ่มเคยให้ไว้ออกมาเตรียมพร้อม และนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะเอาชีวิตรอด
เธอคลานต่ำ ฝ่าพงหญ้าออกไปให้ห่างจากร่างของหยางหมิงอวี้มากที่สุด ดวงตาเพ่งไปยังร่างในชุดดำที่ก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ มันชักดาบออกจากฝักด้วยท่าทางย่ามใจ คงจะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิง ยังไงก็คงหนีไม่พ้น
หัวใจอินทุภาเต้นรัวแรงแทบจะหลุดออกจากอก เธอไม่มีทางสู้ตัวต่อตัวกับดาบยาวในพื้นที่แบบนี้ได้ ทางเดียวคือต้องโจมตีก่อน และต้องแม่นยำที่สุด โอกาสมีแค่ครั้งเดียว ถ้ามันไม่ตาย..เธอกับหยางหมิงอวี้ก็คงไม่รอด
อินทุภากระชับมีดสั้นแน่น ก่อนจะยกมือขึ้นพนมจรดหน้าผาก สวมวิญญาณสายมูฯ ภาวนาให้ฟ้าดินเป็นใจ ขอให้แม่น ขอให้โดน!
หญิงสาวกลั้นหายใจ กำสองมือที่กำลังสั่นไว้แน่น หลับตาตั้งสติ พยายามทำจิตใจให้สงบ ฝืนความกลัวที่กำลังแล่นพล่านอยู่ในอก พลันรีบลืมตาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
แสงสลัวของรัตติกาลบดบังทุกสิ่ง แต่หูของเธอจับตำแหน่งเป้าหมายได้ชัดเจน หญิงสาวอดทนรอจนมันเข้ามาใกล้ในระยะเผาขน แล้วสะบัดข้อมือ ปามีดออกไปสุดแรงทันที
ฟิ้วววว! ..ปึ้ก!
"อ๊ากก!!"
เสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดทำให้เธอสะดุ้ง แต่ภาพตรงหน้ากลับยืนยันทุกอย่าง มีดปักคากลางอกเป้าหมายอย่างแม่นยำ มันผงะหงายหลัง ล้มลงไปทั้งยืน
อินทุภานิ่งอึ้ง ไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด ที่ขว้างมีดเป็นครั้งแรก แล้วมันเข้าเป้าแบบตรงเผ็ง เป็นเพราะเป้าที่ปาไปนั้น ไม่ใช่ฟาง ไม่ใช่ขอนไม้ แต่เป็นเนื้อคน!
พับผ่าสิ! ฉันฆ่าคนจริงๆ!!
อินทุภาขนลุกซู่ไปทั้งตัว ใจสั่นไปหมด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ฆ่าคน ความรู้สึกมันต่างไปจากการตบยุงตาย หรือฆ่ามดเหมือนที่เคยทำเป็นประจำหลายเท่าตัว
หญิงสาวกลั้นใจ เดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยื่นมือสั่นเทาแตะใต้จมูกของมัน หวังตรวจดูว่ายังหายใจอยู่หรือไม่ แต่ทันใดนั้น
พรึ่บ!
มันลืมตาโพลง! มือกระชากแขนเธอแน่น!
"กรี๊ดดด!!" อินทุภาสะดุ้งสุดตัว กรีดร้องออกมาเพราะตกใจสุดขีด ก็มีดเสียบคาอกขนาดนั้น แต่ทำไมมันไม่ตาย
"ปล่อยนะ! ปล่อย!" หญิงสาวหวีดร้อง ดิ้นรนสุดชีวิต อารามตกใจเลยถีบแขนมันเต็มแรง แต่ดันไปกระทืบโดนด้ามมีดที่ปักคาอกเข้าไปอีก
พรวด!
คราวนี้มิดด้าม... มันกระตุกเฮือก... ตายสนิท!
อินทุภายังคงนั่งตัวแข็ง ตามองเขม็งเฝ้าดูมันอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยความกลัวว่ามันจะฟื้นขึ้นมาอีก แต่เมื่อเห็นว่ามันแน่นิ่งไปแล้วจริงๆ จึงค่อยๆ ลุกขึ้น ด้วยมือที่สั่นระริก ข่มความรู้สึกคลื่นไส้ก่อนจะดึงมีดสั้นออกมา
กลิ่นคาวเลือดคลุ้ง ทำให้หญิงสาวยกหลังมือปิดจมูก รีบหายใจทางปากแทน ใช้เสื้อของมันเช็ดมีดอย่างลวก ๆ แล้วเก็บเข้าฝักด้วยความขยะแขยง
เธอไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียเวลาไปอีก รีบวิ่งไปที่ม้าของคนชุดดำที่กำลังเล็มหญ้า ปลดสายกระบอกธนูจากอานม้ามาสะพาย แล้วยกคันธนูขึ้นพาดบ่า จากนั้นฟาดไปที่สะโพกม้าทั้งสองตัวเต็มแรง!
เสียงหวีดร้องของพวกมันดังขึ้น ก่อนที่จะสะบัดหัว แล้วกระโจนทะยานหายไปในความมืด
อินทุภาค่อยๆ ย่องเข้าไปในพงหญ้าอย่างระมัดระวัง ตรงจุดที่หยางหมิงอวี้นอนอยู่ เธอเอื้อมมือจับชีพจร ตรวจดูจังหวะลมหายใจ ไล่มือตรวจหาร่องรอยบาดแผลตามร่างกาย พอแน่ใจว่าเขาปลอดภัยดี จึงหยิบผ้ามาคลุมตัวเขาไว้ก่อน แล้วละสายตาหันไปซุ่มดูความเคลื่อนไหวบนถนนด้านบน
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น สองตัวควบผ่านไป ทิ้งระยะห่างกับม้าอีกสองตัวที่วิ่งตามหลังไม่ไกล อินทุภาเงี่ยหูฟัง พลางกำด้ามมีดสั้นไว้แน่น
ไม่นานเสียงฝีเท้าม้ากลุ่มใหญ่ก็ดังกระหึ่มขึ้น ควบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว เธอไม่แน่ใจว่ากลุ่มหลังนี้เป็นพวกไหนกันแน่
“เป่าเปา...” เสียงแหบเบาที่คุ้นเคยดังขึ้น อินทุภาสะดุ้ง รีบผวาเข้าหาเขาทันที
“ฝ่าบาท! ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” เธอเอื้อมมือแตะใบหน้าของเขา ลูบแก้มเบา ๆ ด้วยความเป็นห่วง
“รู้สึกระบมไปทั้งตัวเลย...” เขาพึมพำ แววตาฉายแววงุนงง “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเรามานอนอยู่ตรงนี้?”
“พวกมันซุ่มโจมตี ฝ่าบาทตกจากหลังม้า แต่หม่อมฉันสังหารมันแล้ว” เธอกระซิบ “ตอนนี้ต้องซ่อนตัวสักพัก ก่อนหาทางกลับค่าย” หยางหมิงอวี้มองหญิงสาว แล้วยิ้มบางๆ
“เก่งจริงๆ... เมียรัก”
อินทุภาถลึงตาใส่ทันที “เฮอะ! หม่อมฉันยังไม่ได้เป็นซะหน่อย” เธอประท้วงเสียงเบา
“เป็น!” เขายกมือขึ้น ลูบแก้มของเธอด้วยความอ่อนโยน “เจ้าเป็นของข้า ทั้งยามหลับและยามตื่น... ช้าเร็วก็ต้องได้เป็นผัวเมียกันอยู่ดี”
อินทุภาย่นจมูก “ฟื้นปุ๊บก็ออกลายเจ้าชู้เลยนะเพคะ”
แบบนี้เจ็บไม่จริง! ชัวร์!
หยางหมิงอวี้เลื่อนมือไปประคองท้ายทอยของเธอ รั้งร่างโปร่งบางลงมาให้เอนมานอนหนุนแขนของเขา อินทุภามองสบตาเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยอมทำตามโดยง่าย ไม่แม้แต่จะขัดขืน
อินทุภาอุทานออกมาด้วยความตื่นตาตื่นใจ เมื่อถูกเขารั้งให้นอนหงายข้างกัน ท้องฟ้ายามราตรีเปิดกว้าง เผยให้เห็นหมู่ดารานับไม่ถ้วนระยิบระยับเต็มผืนฟ้า คล้ายทะเลดาวที่ไร้จุดสิ้นสุด
"สวยไหม?" เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นข้างหู
"สวยเหลือเกินเพคะ! งดงามกว่าท้องฟ้าในโลกของหม่อมฉันเสียอีก ไม่เคยเห็นดาวพร่างพราวขนาดนี้มาก่อนเลย!" หญิงสาวพูดพลางยกมือขึ้น วาดปลายนิ้วไปมาบนอากาศราวกับจะสัมผัสความงามนั้นด้วยมือตัวเอง
หยางหมิงอวี้ยังคงนอนนิ่ง มีเพียงแขนของเขาที่เคลื่อนไหว มือข้างที่อินทุภานอนหนุนอยู่ เลื่อนลงรองรับแผ่นหลังบาง ก่อนจะรั้งร่างเธอให้ตะแคงเข้าหา นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาทอดมองเธอนิ่ง ลุ่มลึกราวกับต้องมนตร์สะกด อินทุภาหัวใจเต้นแรง ไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลย
ริมฝีปากของเขาประทับลงเบาๆ ที่หน้าผาก ก่อนจะไล้ลงข้างแก้ม เปลือกตา และปลายจมูก สัมผัสแผ่วเบาทว่าหนักแน่นจนเธอต้องหลับตา เพื่อซึมซับรับรสสัมผัสนั้น ปลายลิ้นร้อนของเขาลากแตะริมฝีปากของเธอแผ่วเบา เป็นจุมพิตที่จุดประกายความร้อนรุ่มขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว อินทุภาตัวแข็งทื่อ ความรู้สึกวาบหวามแปลกใหม่ แล่นผ่านไปทุกอณูของร่างกาย
เขาโอบรัดเอวบางแนบชิดยิ่งขึ้น ริมฝีปากไล้ผ่านมุมปากของเธอช้าๆ อย่างจงใจ ก่อนจะกดจุมพิตตรงรอยหยักของริมฝีปากบน และเลื่อนลงมายังริมฝีปากล่าง จังหวะที่เขากำลังจะบดเบียดจูบให้เต็มที่ อินทุภากลับหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
หยางหมิงอวี้ชะงัก ผละออกเล็กน้อย ดวงตาคมหรี่มองเธออย่างไม่อยากเชื่อ
"อิงอิง! เจ้านี่มัน.. เหลวไหลจริง! ไม่มีใครบอกหรือว่า ไม่ควรหัวเราะใส่หน้าผู้ชายที่กำลังจะจูบเจ้า?" น้ำเสียงเขาฟังดูคาดโทษปนเอ็นดู
อินทุภาตาเบิกกว้าง อ้าปากค้างไปชั่วขณะ...
ซวยแล้วไง! งานเข้า!
"เอ่อ..ขอประทานอภัยเพคะ แต่หม่อมฉันอดขำฝ่าบาทไม่ได้จริงๆ พระองค์ทำเหมือน กำลังจะลองลิ้มชิมรสหม่อมฉันไปทีละนิด..ทีละนิดอย่างนั้นแหละ" เธอว่าพลางกลั้นยิ้มสุดความสามารถ
หยางหมิงอวี้มองเธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างท้าทาย
"หึ! เจ้าต้องการให้ข้าชิมรวดเดียวเลยใช่หรือไม่?" อินทุภาหน้าร้อนวูบ รีบยกมือปิดปากตัวเองทันที
ตะ..ตายแล้ว! นี่ฉันไปกระตุกหนวดเสือเต็มแรงเลยใช่ไหม!?
“ไม่ชิมแล้ว! ทีนี้จะกินเลยล่ะ!” เขามองเธอนัยน์ตาพราว แล้วก้มมาหาอย่างรวดเร็ว
เขาจูบอย่างดื่มด่ำ อย่างที่เธอไม่เคยถูกจูบเต็มที่แบบนี้มาก่อน เป็นอีกหนึ่งบทเรียนใหม่ที่อินทุภาได้เรียนรู้ มือของเขาอีกข้าง ที่ไล้อยู่ที่เอวค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้น กระทั่งมาวางนิ่งอยู่บนเนินอก
“เป่าเป้ย์” เสียงของเขาแหบพร่า “เราเห็นจะต้องหยุดแค่นี้ก่อน”
“อย่าหยุดเลยเพคะ” เธอกระซิบอย่างลืมตัว มือหนึ่งไล้ตรงท้ายทอยเขา อีกมือหนึ่งวางซ้อนทับมือของเขาที่อยู่บนเนินอก
“โอย!” เขาทำเสียงเหมือนคราง “เจ้ารู้หรือเปล่าว่ากำลังอะไรกับข้า?”
เขาจับมือของเธอมาวางบนแผ่นอกของเขาแทน แล้วค่อยเลื่อนต่ำลงมาช้าๆ พอถึงหน้าท้อง เธอก็ชะงัก แม้ลึกๆ แล้วอยากสำรวจร่างกายของเขาบ้าง แต่ใจก็ยังไม่กล้าพอที่จะไปจับตรงนั้น ตรงๆ
“เอ่อ เพคะ หยุดดีกว่า” เธอรีบทรงตัวลุกขึ้นนั่ง “ฝ่าบาทเองก็ยังระบมทั้งตัวไม่ใช่หรือเพคะ”
“นั่นสิ ไม่สะดวกทุกทาง” เขาถอนใจแรง
อินทุภาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามา จึงก้มตัวลงใช้พงหญ้าสูงพรางตัวไว้ แสงแรกของวันเริ่มสลายความมืดให้ค่อยๆ หายไป ทำให้เธอเห็นทุกอย่างรอบตัวชัดเจนขึ้น
จ้าวพายุ!
หญิงสาวรีบลุกขึ้น แหวกพงหญ้าเดินตรงไปหาม้าสีดำตัวใหญ่ที่ยืนอยู่บนถนน เมื่อคืนมืดเกินไป จนมองไม่เห็นว่า ม้าที่ขี่มานั้นคือจ้าวพายุ ม้าคู่ใจของท่านอ๋อง
จ้าวพายุเป็นม้าที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี แต่ภักดีต่อเจ้านายเพียงคนเดียว การที่มันยอมให้เธอขึ้นขี่ได้ แสดงว่ามันยอมรับในระดับหนึ่ง หรืออาจจะสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณ ที่รู้ว่าเจ้านายของมันกำลังต้องการความช่วยเหลือ
เมื่อคืนเธอจงใจตีให้มันหนีเตลิดไป เพื่ออำพรางศัตรู ตอนนี้มันคงหายตื่นตระหนกแล้ว จึงได้ย้อนกลับมา หญิงสาวลูบคอลูบหัวมันเบาๆ แล้วดึงสายบังเหียนจูงเข้าไปในพงหญ้า
“ฝ่าบาท ทรงตัวได้หรือไม่เพคะ?”
หยางหมิงอวี้พยายามลุกนั่งขึ้นก่อน แล้วโอบไหล่อินทุภาเอาไว้เป็นหลัก ค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืน อย่างเชื่องช้า จากนั้นก็พยายามรวบรวมกำลังขึ้นหลังม้า แต่ทำได้อย่างทุลักทุเล เพราะหญิงสาวตัวเล็กเกินไปที่จะประคองเขาได้เต็มที่ และจ้าวพายุก็เป็นม้าตัวสูงใหญ่
อินทุภาค่อยๆ ดึงตัวขึ้นนั่งด้านหน้า ระวังไม่ให้ไปกระทบแผลของเขามากนัก เมื่อทรงตัวได้แล้ว เธอก็หมุนกระบอกธนูมาไว้ด้านหน้าก่อน แล้วดึงชายผ้าคลุมของเขามาผูกรัดตัวเองกับเขาไว้เพื่อความมั่นคง แล้วเลื่อนสายสะพายคันธนูมาเฉียงไหล่ เพื่อเตรียมสำหรับพร้อมออกเดินทาง
“พร้อมไหมเพคะ?”
เขาไม่ตอบ แต่โอบเอวเธอไว้แน่น
“จ้าวพายุ! พาท่านอ๋องกลับค่ายฯ!”
อินทุภาก้มลงกระซิบกับม้า แล้วตบบ่ามันเบาๆ ราวกับจ้าวพายุรู้หน้าที่ดี มันยังไม่ทันได้ยินเสียงกระตุ้นจากเธอ ก็เริ่มออกเดินเร็ว แหวกพงหญ้าออกสู่ถนน
จ้าวพายุควบเร็วมาได้ประมาณชั่วยาม ก็มีเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวตามมา อินทุภาหันไปมอง เห็นกลุ่มคนชุดดำบนหลังม้าประมาณเจ็ดถึงแปดตัว กำลังไล่ตามมาอย่างกระชั้นชิด
หูผีจมูกมดจริงๆ! ได้กลิ่นเร็วเหลือเกิน แล้วก็ตามเกาะติดอย่างกับปลิง!
“ฝ่าบาท!” อินทุภาส่งเสียงตะโกนแข่งกับลม มือข้างว่างจับมือของเขาที่โอบอยู่บริเวณเอว มาวางบนสายบังเหียน หยางหมิงอวี้เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องถาม เขากัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ แล้วจับสายบังเหียนไว้มั่น เพื่อควบคุมม้าแทนอินทุภา
หญิงสาวไม่รอช้า ดึงคันธนูที่สะพายไหล่ออกมาถือไว้ แล้วทรงตัวยืนขึ้นบนบังโคลนอย่างมั่นคง งอเข่าเล็กน้อย เกร็งเท้าเหยียบไว้แน่น พร้อมกับหันลำตัวส่วนบนไปด้านหลัง เล็งเป้าหมายแรกได้แล้วก็ปล่อยศรออกไปทันที
ฟิ้วววว! ปึ้ก!!
ลูกศรพุ่งตรงเป้า ทหารคนหนึ่งร่วงจากหลังม้าทันที เธอรีบทำซ้ำอย่างรวดเร็ว ง้างศรแล้วปล่อยอีกสี่ถึงห้าดอก จากหางตาที่สังเกตเห็น มีทหารศัตรูร่วงลงไปบ้าง แต่ยังคงมีอีกหลายคนที่ตามมาอย่างไม่ลดละ
โห่ๆๆๆๆๆๆๆๆ!!
ทันใดนั้น เสียงโห่ร้องดังกึกก้องมาจากทางด้านหน้า อินทุภาหันขวับไปมองอย่างตกใจ และก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นกองทหารม้าของฝ่ายเดียวกันหลายสิบนาย กำลังควบม้าสวนทางเข้ามาอย่างรวดเร็ว
อินทุภาทิ้งตัวลงนั่งบนหลังม้าอย่างโล่งอก หยางหมิงอวี้ยังคงโอบเอวเธอไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยังคงควบคุมสายบังเหียนอย่างมั่นคง
“เก่งมาก เมียรัก” เขากระซิบพร้อมกับกดจูบเบาๆ ที่ต้นคอด้านหลัง อินทุภาหันหน้าเข้าหาเขา ริมฝีปากของทั้งคู่พบกันในจังหวะที่เหมาะสม ราวกับเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จที่รอดพ้นจากสถานการณ์คับขันมาได้อย่างหวุดหวิด
……………………………...
“แม่ทัพใหญ่กลับมาแล้ว!!” เสียงตะโกนส่งต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อเห็นท่านอ๋อง ที่อยู่บนหลังเจ้าพายุควบเข้ามาจวนใกล้จะถึงค่ายฯ
ทหารหลายนาย รีบวิ่งกรูเข้ามารับนายใหญ่ลงจากหลังม้า แล้วช่วยกันแบกเข้าไปในกระโจมกลางค่าย อินทุภารีบสาวเท้าเดินตามเข้าไปโดยเร็ว
“ขอผ้ากับน้ำสะอาด ตามหมอด้วย เร็ว!!” เธอรีบสั่งการ มีทหารรับคำแล้ววิ่งออกไป
หยางหมิงอวี้นอนรอภรรยาที่พาลูกๆ ไปเข้านอนด้วยความอดทน ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับมานอนที่ห้องหรือว่าเผลอหลับนะ? เขากำลังจะก้าวเท้าลงจากเตียง ก็พอดีเห็นร่างอวบอิ่มยั่วยวนใจเดินเข้าประตูมาพอดี เขายิ้มอย่างยินดี อ้าแขนออกกว้างรอให้ภรรยาโผเข้าหาอินทุภายิ้มหวานเดินเข้าหาอ้อมแขนแข็งแรง แล้วกัดคางเขาเบาๆ เสียงฟ้าร้องครืนๆ มาแต่ไกลทำให้เธอชะงักเล็กน้อย"มีอะไรรึ?" หยางหมิงอวี้ถามเสียงอู้อี้ เพราะกำลังซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น"ฟ้าร้องเพคะ เด็กๆ กลัวเสียงฟ้าผ่า""เอาน่า คงยังไม่ใช่ตอนนี้ เสียงยังอยู่อีกไกล มาให้ผัวชื่นใจก่อน รออยู่นานแล้ว" เสียงเขาแตกพร่าฝ่ามือแข็งแรงจับท้ายทอยรั้งริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหา ล้วงลิ้นซอกซอนหาความอบอุ่นภายใน เขาอดอยากมาเป็นเดือนแล้ว เพราะต้องออกไปลาดตระเวน ลมปราณแทบจะแตกซ่านอยู่รอมร่อ ฝ่ามืออีกข้างลูบไล้เรือนร่างด้วยความรักใคร่หลงใหล แล้วช้อนบั้นท้ายกลมกลึงยกขึ้น กดแนบชิดกลางลำตัว ริมฝีปากซุกไซร้ซอกคอและไหล่บอบบาง ขบกัดเม้มเบาๆ จนเกิดรอยแดงจางๆ กระจายไปทั่ว"อาา..ฝ่าบาท" เสียงหวานครวญครางเบาๆเปรี้ยงงง!! ครืนนน!!แล้วอยู่ๆ ฟ้าก็ฟาดเปรี้ยงลงมาดังสนั่น เ
ตอนพิเศษ (1) ::: Cut Scene 1 :::คุณอรรพีพาตัวเองมาถึงที่วัดป่าจนได้ เธอฝันมาสองสามคืนแล้วว่า แม่ชีอินทุกรให้เธอเดินทางมาหา ซึ่งเธอก็ตั้งใจจะมาอยู่แล้ว เพื่อจะสอบถามเรื่องลูกสาวที่หายไป เธอมั่นใจว่า เธอต้องได้คำตอบจากคุณแม่อย่างแน่นอน "ไหว้พระเถอะลูก" แม่ชีอินทุกร ยกมือรับไหว้ระดับอก หลังจากคุณอรรพี ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ก้มลงกราบแบบเบญจางค์ประดิษฐ์"มาจนได้นะเรา เป็นอย่างไรบ้าง?""สบายแค่กายค่ะคุณแม่ แต่ในใจยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนนอนไม่ค่อยหลับ " เธอกล่าวเสียงเรียบแม่ชีอินทุกรถอนใจ แล้วยิ้มน้อยๆ"ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่เกิด ทุกข์กับสิ่งที่ยังไม่มี ทุกข์กับสิ่งที่ยังมองไม่เห็น ในเมื่อคำว่า "ยัง" มีแต่ความว่างเปล่า แล้วจะเก็บไปทุกข์ทำไมล่ะ""ลูกฝันเห็นยัยอินของเราค่ะ ฝันซ้ำๆ เดิมๆ แล้วแกก็มาหายไปแบบนี้ ก็รู้สึกเป็นห่วงมาก ติดต่อก็ไม่ได้""ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ ที่เจ้าอินหายไป""เขาเล่าให้ฟัง..ถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนูอินจะหายตัว พ่อเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปตามนั้น ตระกูลเขาเชื่อในเรื่องปาฏิหาริย์ ที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมา เลยไม่อยากให้แจ้งความ ให้รอจนกว่าลูกจะกลับมาเอง""เรื
"มีข่าวคืบหน้าทางหยางซื่อหรือไม่?" หวางกุ้ยเฟยถามองค์หญิงหยางมี่ ขณะกำลังปอกสาลี่ใส่จาน"เอ๋อเหนียงรู้ไหมว่า ชาวเมืองหยางซื่อ เขาเล่าลือกันอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้น!""เล่าลืออะไร?" หวางกุ้ยเฟยสงสัย"เขาพูดกันว่า พระชายาใช้พลังเวทย์ แสดงอิทธิฤทธิ์เรียกลมเรียกฝนได้ ทำให้กองทัพเชี่ยแตกกระเจิงเพราะถูกน้ำหลาก แถมยังเรียกสายฟ้า ให้ผ่าลงกลางสนามรบได้อีก! ทหารนับแสนแตกตื่นจนลืมโจมตี ส่วนผู้บัญชาการทัพเชี่ย ที่เข้ามาลอบสังหาร ก็ถูกฟ้าผ่าที่แขนจนไหม้เกรียม ต้องเสียชีวิตในสนามรบ เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว! แล้วอะไรอีกนะอินชง..""มีข่าวลือจากทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าต่อกันมาถึงชาวเมืองว่า พระชายาทรงสั่งให้ฝังระเบิดรอบสมรภูมิทั้งสามด้าน เพื่อสกัดกั้นทัพเชี่ย ไม่ให้บุกเข้ามาในเมือง ระเบิดเหล่านี้มีจำนวนมากพอที่จะสังหารทหารได้นับหมื่นนับแสนคน และยังไม่รวมถึงกระสุนปืนใหญ่อีกจำนวนมหาศาลที่เตรียมไว้ ก่อนหน้านั้นยังมีการปล่อยโคมลอยเพื่อลอบโจมตี เผาเสบียง และโรยผงหมามุ่ย เพื่อตัดกำลังทัพเชี่ยไปได้มาก" อินชงพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม "ยิ่งไปกว่านั้น พระชายายังทรงนำทัพหน้า บุกตะลุยฝ่าข้าศึก เพื่อเป
สมรภูมิรบด้านนอกเมืองเงียบสงบลงแล้ว เหลือเพียงทหารกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังค้นหาผู้รอดชีวิต มูลากำลังทำแผลที่หัวไหล่ให้อินทุภา ขณะที่เธอก็กำลังนั่งรอรับโทษทัณฑ์จากสามีอยู่ที่ห้องโถง "ไม่ต้องห่วงเรื่องแผลที่หัวไหล่ เป็นคนอื่นคงนอนหยอดน้ำข้าวต้มหลายวัน แต่มีพวกเราอยู่อีกสามวันก็ดีขึ้นแล้ว!" มูลาพูดขณะพันแผลเสร็จเรียบร้อย"ตอนต่อสู้กับองค์ชายซุน ฉันน่ะลุ้นสุดตัว! ภาวนาขอให้นายท่านกลับมาเร็วๆ มีเพียงพลังธาตุข่มในตัวเขาเท่านั้น ที่จะสยบองค์ชายซุนได้!" ลูน่ากล่าว"แล้วพลังเวทย์ของพวกเธอช่วยฉันไม่ได้เลยหรือ?" อินทุภาสงสัย"ราชาดาวนิลมีพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก แม้แต่พวกเรายังสู้ไม่ได้ แล้วท่านจะไหวได้อย่างไร!" เรกิพูดขึ้นมาบ้าง"นายท่านมาแล้ว!!" เอกิลเตือน ทุกคนหันไปมองประตู แล้วเลือนหายไปประตูถูกเปิดออกอย่างแรง คนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามามีสีหน้าราวกับพยัพฝน คงทำความสะอาดเนื้อตัวมาแล้ว จึงเหลือแต่เสื้อตัวใน เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ แววตาที่เคยสุภาพอบอุ่น ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคมกล้า จ้องมองเขม็งอย่างเอาเรื่องเต็มที่ จนทำให้เธอไม่กล้าแม้จะสบตาตรงๆ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คงต้องแก
ตอนนี้ยามซื่อแล้ว(09.00-10.59น.) ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทะมึน ราวกับธรรมชาติ กำลังสำแดงอำนาจข่มขวัญโลกมนุษย์ ฝนยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย สลับกับสายลมกระโชกแรง อินทุภายืนอยู่บนกำแพงเมือง สายตาจับจ้องไปยังขอบฟ้า รอคอยสถานการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างสงบ เธอไม่อยากปกป้องตนเอง ด้วยการทำลายชีวิตของผู้อื่น แม้ว่าวิวัฒนาการจากโลกอนาคต จะทำให้เธอโกงความตายได้ ทว่าหลังแนวกำแพงนี้ มีประชาชนหยางซื่อนับหมื่นชีวิต ฝากความหวังไว้กับเธอเพียงผู้เดียว พวกเขาเชื่อมั่นว่า เธอจะปกป้องครอบครัวของพวกเขา จากความโหดร้ายของศัตรูได้ สายตาทุกคู่ จับจ้องไปยังแผ่นหลัง ของหญิงสาวในชุดเกราะ เธอไม่มีปิ่นปักผมล้ำค่า หรืออัญมณีงดงาม เหมือนสตรีทั่วไป แต่กลับใช้เพียงเชือกสีดำ มัดรวบมวยผมไว้อย่างเรียบง่าย แม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ภายในกลับแข็งแกร่ง ดุจนักรบที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วนับร้อยครั้ง"ทัพเชี่ยอยู่ห่างออกไปห้าหลี่แล้วขอรับ!" ทหารรายงานพลางยื่นกล้องส่องทางไกลให้ อินทุภารับมา และเพ่งมองออกไปเบื้องหน้า ความทะเยอทะยานอันเห็นแก่ตัวขององค์ชายซุนจ่งซาน ได้ลากกองทหารที่อ่อนล้า และตรากตรำจากภัยธรรมชาติ ให้มาหยุดยืนอยู
"เสี่ยวจื่อเด็กดี! เจ้าไม่กินไม่นอน ข้าทุกข์ใจยิ่ง!" ฮ่องเต้ดูจะชมชอบการเปลื่ยนชื่อเรียกหญิงสาว ถ้าไม่เสี่ยวจื่อ ก็เป็นเสี่ยวซา"ก็หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จพ่อกับท่านแม่นี่นา แล้วยังมีพี่ชายทั้งสามที่ต้องรบอยู่แนวหน้าอีก!" จือซาทำหน้าเศร้า"เจ้าอย่ากังวลไปเลย มีแม่ทัพหยางอยู่ทั้งคน เขาเก่งกล้าสามารถเพียงใดเจ้าก็รู้ ทุกคนจะปลอดภัยจากสงครามครั้งนี้! ข้ารับรอง!""อืม" หญิงสาวรับคำ พร้อมกับซุกหน้าลงไปที่อกกว้าง"ถ้างั้น! ดื่มซุปไก่นี่สักหน่อย ข้าลงครัวด้วยตัวเองเชียวนะ!" เขาพูดอย่างภาคภูมิใจฮ่องเต้ตักชิ้นไก่ตุ๋นเนื้อนุ่มพอดีคำใส่ไว้ในช้อน ส่งถ้วยให้เธอถือ แล้วเดินไปรินน้ำชา จือซามองถ้วยซุปด้วยความซึ้งใจ ในมุมอ่อนโยนของเขา ซึ่งมักจะทำให้เธอรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนพิเศษอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวยิ้มบางๆ พลางยกช้อนขึ้นใส่ปาก"อื๋ออ..เค็ม!!" เธอพูดแล้วชะงักกึก รีบเงยหน้ามองฮ่องเต้กลัวเขาจะน้อยใจ ซึ่งเขาก็หันมาทันที ที่ได้ยินเสียงเธออุทานออกมา"อื้อหือ!..ขะ..เข้ม!..เข้มข้นมาก! นับว่าเปิดหูเปิดตาหม่อมฉันแล้ว!" เสียงพูดจืดเจื่อนเพราะรู้สึกขมไปตลอดช่องคอ พยายามปรับสีหน้าให้อยู่ในระดับปกติ ฮ่องเต้หนุ่มยิ้ม น