“นี่มึงทำอะไรลงไปวะกร”
อัคคีถามขึ้นหลังจากฟังเรื่องเล่าที่แสนจะน่าปวดหัวจากวิกรจบ เรื่องที่คิดว่าจะจบมาตั้งแต่คืนนั้นตอนนี้วิกรดันสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่จนวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม
“กูก็อยากถามตัวเองเหมือนกันแหละ”
วิกรกุมขมับก่อนจะตอบด้วยสีหน้าสิ้นหวังไม่ต่างจากน้ำเสียง ความมั่นอกมั่นใจที่เคยมีติดตัวมาตลอดเหมือนถูกทำหล่นหายตั้งแต่ที่เผชิญกับเรื่องราวไม่คาดคิดที่ผ่านมา
“บ้าบอมาก”
“กูแค่คิดว่าถ้าคบใครแล้วแม่ก็น่าจะเลิกวุ่นวายหาคู่ให้กูซะที แล้วคุณนีนดันอยู่ตรงนั้นพอดีไง”
“มึงก็เลยเลือกใช้เค้าแบบไร้สติเลยว่างั้น”
“มึงเลิกซ้ำเติมกูเถอะ นี่ก็เครียดจะตายห่าแล้ว”
วิกรโวยวายก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดเมื่อนึกถึงหน้าเลขาคนสวยสุดเนี้ยบขึ้นมา อัคคีที่เห็นอาการแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของเพื่อนก็ส่ายหัวก่อนจะถามถึงนีรนาราด้วยความสนใจ รู้จักกันมาก็นานไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนที่ทำให้วิกรเสียอาการแบบนี้ได้
“แล้วคุณนีนว่าไง”
“นิ่งๆ กูถามว่าโกรธมั้ยเค้าก็บอกเปล่า กูไม่กล้าคุยอะไรด้วยเลยทุกวันนี้ทำงานด้วยก็เกร็งจะตายละ”
วิกรบอกด้วยความอึดอัดใจ ผ่านมาเป็นอาทิตย์สิ่งที่แอบคาดหวังว่าจะผ่อนคลายต่อกันมากขึ้นกลายเป็นเงียบและเกร็งจนแทบไม่กล้าเรียกใช้งานนีรนาราซะอย่างงั้น
“เกิดมาเพิ่งเคยเจอบอสกลัวเลขา เจริญละเพื่อนกู”
“มึงก็ลองมาเป็นกูมา ไม่เกรงใจเค้าไหวเหรอวะกูรู้สึกเหมือนไปแตะของสูงส่งยังไงก็ไม่รู้ว่ะ”
“ก็จริง ปกติมีแต่เลขาอยากปีนเตียงเจ้านายแต่มึงนี่น่าจะโดนฟันแล้วทิ้งด้วยนะ ตลกไม่ไหว”
“ตลกมากมั้ย กูเครียดนะ”
วิกรต่อว่าเมื่อคำว่าตลกของอัคคีกลับเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยจนปิดไม่มิด ไม่ใช่เวลามาสะใจที่เพื่อนว้าวุ่นซะหน่อยเถอะ
“กูจะช่วยอะไรมึงได้ ทำตัวเองทั้งนั้นอ่ะ”
“ทำไมเค้าดูเข้าใจยากจังวะ กูแบบรู้สึกผิดจะตายแล้วเนี่ยกลัวว่าแม่กูจะมายุ่งกับเค้าจัง ยิ่งชอบคุณนีนมากอยู่ด้วย”
“ก็ดีแล้วไง มึงก็จีบไปเลยพ่อแม่ไฟเขียวแล้วอ่ะ”
อัคคียุอีกครั้งอย่างนึกสนุก เอาจริงๆก็แอบอยากรู้ว่าคนแบบไหนจะมาทำให้วิกรเปิดใจได้อีกครั้งเหมือนกัน
“กูถามมึงบ้าง เป็นมึงกล้าจีบมั้ย”
วิกรย้อนถามทันทีเมื่อได้ยินคำยุยงจากเพื่อนสนิท
“ไม่อ่ะ กูกลัวบาป”
“ไอ้สัส”
“ฮ่าๆ หน้ามึงตลกชิบหาย คืนนี้สักคนมั้ยล่ะคลายเครียด”
อัคคีที่ปกติจะนิ่งเงียบและหน้าตึงตลอดเวลากลับขำออกมาจนวิกรหน้าบึ้งกว่าเดิม ความทุกข์ใจของเพื่อนคือความบรรเทิงที่แสนสนุกสินะแบบนี้
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวกูเครียดกว่าเดิมตอนนี้เริ่มไม่อยากเมาแล้วฝังใจมาก”
ว่าเสร็จก็ดันแก้วเหล้าออกห่างจากตัวทันทีเหมือนขยาด อัคคีที่เริ่มเมานิดๆยิ่งอารมณ์ดีจนอยากแซวให้เพื่อนจิตตกมากกว่าเดิม
“ถ้าคืนนั้นไม่ใช่คุณนีนมึงโดนจับแน่ไอ้กร ทีนี้ละแม่มึงจะแหกอกมึงจริงๆ”
“ถ้าเป็นคนอื่นกูก็ระวังมาตลอดมั้ยวะ เคยพาใครไปห้องที่ไหนล่ะ”
“งั้นก็พิเศษสินะถึงกล้าพาไป เอาจริงๆมึงแอบคิดอะไรกับเค้ารึเปล่าเนี่ยกร”
ได้ทีอัคคีเลยถามพลางมองเพื่อนอย่างกดดันจนวิกรนิ่วหน้าใส่ อยู่ดีๆก็อยากให้อัคคีกลับมาหน้าตึงพูดน้อยเหมือนเดิมไม่ใช่มาสนุกกับการแกล้งกันแบบนี้
“เลิกมาเดามั่วได้ละมึงอ่ะ ไม่คิดอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ให้จริง ถึงตอนนั้นมาปรึกษากูคิดเงินเลยนะ”
“อย่ามาหิวเงินแถวนี้ แล้วก็ไม่ต้องมารู้ดีด้วยรำคาญมาก”
“กูขำตรงไหนรู้มั้ย ตรงที่กูเสือกรู้จักมึงดีจนแทบไม่ต้องเดาเลยไงกร”
อัคคีว่าพลางยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดอย่างอารมณ์ดี ทั้งยังมองวิกรด้วยสายตารู้ทันจนคนถูกมองร้อนรนด่าออกมาทันที
“กูเกลียดมึงมาก”
“ฮ่าๆ”
เสียงหัวเราะที่หาได้ยากยิ่งจากอัคคีวันนี้วิกรทำให้เกิดขึ้นได้สองครั้งจนอยากเก็บบันทึกภาพเอาไว้ให้เพื่อนอีกคนดู ถ้าไม่ใช่ว่ามันเกิดขึ้นเพราะเรื่องน่าอายของตัวเองล่ะก็วิกรคงภูมิใจมากแน่ๆ
ในสถานที่เดียวกันห่างเพียงแค่ไม่กี่ห้องที่ถูกจัดไว้เป็นแบบส่วนตัว นีรนาราเองก็กำลังเล่าเรื่องกลัดกลุ้มใจให้เพื่อนสนิทอย่างเปรมาฟังไม่ต่างกัน
“แกว่าอะไรนะนีน”
เปรมาถามเสียงสูงทันทีที่นีรนาราเล่าจบ ไม่ใช่ไม่ได้ยินแต่เป็นเพราะอยากย้ำให้แน่ใจมากกว่าเท่านั้น
“บอสให้แสดงละครตบตาพ่อแม่ว่าเราคบกันอยู่”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย”
“เราก็อยากถามบอสเหมือนกันแต่กลัวโดนหักเงินเดือน ทุกวันนี้ทำงานเกร็งมาก”
นีรนาราตอบด้วยใบหน้าที่ยังเรียบนิ่งราวไม่ทุกข์ร้อน ตรงข้ามกับในใจที่มันว้าวุ่นจนแทบบ้า เพราะเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งมาแต่ไหนแต่ไร คนที่ไม่รู้จักเธอดีถึงชอบคิดว่านีรนารานั้นเฉยชากับทุกสิ่งอย่าง ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่เลย
“เราว่าบอสแกแปลกๆ ได้ข่าวว่าโดนจับคู่มานานแล้วจะมาคิดวิธีนี้ตอนนี้เนี่ยนะ”
“นั่นก็อยากรู้เหมือนกัน”
“เอาจริงๆนะนีน บอสเค้าชอบแกรึเปล่าวะ”
เปรมาทนเก็บคำถามนี้เอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อพยายามวิเคราะห์ทุกอย่างแล้วไม่เห็นว่าจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย ทำเอานีรนาราที่กำลังดื่มนั้นสำลักออกมาทันที
“แค่กๆ พูดบ้าอะไรของแกวะแป้ง”
“เอ้า ก็น่าสงสัยจริงอ่ะแกไม่สงสัยบ้างเหรอวะ”
“อย่ามาถามอะไรน่าขนลุกแบบนั้นเถอะ”
“เป็นจริงขึ้นมาจะขำให้ดู”
“แกอยากเมาอย่างอื่นแทนแล้วใช่มั้ยแป้ง”
นีรนาราทำหน้าข่มขู่ใส่เมื่อเพื่อนพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมาเรื่อยๆจนเกินจะรับได้ คำว่าชอบกับใบหน้าหล่อๆของคนเป็นบอสเด้งขึ้นมาในหัวจนต้องยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
“ใจเย็นจ้าเพื่อน แหม่แซวนิดแซวหน่อยหัวร้อนเลยนะ ตอนนี้ยังไม่อยากเมารอคุณอันนาคนสวยก่อน”
เปรมามองอาการเพื่อนแล้วอดจะขำไม่ได้ ก่อนจะพูดถึงเพื่อนอีกคนที่นัดไว้จนป่านนี้ก็ยังไม่โผล่มาจนนีรนาราบ่น
“มาจากดาวอังคารรึไงป่านนี้ยังไม่ถึงอีก”
“เพื่อนแกเป็นนางแบบชื่อดังค่ะนีนใจเย็นๆเนอะ ขืนเดินมาโจ่งแจ้งเป็นข่าวอีกรำคาญ”
“นินทาคนสวยอยู่เหรอคะทุกคน”
เสียงสดใสดังขึ้นเมื่อเปรมาพูดจบ เรียกสายตาสองสาวให้หันไปหานางแบบคนสวยที่เดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มกว้าง
“อี๋ว่ะอันนา ชมตัวเองเลยเนอะ”
“ชมเพื่อนแล้วจะตายเหรอคุณแป้ง แล้วนี่เป็นอะไรหน้าตึงเชียว”
อันนาต่อว่าเปรมาก่อนจะหันไปมองใบหน้าตึงๆของนีรนาราแล้วถามอย่างแปลกใจ ไม่ทันที่นีรนาราจะเอ่ยปากเปรมาที่รอไม่ไหวก็พูดแทรกขึ้นทันที
“นั่งเถอะอยากแบ่งปันไม่ไหวแล้วแก”
“เออๆ ลุ้นแล้วเนี่ยอะไรวะ”
อันนาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆกับเปรมาที่กลายเป็นคนเล่าเรื่องแทนนีรนาราที่ทำหน้าเบื่ออยู่ฝั่งตรงข้ามทันที จนเมื่อเรื่องราวจบลงอันนาถึงกับเบิกตาโตและถามนีรนาราอย่างไม่อยากจะเชื่ออีกครั้ง
“อะไรนะ นี่แกปีนเตียงบอสแกเลยเหรอวะ”
“ปีนอะไรล่ะน่าเกลียดมากอันนา แค่เรื่องผิดพลาด”
นีรนารารีบแก้ความเข้าใจผิดที่ทำเอาแทบสำลักอีกหน ช่างเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงจนเกินจะรับได้จริงๆ
“ผิดพลาดไปไกลมากนะแก”
“แล้วแกจะยอมเล่นตามน้ำไปแบบนี้เหรอวะนีน”
อันนาถามด้วยความแปลกใจพอจะเข้าใจอยู่ว่าเพราะอะไรแต่นี่เท่ากับนีรนารายอมให้เรื่องวุ่นวายกว่าเดิมไปอีกต่างหาก
“อือ ก็เค้าขอร้องมาขนาดนั้น”
“สงสาร นี่ถ้าไม่รู้ว่าแกชอบใครอยู่จะคิดว่าแกชอบบอสแกแล้วเนี่ย”
อันนาส่ายหน้าให้กับความวุ่นวายของเพื่อน เพราะรู้กันดีว่าเพื่อนนั้นปักใจกับใครคนนึงมานานมากๆเลยรู้กันดีว่านีรนาราไม่มีทางไปชอบใครได้อีกแล้ว
“จริงมาก ไม่หวั่นไหวได้ไงเทพบุตรอยู่ใกล้ๆทุกวันขนาดนั้น”
เปรมาสมทบออกมาอีกคนด้วยสีหน้าเพ้อฝันยามเมื่อนึกถึงบอสคนหล่อของนีรนารา
“ใครหล่อแกก็บอกเป็นเทพบุตรหมดแหละแป้ง”
นีรนารากรอกตาใส่เพื่อนที่ชอบทำท่าทางหลงไหลแบบนี้ทุกทียามพูดถึงวิกร ไม่เถียงหรอกว่าแสนเพอร์เฟคอย่างที่เพื่อนว่า แต่คนที่คุ้นเคยกันมานานแถมหัวใจยังไม่ว่างขนาดนี้จะเอาอะไรไปหวั่นไหวก่อน แทบเป็นไปไม่ได้เลย
“ก็ชีวิตไม่ได้เจอคนหล่อมากทุกวันเหมือนพวกแกไง ให้เราหวีดบ้างเหอะ”
เปรมามุ่ยหน้าบ่นออกมาด้วยความห่อเหี่ยว เพราะเธอนั้นอยู่แต่กับเพื่อนร่วมงานที่แทบหาอาหารตาไม่ได้เลย เธอถึงได้อิจฉาอันนาที่อยู่ในวงการบันเทิงและนีรนาราที่ทำงานอยู่กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ทุกๆวันแบบนี้
“อันนี้น่าสงสารกว่าแล้วว่ามั้ยนีน”
“อือ สงสารมาก”
นีรนารารับคำอันนาอย่างนึกสนุก ถึงเวลาได้แกล้งเพื่อนกลับบ้างใครจะปล่อยผ่านไปเฉยๆ และคนที่เดือดร้อนอย่างเปรมาก็ต่อว่าออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆที่ดังลั่นห้อง
“ไอ้พวกร้ายกาจ”
“ฮ่าๆ”