เมื่อเขามีครอบครัวเป็นของตนเองจึงไม่อยากให้ภรรยาถูกรังแกไปด้วย วันนี้เขาก็รู้จากลูกสะใภ้ว่าหลินเยว่นางต้องซักผ้าให้คนทั้งเรือน ทั้งยังเปิดให้ดูร่องรอยที่นางถูกนางฮั่วซื่อทุบตีอีกด้วย
“เอาเถิด เช่นนั้นก็นำที่นาและเงินในส่วนของอาซางมาให้อารุ่ยเสีย” เขาหันไปบอกจางซุนและนางฮั่วซื่อ
“เหอะ ข้าไม่ให้ ตั้งแต่มันเกิดมาครอบครัวข้าต้องสูญเสียไปไม่น้อย ตอนจะไปยังคิดจะมาเอาของ ของข้าไปอีกรึ” นางฮั่วซื่อเท้าสะเอวต่อว่าเลี่ยงรุ่ย
ผู้นำหมู่บ้านก็ดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างยิ่งที่นางฮั่วซื่อดื้อรั้นเช่นนี้ เขากำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่เสียงของเลี่ยงรุ่ยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านลุงจิ่ว ส่วนของบิดาข้า ข้าไม่ต้องการขอรับ แต่ข้าขอส่วนที่เป็นสินเดิมของท่านแม่คืนก็พอขอรับ” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมกับผู้นำหมู่บ้าน
“ไปนำมาคืนอารุ่ยเสีย” ผู้นำหมู่บ้านก็เห็นด้วยกับเลี่ยงรุ่ย
“ส่วนนี้ก็ไม่ได้” นางฮั่วซื่อหันหน้าไปทางอื่น
“เพ้ย ของอาซางก็ไม่ให้ ที่นากับบ้านของอากุ้ยเจ้าก็ไม่ให้อีกรึ เช่นนั้นก็ไปที่ว่าการ ให้ท่านนายอำเภอตัดสินเสีย”
จางซุนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าจะไปที่ว่าการ เขาลากตัวมารดาออกไปคุยห่างจากผู้อื่นเล็กน้อย
“ท่านแม่ ท่านยอมให้อารุ่ยไปเถิดขอรับ หากไปถึงที่ว่าการ เรื่องของอาเฉิงต้องถูกพวกมันพูดขึ้นมาแน่นอน”
จางซุนรู้เรื่องมาจากนางหงซื่อตอนที่ไปตามเขากลับมาจากร้านข้าวในเมืองแล้ว เขาเป็นหลงจู๊อยู่ที่ร้านข้าวสาร คงไม่ดีหากเรื่องของบุตรชายหลุดออกไปจากเรือน ตัวเขาก็คงต้องถูกไล่ออกจากงานไปด้วย จึงได้รีบร้อนกลับมาที่หมู่บ้านทันที
นางฮั่วซื่อใบหน้าซีดขาว นางไม่อาจเอาอนาคตของหลานชายไปแลกกับเรื่องเช่นนี้ได้ จึงได้เดินขึ้นเรือนไปอย่างไม่พอใจ
“ท่านลุงจิ่ว ท่านเขียนหนังสือตัดขาดเถิดขอรับ”
ผู้นำหมู่บ้านเดินไปเขียนหนังสือตัดขาดที่แคร่ใต้ต้นไม้ทันที เมื่อเขียนเสร็จเขาส่งให้จางซุนและจางเลี่ยงรุ่ยคนละแผ่นเพื่อตรวจสอบ
หลินเยว่เห็นเลี่ยงรุ่ยรับกระดาษมาเม้มปากแน่น นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงอ่านตัวหนังสือที่เขียนไว้ไม่ออก จึงได้ดึงมาอ่านเอง
นางพอจะมีความรู้เรื่องตัวอักษรโบราณอยู่ไม่น้อย เมื่อต้องเดินทางไปนอกเมืองเพื่อซื้อวัตถุดิบ ชาวบ้านในหมู่บ้านบางแห่งเขียนอักษรโบราณแปะไว้ที่ผนังบ้านจึงทำให้นางสนใจ จนเริ่มที่จะหาหนังสือมาหัดอ่านและหัดเขียน
เพื่อที่ครั้งต่อไปเมื่อนางเดินทางไปติดต่อซื้อวัตถุดิบ จะได้พูดคุยกับพวกเขาได้บ้าง การที่ทำเช่นนี้ย่อมได้ใจชาวบ้านอยู่ไม่น้อย
ผู้นำหมู่บ้านจิ่วก็ไม่ได้แปลกใจที่หลินเยว่นางจะแย่งหนังสือตัดขาดไปอ่านเอง เพราะนางเป็นถึงคุณหนูตระกูลเกา เรื่องความรู้นางคงมีติดตัวมาไม่น้อย
จนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจเลยว่า นางฮั่วซื่อไปเจรจาเช่นไรถึงได้แต่งเกาหลินเยว่เข้าเรือนมาได้
และยังยกบุตรสาวคหบดีอย่างหลินเยว่ให้แต่งกับหลานชายที่นางรังเกียจ แทนที่จะเป็นจางเฉิงหลานรักของนาง
“รบกวนท่านผู้นำหมู่บ้าน เขียนเพิ่มให้ข้าอีกหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะให้ข้าเขียนอันใดเพิ่มรึ”
“เมื่อตัดขาดกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายมิอาจหาผลประโยชน์อันใดต่อกันได้ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจริญรุ่งเรือง”
ผู้นำหมู่บ้านจิ่วมองหลินเยว่อย่างชื่นชม เด็กสาวผู้นี้ฉลาดไม่น้อย ไม่รู้ว่าเลี่ยงรุ่ยวาสนาดีเพียงใด ที่ได้แต่งนางเข้าเรือน
“ได้” เขารับคำของนางแล้วเดินไปร่างหนังสือต่อ
ทางด้านจางซุน และนางฮั่วซื่อ ย่อมต้องยินดีที่หลินเยว่นางเอ่ยออกมาเช่นนั้น หากนางไม่พูดขึ้น พวกเขาก็คงต้องเอ่ยบอกท่านผู้นำหมู่บ้านเช่นกัน
“หึ ต่อไปอาเฉิงได้เป็นขุนนาง พวกเจ้าก็อย่าลืมที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่เล่า” นางหงซื่อเอ่ยเยาะเย้ยออกมา
“หลินเยว่จะจดจำไว้อย่างดี” นางก้มหัวลง พร้อมกับยิ้มหวานออกมา
“หึ” นางฮั่วซื่อสบถออกมา การกระทำของนางเช่นนี้ ใช่นอบน้อมเสียที่ไหน แต่เป็นการถากถางพวกเขาต่างหาก
ผู้นำหมู่บ้านส่งหนังสือตัดขาดให้พวกเขาคนละแผ่นและเก็บไว้ที่ตัวเองอีกหนึ่งแผ่น นางฮั่วซื่อจำต้องเดินเอาหนังสือสิทธิ์ที่นาและเรือนของนางฟู่กุ้ยมายื่นให้เลี่ยงรุ่ย
เขาเก็บทั้งหมดใส่ในอกเสื้อก่อนจะหันไปขอบคุณผู้นำหมู่บ้าน แล้วก้มลงคุกเข่าคำนับให้นางฮั่วซื่อเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพาหลินเยว่นางไปเก็บของที่อยู่ในห้อง
ผู้นำหมู่บ้านมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ไปอย่างเห็นใจ คนดีเช่นเลี่ยงรุ่ยมิน่าต้องมาเกิดอยู่ในเรือนตระกูลจางเลย หากเขามีบุตรเช่นนี้ก็คงดีไม่น้อย เขาได้แต่ถอนหายใจ พร้อมเดินกลับไปที่เรือนของตนเอง
ข้าวของของเลี่ยงรุ่ยมีไม่มาก นอกจากเงินที่เขาแอบซ่อนไว้ก็มีเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ชุด เขาให้หลินเยว่เก็บเงินไว้ในมิติ เพราะรู้ดีว่าเมื่อออกจากเรือนเขาต้องถูกค้นของในห่อผ้าอย่างแน่นอน
และไม่ต่างจากที่เขาคิด ทั้งห่อผ้าและหีบใส่ของของหลินเยว่ ล้วนแต่ถูกนางฮั่วซื่อและนางหงซื่อค้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เหอะ สินเดิมของข้า ท่านก็กล้าค้นด้วยรึ” หลินเยว่นางต่อว่าออกมาอย่างเหลืออด
ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่มาชมเรื่องสนุกอยู่ที่หน้าเรือน ยังต้องส่ายหัวให้กับความใจแคบของคนตระกูลจาง ของที่ทั้งสองถืออยู่ในมือ เพียงมองดูก็รู้ว่าคงมีแต่เสื้อผ้า
“ผู้ใดจะรู้เล่า ว่าเจ้าจะขโมยของในเรือนข้าไปหรือไม่” นางฮั่วซื่อชี้หน้าหลินเยว่อย่างดูแคลน
“หึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่ท่านวางแผนจัดการข้ากับมารดาเลี้ยงของข้า ไหน ๆ ข้าก็จะไปแล้ว เงินที่ท่านได้มาก็ไม่น้อย คงใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายไปอีกนาน”
จางเฉิงที่แอบฟังอยู่ภายในห้อง ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันที เมื่อได้ยินหลินเยว่นางพูดมาท่านย่าของเขาได้เงินมาจากนางเจินซื่อ
นางฮั่วซื่อใบหน้าซีดขาวทันที ที่หลินเยว่นำเรื่องของนางออกมาเปิดโปง ชาวบ้านได้แต่มองมาทางนางฮั่วซื่ออย่างแคลงใจ
เมื่อมีคำพูดของหลินเยว่เช่นนี้ เท่ากับความสงสัยเรื่องที่เหตุใด คุณหนูเช่นนางถึงแต่งเข้าตระกูลจางที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาได้ ก็นับว่าคลายความสงสัยแล้ว
“เจ้า เจ้า” นางได้แต่ชี้นิ้วมาทางหลินเยว่ แต่มิอาจพูดสิ่งใดออกมาได้
เรื่องนี้นางไม่สนใจแล้ว นางกลับดีใจเสียอีกที่ไม่ต้องแต่งให้บุรุษใจโลเลเช่น ตู้ฮุ่ยเหอ ถึงเขาจะเป็นถึงบุตรชายนายอำเภอ
ฟู่เลี่ยงรุ่ย (เขาเปลี่ยนมาใช้แซ่ของมารดาแล้ว) เห็นใจนางไม่น้อย เขาก็เพิ่งจะรู้เรื่องในตอนนี้ ตอนแรกที่ท่านย่าสั่งให้เขาแต่งงาน เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าสตรีที่แต่งด้วยจะเป็นคุณหนูตระกูลเกา
ถึงภายนอกนางจะเป็นคุณหนูตระกูลเกา แต่วิญญาณของนางมิใช่แล้ว ตอนนี้เขาก็ไม่สนใจสิ่งใดเช่นกัน ขอเพียงแค่มีนางก็พอ
ผ่านเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดมาได้สิบวัน หลินเยว่ก็เดินทางกลับจวนของตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อที่ติดเหลนชายตัวน้อยเข้าเสียแล้วก็มิอาจจะทนห่างเหลนได้ จึงได้พักอยู่ที่จวนตระกูลฟู่ตลอดไปอวี่หรันการค้าของนางนับวันก็เริ่มจะดีขึ้น หลังจากที่ผู้คนทั่วเมืองหลวงรู้ว่าซูเซียวและหลินเยว่ตัดผ้าที่ร้านของนางก็เริ่มเข้ามาสั่งจองวัดตัวกันมากมายความจริงมิใช่ว่าชื่อเสียงของหลินเยว่และซูเซียวโด่งดังอันใดมากนัก แต่เป็นเพราะแบบร่างของนางมากกว่า ที่มีลวดลายแปลกใหม่และแบบเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนของผู้อื่นหลินเยว่ยังแนะนำให้นางทำตราประทับร้านซ่อนลายไว้ที่ตัวผ้าของนางด้วย เมื่อทำเช่นนี้หากมีสินค้าที่ลอกเลียนแบบก็รู้ได้ทันทีนับว่าวิธีนี้ของนางสร้างชื่อเสียงให้ร้านของอวี่หรันอยู่ไม่น้อยเซี่ยหมิ่นที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว และได้เข้าพักที่จวนหลังใหม่ เขาก็หันมาทำการค้าให้หลินเยว่อย่างเต็มตัว เรื่องเรียนของเขาตอนที่อยู่เมืองหานตงก็มิได้ทิ้งขว้าง นับว่าตอนนี้เขามีตำแหน่งซิ่วไฉไว้อวดอ้างก็เพียงพอแล้วสินค้าของหลินเยว่ที่ทั้งส่งให้เหมยฮวาและที่ในร้านเหม่ยเซียง ต่างสร้างชื่อให้กับนางอย่างมากมาย จนพ่อค้าต่างแคว้นเ
คนทั้งห้องโถงตระกูลเซี่ยล้วนแต่ตกตะลึงกับสิ่งที่อวี่หรันนางพูดออกมา“จะ เจ้า พูดสิ่งใดออกมา เรื่องที่นางพูดไม่เป็นความจริงนะขอรับ” เซี่ยเหว่ยตวาดอวี่หรันเสียงดัง พร้อมกับหันไปบอกผู้อาวุโสคนอื่นอย่างร้อนรน“อาเหว่ย เจ้าทำจริงรึ” เซี่ยเหลี่ยงเอ่ยถามน้องชายเสียงสั่น แม้จะสงสัยในตัวของเซี่ยเหว่ยอยู่ไม่น้อย แต่พอมารับฟังเรื่องราวจริงๆ เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจจะทำใจได้เช่นกัน“มะ ไม่ ไม่จริง พี่ใหญ่ นางพูดปด ทะ ท่านอย่าได้เชื่อนาง”นางจงซื่อที่ได้สติกลับมาก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่ยินยอม“ใครให้เจ้าพูดเรื่องในปีนั้นออกมา ผู้ใดเป็นคนบอกเจ้า”นางจงซื่อพุ่งเข้าไปทุบตีอวี่หรัน แต่ก็ถูกจินห่าวบังตัวของนางไว้ นางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ คนอื่นก็เข้ามาดึงนางจงซื่อออกไปสงบสติอารมณ์ท่าทางเช่นนี้ของนางจงซื่อราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่อวี่หรันนางพูดออกมาเป็นความจริงทั้งหมด“พอ!!! พอกันที วันนี้ข้าจะตัดพวกเจ้าออกจากตระกูลเซี่ยเสีย หากผู้ใดที่ไม่เห็นด้วยกับข้าก็จงรอรับผลได้เลย” เซี่ยเหลี่ยงหมดความอดทนทันที ดวงตาที่แดงก่ำของเขาไล่มองไปที่ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเสียงร้องคร่ำครวญราวกับจะขาดใจของไป๋ซื่อยิ่งทำให้เซี่ยเหลี่ย
ตั้งแต่ที่เลี่ยงรุ่ยฝึกวรยุทธ์ นางก็ไม่อาจทนมองเขายามที่ถอดเสื้อได้เลย หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขึ้นมัดอย่างชัดเจน แผงอกก็ดูเหมือนจะกว้างขึ้นหลายชุ่น“อาเยว่...” เลี่ยงรุ่ยเสียงของเขาแหบพร่าไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพียงแค่นางสะกิดเขาก็ติดเสียแล้วหลินเยว่ดันตัวเลี่ยงรุ่ยให้ลุกขึ้น นางปลดเชือกที่มัดอยู่ที่กางเกงเขาออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะชักรูดลำทวนของเขาอย่างชำนาญเรียวลิ้นน้อยๆ ของนางเตะลงเพียงแค่ส่วนหัว ร่างกายของเลี่ยงรุ่ยก็สั่นสะท้านเสียแล้ว “อาเยว่ เจ้ากำลังจะทำให้ข้าคลั่งตาย” เขาลูบหัวของนางยามที่ปากน้อยๆ ของนางดูดกลืนลำทวนของเขาเข้าไปจนสุด เลี่ยงสุดก็เผลอกระแทกเข้าออกอย่างลืมตัว จนหลินเยว่นางเกือบจะอาเจียนออกมา แต่จำต้องฝืนเอาไว้ เพราะเป็นนางที่ยั่วยวนเขาก่อนเพียงแค่การมัดจำของนางก็เร่าร้อนจนเขาแทบอยากจะส่งลำทวนเข้าไปในร่างของนางแล้ว ไม่รู้ว่าหากเป็นรางวัลที่นางจะมอบให้ จะเร่าร้อนกว่านี้มากเพียงใดรุ่งเช้าหลินเยว่นางเดินออกไปส่งเลี่ยงรุ่ยที่หน้าจวน นางยังกระซิบบอกเขาว่าให้ทำเต็มที่ เมื่อกลับมานางมีรางวัลจะมอบให้ เลี่ยงรุ่ยก็มิอยากจะเข้าไปอยู่ในสนามสอบเสียแล้วอวี่หรันตั้งแต่
คนงานที่ร้านและบ่าวในจวนต่างได้รับเงินรางวัลกันมากถึงคนละห้าสิบตำลึงเงิน หากคิดว่าไม่มากให้เทียบเงินเดือนที่พวกเขาจะได้หากทำงานที่อื่น พวกเขาจะได้ต่อเดือนอยู่ที่สองถึงห้าตำลึงเงินเท่านั้นต่อให้พวกทาสสามารถเก็บเงินไถ่ตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะทำเช่นนั้น สู้อยู่กับหลินเยว่นางอย่างสุขสบายทั้งยังมีเงินเหลือใช้จ่ายและส่งให้ทางบ้านยังดีเสียกว่าอาจจะเป็นเพราะน้ำในลำธารที่หลินเยว่นางให้แม่ครัวใช้ทำอาหารและต้มน้ำชาให้พวกเขาดื่มทุกวันก็เป็นได้ เพราะคนงานของนางทุกคนล้วนแต่ซื่อสัตย์กับนางทั้งสิ้นมีพ่อค้าบางคนที่ต้องการจะขอซื้อสูตรลับของหลินเยว่ ทุกคนต่างไม่มีใครหลุดปากพูดเรื่องในจวนหรือเรื่องการทำสินค้าออกมาสักคนเดียว แม้จะนำเงินมาวางกองตรงหน้าให้ถึงหนึ่งพันตำลึง ก็ไม่มีผู้ใดคิดจะหักหลังหลินเยว่ตอนนี้อายุครรภ์ของหลินเยว่และซูเซียวเข้าเดือนที่ห้าแล้ว จวนตระกูลเซี่ยสายรองก็จัดงานมงคลของอวี่หรันพอดีทั้งสองต่างพากันไปร่วมงานที่จวนตระกูลเซี่ยสายรอง หลินเยว่และซูเซียวต้องไปเติมสินเดิมให้อวี่หรันหลินเยว่นางให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึงเงิน ไม่ว่าสิ่งใดเงินย่อมสำคัญที่สุด ซูเซียวนางให้เครื่องประดับห
สองวันต่อมาเว่ยอ๋องต้องเดินทางมาที่จวนตระกูลฟู่ เพื่อขอน้ำลำธารในมิติไปให้ซูเซียวนางดื่ม ที่หลินเยว่นางส่งไปให้ก่อนหน้านี้ที่ตำหนัก หมดไปหลายวันแล้วหากซูเซียวนางไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารในมิติของหลินเยว่ นางก็ล้วนแต่ไม่อาจกินอันใดได้เลยทั้งวัน“หากท่านไม่มา ข้าก็จะเดินทางไปหาเซียวเซียวเช่นกัน” หลินเยว่นางไม่ได้เป็นอันใดมาก จึงคิดที่จะไปดูซูเซียวที่ดูท่าอาการจะหนักมากกว่านางเสียอีกเลี่ยงรุ่ยจึงต้องพาหลินเยว่นางไปที่ตำหนักอ๋องด้วยตนเอง เซี่ยเหลี่ยงและไป๋ซื่อก็ติดตามไปด้วย เพราะอยากจะไปเยี่ยมดูอาการของหลานสาวเว่ยอ๋องสั่งให้คนเตรียมโอ่งน้ำไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อหลินเยว่นางไปถึง เว่ยอ๋องสั่งให้คนถอยห่างออกไปตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงนำน้ำในลำธารออกมาได้อย่างสะดวก“เป็นเช่นไรบ้าง” หลังจากที่ไปจัดการเรื่องน้ำให้ซูเซียวเสร็จแล้วนางก็เข้ามาหาซูเซียวที่อยู่ในห้องโถง เรือนของนางเอง“หากมีน้ำในลำธารของเจ้าใช้ปรุงอาหาร ต้มน้ำดื่มก็นับว่าข้ากินอาหารได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่มีข้าก็อาเจียนเสียทั้งวัน” แค่นึกถึงเรื่องอาเจียนซูเซียวนางก็เข็ดขยาดเรื่องการตั้งครรภ์เสียแล้ว“ดีแล้ว หมดเมื่อได้เจ้าก็ให้คนไปบอกข้าสักคำ
เมื่อได้ฟังคำของซูเซียวหลินเยว่นางก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพียงไม่นานสาวใช้ก็ยกยาบำรุงที่ต้มไว้ให้หลินเยว่เข้ามาด้านใน“หื้อ/หื้อ” ทั้งสองปิดจมูกร้องออกมาพร้อมกันหลินเยว่หันไปมองที่ซูเซียวอย่างสงสัย หากนางจะได้กลิ่นแล้วเหม็นก็ดูจะไม่แปลก แต่ซูเซียวที่นั่งห่างถ้วยยา นางจะได้กลิ่นจนเหม็นถึงเพียงนั้นเชียวรึ“ข้าว่า เจ้าให้หมอตรวจเสียหน่อยเถิด” หลินเยว่เอ่ยออกมา นางบอกสาวใช้ให้รีบไปตามท่านหมอกลับมาอีกรอบ“เจ้าคิดว่าข้าก็ตั้งครรภ์เช่นนั้นรึ” ซูเซียวชี้ที่หน้าของนางอย่างไม่อยากเชื่อ “อ๊ะ” แต่เมื่อนึกถึงรอบเดือนที่ขาดไป นางก็คิดว่าไม่แน่ก็อาจจะเป็นไปได้ท่านหมอที่เพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ก็ต้องรีบร้อนวิ่งกลับมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงจวนตระกูลฟู่ เขาก็ต้องนั่งพักอยู่ครู่ เพราะเหนื่อยหอบอยู่ไม่น้อยท่านหมอเดินเข้าไปหาหลินเยว่ เพื่อจะสอบถามว่านางเป็นอันใด ถึงได้ตามเขากลับมาอีกรอบ ก็ถูกนางห้ามไว้เสียก่อน“มิใช่ข้าเจ้าค่ะ แต่เป็นพระชายา” นางชี้ไปที่ซูเซียวเนื่องจากกฎระเบียบของราชวงศ์ที่มีมาก ท่านหมอจำต้องเรียกสาวใช้ของซูเซียวเข้ามากางผ้าม่านปิดกั้นไว้ก่อนที่จะตรวจท่านหมอที่จับชีพจรมาแล้