หลินเยว่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู นางนอนอยู่ในห้องเฉยๆ ทำไมถึงได้ดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องได้เล่า
“ท่านอาสะใภ้ ท่านพูดให้ดีเสียหน่อย ข้าจะให้ท่าบุตรชายของท่านเพื่ออันใด” หลินเยว่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“หึ ดูเสื้อผ้าของเจ้าสิ เช่นนี้ไม่ใช่ให้ท่าแล้วจะเรียกว่าอันใด”
หลินเยว่นางจึงได้ก้มลงมองเสื้อผ้าของนาง นางอดที่จะกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้ เพียงแค่เปิดนิดหน่อย นางไม่ได้แก้ผ้ากวักมือเรียกให้เขาเข้ามาในห้องของนางเสียเมื่อไหร่
“เหอะ หากข้าแก้ผ้าเรียกเขาเข้ามาค่อยมากล่าวหาข้า ข้านอนอยู่ในห้องจะให้เสื้อผ้าเรียบร้อยเช่นเดิมก็คงจะแปลก” นางเถียงอย่างไม่ยินยอม
“ท่านย่าข้าต้องการแยกเรือน” จางเลี่ยงรุ่ยเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ทั้งหมดจะเถียงกันไปมากกว่านี้
“เจ้าว่าอันใดนะ” นางฮั่วซื่อเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าต้องการแยกเรือน ในเมื่ออาเฉิงคิดจะเข้าหาอาเยว่ ครั้งต่อไปเขาก็อาจจะทำอีกได้” ครั้งนี้เลี่ยงรุ่ยไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว
“เพ้ย เจ้ากล้ารึ”
“ต่อให้ข้าแยกออกไปต้องอดตาย ข้าก็ขอไปตายดาบหน้า แต่หากท่านย่าไม่ยอมให้ข้าแยกเรือน ข้าจะนำเรื่องที่อาเฉิงทำในวันนี้ไปแจ้งท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษา”
“เจ้า เจ้า สวรรค์ เหตุใดถึงส่งตัวซวยเช่นนี้มาเกิดในเรือนของข้า” นางทิ้งตัวนั่งลงไปกับพื้นกรีดร้องเช่นที่ทำทุกครั้ง
นางไม่มีทางยอมให้เลี่ยงรุ่ยนำเรื่องเช่นนี้ไปพูดที่สำนักศึกษาอย่างแน่นอน หลานชายของนางต้องสอบเป็นขุนนาง จะมีชื่อเสียงด่างพร้อยไม่ได้
แต่เลี่ยงรุ่ยเพียงมองนางอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะขอร้องให้นางลุกขึ้นเช่นเดิม
“ดีดี หากเจ้าเก่งกล้านักก็ออกไปจากเรือนของข้าเสีย ข้าไม่ให้เจ้าแยกเรือน แต่จะตัดเจ้าออกจากตระกูลไปเสียเลย” นางหงซื่อยิ้มเยาะมองจางเลี่ยงรุ่ย
“ท่านแม่ให้ข้าไปตามท่านพี่กลับมาเลยดีหรือไม่” นางหงซื่อรีบเสนอตัวทันที
หากจางเลี่ยงรุ่ยถูกตัดออกจากตระกูลไป ที่นาและเงินในเรือนก็ไม่ต้องแบ่งให้เขา แต่หากเพียงแค่แยกบ้านอย่างน้อยก็ต้องแบ่งที่นาและเงินให้เขาไปด้วย
ถึงแม้จะไม่อยากให้ แต่ก็จำต้องให้ เพราะผู้นำหมู่บ้านที่เป็นสหายของบิดาเลี่ยงรุ่ยคงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
“ไป เจ้ารีบไปเดี๋ยวนี้ อาซุยจะได้กลับมาทันก่อนฟ้ามืด แล้วตามผู้นำหมู่บ้านมาด้วยเล่า” นางฮั่วซื่อลอบมองเลี่ยงรุ่ย เพื่อดูว่าเขาจะเอ่ยขอร้องนางหรือไม่
แต่เมื่อไม่เห็นเขาเอ่ยขอร้อง ด้วยกลัวจะเสียหน้า จึงได้ช่วยนางหงซื่อลากอาเฉิงกลับไปที่เรือนหลัก
เมื่อทั้งหมดจากไปแล้ว หลินเยว่ก็มองเลี่ยงรุ่ยอย่างเป็นกังวล นางไม่คิดว่าเขาจะยอมถูกตัดขาดกับตระกูล นางคิดว่าเพียงแค่แยกเรือนเท่านั้น
“อารุ่ย” นางบีบมือของเขาแน่น
“เข้าไปในห้องเถิด กว่าท่านอาของข้าจะเดินทางกลับจากในเมืองก็เป็นเวลาเย็นแล้ว” เขาจูงมือหลินเยว่เข้าไปในห้อง
ทั้งสองจึงเข้าไปในมิติ เพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“อาเฉิงทำเช่นที่เจ้าว่าจริงหรือ” นางเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ เพราะนางไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา จะบอกว่านางนอนหลับลึกก็คงไม่ใช่
“ก่อนที่ข้าจะออกไปตัดหญ้าให้หมูข้าก็เห็นอาเฉิงทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ใกล้ๆ เรือนแล้ว ข้าจึงทำทีเป็นออกไปนอกเรือน แล้วหลบดูว่าเขาต้องการจะทำสิ่งใด”
หลินเยว่อดที่จะขนลุกไม่ได้ หากเขาเข้ามาในห้องนางโดยที่ไม่มีจางเลี่ยงรุ่ยอยู่ด้วย นางคงได้แต่หนีเข้ามิติ แต่หากว่าหนีเข้าไปไม่ทัน ไม่รู้ว่านางจะสู้แรงของเขาได้หรือไม่
“เจ้าไม่ต้องกลัว ต่อให้ข้าถูกตัดขาดกับตระกูล ข้าก็ต้องพาเจ้าไปอยู่ที่อื่น” เขาบีบมือของนางแน่น
“แล้ว ไปตอนนี้ เจ้ามีเงินรึ” หลินเยว่นางอดที่จะเอ่ยถามออกมาไม่ได้
ที่นางมีเงินเพียงยี่สิบตำลึงเงินเท่านั้น หากจะซื้อเรือนก็คงจะไม่พอ หากต้องไปเช่าอยู่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เงินมากหรือไม่
“ข้ามีเงินที่แอบซ่อนไว้อยู่จำนวนหนึ่ง และยังมีเรือนของมารดาข้าอยู่ที่ฝั่งตะวันตก เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพาเจ้าไปพักที่เรือนนั้นเสียก่อน” เขานำสัตว์ไปขายในเมือง เงินส่วนมากจำต้องส่งให้ท่านย่าทั้งหมด
แต่เลี่ยงรุ่ยก็มิใช่คนโง่ เขามิได้นำสัตว์ป่าที่ล่าได้กลับมาที่เรือนทั้งหมด ยังคงซ่อนไว้ด้านนอก เมื่อทำเช่นนี้นางฮั่วซื่อจึงไม่สงสัยเขาในเรื่องเงิน
มารดาของเลี่ยงรุ่ยก็เป็นคนในหมู่บ้านเช่นกัน ท่านตาท่านยายของเขาล้วนแต่เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือที่นาและเรือนหลังนั้นไว้ให้มารดาของเขา ถึงแม้ตอนนี้ทั้งหมดจะอยู่ในความดูแลของนางฮั่วซื่อ แต่ในเมื่อจะถูกตัดขาดออกจากตระกูลเขาก็สมควรจะได้ของของเขาคืนมา
“ช่างเถิด ข้ายังมีหนทางที่จะหาเงินอีกมาก ท่านไม่ต้องห่วง ข้าจะเลี้ยงดูท่านเองดีหรือไม่” นางเอียงคอมองเขาอย่างหยอกล้อ
เลี่ยงรุ่ยฟังคำพูดและท่าทางที่ซุกซนของนาง เขาก็อดจะยกยิ้มออกมาไม่ได้ พร้อมทั้งดีดหน้าผากของนางอย่างมันเขี้ยว
“โอ๊ยย ท่านดีดหน้าผากข้าทำไม”
“เรื่องเลี้ยงดูเจ้า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า เจ้าเป็นสตรีควรอยู่ดูแลเรือนก็พอ” เขาอยากจะบอกนางว่าสมควรเลี้ยงดูเพียงลูกก็พอ
“แต่ข้าอยากให้ท่านได้ร่ำเรียน ตอนนี้ท่านเพียงสิบเก้าหนาว ยังมีเวลาอีกมาก ข้าอยากให้ท่านได้ทำตามความต้องการของตนเอง” นางอยากให้เขาได้ทำตามความต้องการของตนเองสักครั้ง เพราะตั้งแต่เกิดมาเขาคงไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการเลย
เลี่ยงรุ่ยมองหลินเยว่อย่างขอบคุณ เขาดึงนางเข้ามาสวมกอดไว้แน่น นางเป็นคนแรกเลยกระมังที่พูดให้เขาทำตามความต้องการ
หลินเยว่ตกตะลึงไม่น้อยที่อยู่ๆ เลี่ยงรุ่ยก็ดึงนางเข้าไปสวมกอดเช่นนี้ นางที่ทำตัวไม่ถูกจึงได้เอ่ยออกมาว่า “ข้าหิวแล้ว” เขาถึงได้ยอมปล่อยตัวนาง
หลินเยว่รีบวิ่งเข้าไปในครัว เพื่อทำอาหาร แต่ความจริงแล้วนางเขินอายไม่น้อย จึงไม่กล้าที่จะสู้หน้าเขาในตอนนี้
เมื่อทั้งสองออกมาจากมิติ นางหงซื่อที่ไปตามจางซุยในเมืองก็เดินทางกลับมาถึงเรือนพอดี ทั้งคู่ยังพาผู้นำหมู่บ้านมาที่เรือนของพวกเขาด้วย
เสียงร้องเรียกของผู้นำหมู่บ้านดังเรียกเลี่ยงรุ่ยอยู่ที่หน้าห้องของเขา เขาจึงได้พาหลินเยว่นางออกไปด้านหน้าเรือนหลัก
“จริงรึ ที่เจ้าจะออกจากตระกูล” ผู้นำหมู่บ้านจิ่วเอ่ยถามเลี่ยงรุ่ยอย่างเป็นห่วง
“ขอรับ ท่านลุงจิ่ว”
ผู้นำหมู่บ้านไม่ได้เอ่ยถามว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาถึงต้องการออกจากตระกูล ตัวเขาก็พอจะรู้มาไม่น้อยว่าเลี่ยงรุ่ยถูกคนตระกูลรังแกมากเพียงใด
เมื่อเขามีครอบครัวเป็นของตนเองจึงไม่อยากให้ภรรยาถูกรังแกไปด้วย วันนี้เขาก็รู้จากลูกสะใภ้ว่าหลินเยว่นางต้องซักผ้าให้คนทั้งเรือน ทั้งยังเปิดให้ดูร่องรอยที่นางถูกนางฮั่วซื่อทุบตีอีกด้วย“เอาเถิด เช่นนั้นก็นำที่นาและเงินในส่วนของอาซางมาให้อารุ่ยเสีย” เขาหันไปบอกจางซุนและนางฮั่วซื่อ“เหอะ ข้าไม่ให้ ตั้งแต่มันเกิดมาครอบครัวข้าต้องสูญเสียไปไม่น้อย ตอนจะไปยังคิดจะมาเอาของ ของข้าไปอีกรึ” นางฮั่วซื่อเท้าสะเอวต่อว่าเลี่ยงรุ่ยผู้นำหมู่บ้านก็ดูเหมือนจะไม่พอใจอย่างยิ่งที่นางฮั่วซื่อดื้อรั้นเช่นนี้ เขากำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่เสียงของเลี่ยงรุ่ยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน“ท่านลุงจิ่ว ส่วนของบิดาข้า ข้าไม่ต้องการขอรับ แต่ข้าขอส่วนที่เป็นสินเดิมของท่านแม่คืนก็พอขอรับ” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อมกับผู้นำหมู่บ้าน“ไปนำมาคืนอารุ่ยเสีย” ผู้นำหมู่บ้านก็เห็นด้วยกับเลี่ยงรุ่ย“ส่วนนี้ก็ไม่ได้” นางฮั่วซื่อหันหน้าไปทางอื่น“เพ้ย ของอาซางก็ไม่ให้ ที่นากับบ้านของอากุ้ยเจ้าก็ไม่ให้อีกรึ เช่นนั้นก็ไปที่ว่าการ ให้ท่านนายอำเภอตัดสินเสีย”จางซุนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าจะไปที่ว่าการ เขาลากตัวมารดาออกไปคุยห่างจากผู้อื่นเล็กน้อย“ท
หลินเยว่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อหู นางนอนอยู่ในห้องเฉยๆ ทำไมถึงได้ดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องได้เล่า“ท่านอาสะใภ้ ท่านพูดให้ดีเสียหน่อย ข้าจะให้ท่าบุตรชายของท่านเพื่ออันใด” หลินเยว่เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ“หึ ดูเสื้อผ้าของเจ้าสิ เช่นนี้ไม่ใช่ให้ท่าแล้วจะเรียกว่าอันใด”หลินเยว่นางจึงได้ก้มลงมองเสื้อผ้าของนาง นางอดที่จะกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายไม่ได้ เพียงแค่เปิดนิดหน่อย นางไม่ได้แก้ผ้ากวักมือเรียกให้เขาเข้ามาในห้องของนางเสียเมื่อไหร่“เหอะ หากข้าแก้ผ้าเรียกเขาเข้ามาค่อยมากล่าวหาข้า ข้านอนอยู่ในห้องจะให้เสื้อผ้าเรียบร้อยเช่นเดิมก็คงจะแปลก” นางเถียงอย่างไม่ยินยอม“ท่านย่าข้าต้องการแยกเรือน” จางเลี่ยงรุ่ยเอ่ยขึ้นมา ก่อนที่ทั้งหมดจะเถียงกันไปมากกว่านี้“เจ้าว่าอันใดนะ” นางฮั่วซื่อเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ“ข้าต้องการแยกเรือน ในเมื่ออาเฉิงคิดจะเข้าหาอาเยว่ ครั้งต่อไปเขาก็อาจจะทำอีกได้” ครั้งนี้เลี่ยงรุ่ยไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว“เพ้ย เจ้ากล้ารึ”“ต่อให้ข้าแยกออกไปต้องอดตาย ข้าก็ขอไปตายดาบหน้า แต่หากท่านย่าไม่ยอมให้ข้าแยกเรือน ข้าจะนำเรื่องที่อาเฉิงทำในวันนี้ไปแจ้งท่านอาจารย์ที่สำนักศึกษา”“เจ้า เจ้า
แต่หลินเยว่นางก็ยังร้องออกมา “อู๊ยยย” เมื่อตุ่มน้ำแตกออกนางก็แสบมือไม่น้อย“ใกล้เสร็จแล้ว” เขาเป่าลมใส่มือให้นางอย่างใส่ใจ“อย่าได้พูดเรื่องหย่าขึ้นมาอีกเข้าใจหรือไม่ แล้วก็นำของออกมาวางไว้ที่เดิมด้วย” เขาจับมือของนางไว้ พร้อมทั้งมองนางอย่างคาดคั้น“เลี่ยงรุ่ย ข้าอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่สองวัน ข้าก็เริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปข้าคงได้ตบตีกับพวกนางแน่ แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” นางเอ่ยถามเขาออกมา เพราะรู้ดีว่าเรื่องความกตัญญูของคนในยุคนี้มาเป็นอันดับหนึ่งหากหลานสะใภ้ตบดีกับท่านย่าของสามี ชื่อเสียงของนางและของเขาก็คงจะถูกครหาไม่น้อย ไม่ใช่ว่าจางเลี่ยงรุ่ยจะไม่เข้าใจนาง เพียงแต่ว่าตอนนี้เขายังไม่อาจหาทางออกเรื่องการแยกเรือนออกไปได้“เจ้าใจเย็นอีกนิดได้หรือไม่ ข้ากำลังหาทางจัดการเรื่องนี้อยู่” เขามองนางอย่างขอความเห็นใจเขาก็ไม่อยากจะเสียนางไปเช่นกัน หลินเยว่นางเป็นคนเดียวที่เดือดร้อนแทนเขา เมื่อเขาถูกคนในเรือนรังแกตั้งแต่วันแรกที่พบนาง นางก็เอ่ยถามเขาเรื่องกินข้าวแล้วหรือยัง เหนื่อยมากหรือไม่ นางคงไม่รู้ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับเขามาก่อน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย“
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำก็มีชาวบ้านอยู่ไม่น้อยที่นั่งซักผ้าอยู่ พอเห็นเลี่ยงรุ่ยแบกตะกร้าผ้ามาให้หลินเยว่ก็อดจะกระซิบพูดคุยกันไม่ได้ บางคนเห็นใจนางที่เป็นถึงคุณหนูแต่ต้องแต่งเข้ามาเป็นหลานสะใภ้ของนางฮั่วซื่อที่ปากร้ายใจแคบ บางคนก็ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่นหลินเยว่นางไม่สนใจว่าผู้ใดจะมองนางหรือนินทานางเช่นไร เมื่อเลี่ยงรุ่ยวางตะกร้าลง นางจึงให้เขาไปดูกับดักสัตว์ที่เขาวางไว้“เจ้าทำไหวแน่หรือ” เขามองนางอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ดีว่านางคงไม่เคยซักผ้าเช่นนี้“เอาเถิด ท่านไปจัดการเรื่องของท่านเถิด” นางจะทำไหวได้อย่างไรแต่ในเมื่อต้องการให้นางซัก จะออกมาเป็นเช่นไรก็จะต่อว่านางไม่ได้เช่นกัน“ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาแบกกลับเรือนเอง เจ้าซักเสร็จแล้วรอข้าอยู่ที่นี่เล่า”“อืม ไปเถิด”หลินเยว่นั่งลงที่ก้อนหินริมน้ำ นางนำเสื้อผ้าออกมากองทั้งหมด ก่อนจะเริ่มต้นซักที่ละตัว นางไม่ได้ดูว่าผู้อื่นซักผ้าเช่นไร นางมีวิธีของนางเมื่อสตรีที่อยู่ริมน้ำเห็นการซักผ้าของหลินเยว่ ต่างก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ ถึงกับมีสตรีใจกล้าเอ่ยถามนางด้วยว่ากำลังทำอะไร“ภรรยาอารุ่ยเจ้าซักผ้าไม่เป็นรึ เหตุใดถึงทำเช่นนั้น” หลินเยว่ห
หลินเยว่มองหน้าจางเลี่ยงรุ่ยอย่างเหนื่อยใจ “เหตุใดท่านต้องยอมมากถึงเพียงนี้ด้วย”“ต่อให้ท่านย่าจะดุด่าข้าหรือทุบตีข้า อย่างน้อยนางก็ให้ที่หลับนอนและอาหารกับข้าทุกมื้อ” แม้จะกินไม่อิ่มท้องก็ตาม“เลี่ยงรุ่ย ท่านมีทางเลือกอื่นมากมาย เหตุใดต้องทนด้วยเล่า” หากนางโดนกระทำเพียงนี้ไม่รู้ว่าจะทนได้เท่าเขาหรือไม่“ข้าโดนเช่นนี้มาตั้งแต่เล็กแล้ว จะมาบอกว่าตอนนี้ทนไม่ได้ก็คงจะน่าขันไม่น้อย” แววตาของเขาเศร้าลง เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนต้องทนโดนโขกสับเยี่ยงทาสมานานนับสิบเก้าปี“ท่านเคยคิดจะแยกบ้านหรือไม่” นางยื่นหน้าเข้าไปถาม“เคย แต่จะแยกไปที่ใดเล่า ท่านย่าคงไม่ยอมแน่” เพราะเขาเป็นแรงงานของบ้านจะให้แยกตัวไปคงไม่มีใครยอม“เอาเถิด เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หากเจ้าจะออกไปข้าก็ไม่ห้าม แต่เลี่ยงรุ่ย ข้าไม่เหมือนท่าน ข้าทนการถูกรังแกไม่ได้ หากต่อไปต้องโดนมากกว่านี้ ข้าคงต้องขอแยกทางกับท่าน” นางเอ่ยออกมาตรงๆ ถ้าจะให้ทั้งชีวิตนางมาทิ้งอยู่ในสภาพเช่นนี้นางก็ไม่เอาเช่นกันต่อให้ได้สามีที่ดีเช่นเขานางก็ไม่ต้องการ ต่อไปหากนางคิดจะสร้างตัว ไม่ใช่ว่าต้องยกเงินที่หามาได้ให้ท่านย่าของเขาเสียหมดเลยรึจางเลี่ยงรุ่ยเข้าใจควา
นางฮั่วซื่อจึงร้องเรียกให้นางหงซื่อที่วิ่งออกมาอยู่ที่หน้าเรือน เข้าไปจัดการในห้องครัวแทน“ไม่มีปากหรืออย่างไร ทำไม่เป็นเหตุใดถึงไม่พูด ห๊า” นางชี้นิ้วต่อว่าหลินเยว่เสียงดัง“ท่านไม่ได้ถามข้าว่าจุดไฟเป็นหรือไม่ ท่านถามเพียงแค่ว่าข้าทำอาหารได้หรือเปล่า” นางเถียงออกมาเสียงเบา“โอวโยว เจ้า เจ้าโง่เสียจริง เพียงจุดเตาก็ทำไม่ได้ ยังจะมาเถียงข้าอีก” นางฮั่วซื่อคว้าไม้ที่อยู่ใกล้มือได้ก็วิ่งเข้ามาตีหลินเยว่ทันทีนางจะวิ่งหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงได้ถูกไม้หวดไปที่ลำตัวถึงสองที แต่พอจะหันไปแย่งไม้กลับมา เลี่ยงรุ่ยที่เห็นควันไฟจากเรือนของตนก็รีบร้อนกลับมาที่เรือน เพราะกลัวว่าหลินเยว่นางจะก่อเรื่องมาถึงก็เห็นว่านางกำลังถูกท่านย่าทุบตีอยู่จึงได้เอาตัวเข้ามาขวางไว้ ทำให้ไม้ที่ฟาดลงมาอย่างแรงฟาดไปถูกหัวคิ้วของเขาจนเลือดไหลอาบออกมาอย่างน่าหวาดกลัว“เลี่ยงรุ่ย” หลินเยว่ร้องออกมาอย่างตกใจ นางรีบเข้าไปดูเขาทันทีนางฮั่วซื่อโยนไม้ในมือทิ้งอย่างรวดเร็ว นางไม่คิดว่าหลานชายจะเอาตัวเข้ามาขวาง แล้วไม่คิดว่าจะตีโดนหัวคิ้วของเขาจนเลือดออกมามากเพียงนี้“ท่านเป็นย่าของเขาจริงหรือไม่ เหตุใดต้องทุบตีจนได้เลือดด้วย”
คงมีเพียงจางเฉิงที่ยังชะเง้อคอมองเข้ามาด้านใน เพื่อให้ได้เห็นพี่สะใภ้อีกสักครั้ง แต่ก็ถูกจางเลี่ยงรุ่ยปิดประตูใส่หน้า จนเกือบจะกระแทกหน้าของเขาเข้า“ท่านหยิบชุดให้ข้าหน่อย” หลินเยว่บอกเขา“หึ เจ้าอยากจะเปิดเผยให้พวกเขาเห็นมิใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงให้ข้าเห็นไม่ได้” จางเลี่ยงรุ่ยไม่พอใจอย่างมากที่นางแสร้งทำผ้าห่มหลุดจนเผยให้เห็นไหล่ของนาง“เพ้ย หากข้าไม่ทำเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะเชื่อหรือไง ท่านหยิบให้ข้าเสียหน่อย”แต่แทนที่จางเลี่ยงรุ่ยจะหยิบชุดให้นาง เขาเดินไปดับเทียน แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงข้างนางแทน“ท่าน” หลินเยว่ตกตะลึงไม่น้อยที่เขาขึ้นมานอนเลยไม่ยอมหยิบเสื้อผ้าให้นาง“หากอยากใส่ก็ลุกขึ้นไปหยิบเอง” เขาตะแคงหันหน้าหนีทันทีเพราะเตียงไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก เมื่อขึ้นมานอนสองคนจึงดูเบียดอยู่ไม่น้อย“ข้าหนาว” นางกระซิบบอกเขา เพื่อหวังว่าเขาจะไปหยิบชุดให้นาง“อากาศร้อนเช่นนี้เจ้ายังหนาวอีกรึ”“จาง เลี่ยง รุ่ย ท่านโกรธอะไรข้า ได้ ข้าไปหยิบเองก็ได้” นางทุบไปที่แขนของเขาหนึ่งที ก่อนจะใช้ผ้าห่มห่อตัวแล้วเดินไปหยิบชุดที่ปลายเตียงแต่เพราะภายในห้องไร้แสงเทียน ผ้าห่มที่คลุมตัวก็หนาจนนางขยับตัวอย่างยากล
หลินเยว่เพ่งจิตเข้าไปในมิติ ตามคำแนะนำของเทพชะตา เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ได้เป็นห้องเล็กๆ เช่นที่นางอยู่ในตอนแรกแต่ด้านหน้าของนาง นอกจากทุ่งหญ้าที่กว้างแล้ว ยังมีทิวเขาที่งดงาม ลำธารที่ไหลผ่านตัดกับทุ่งหญ้า ดอกไม้นานาชนิดที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอม แต่สิ่งที่ทำให้นางต้องกรีดร้องออกมาอย่างยินดีเห็นจะเป็นโกดังเก็บวัตถุดิบที่นางไว้ใช้ทำสินค้า และบ้านของนางที่เหมือนกับของเดิมไม่มีผิดเพี้ยน“สวรรค์ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ เทพชะตา” นางคุกเข่าลง พร้อมทั้งตะโกนขึ้นไปบนฟ้าอย่างน้อยนางก็พอจะมองหาหนทางรอดที่จะใช้ชีวิตในภพนี้ได้แล้ว นับว่านางโชคดีไม่น้อยที่ขั้นตอนการผลิตทั้งหมดนางเรียนรู้ด้วยตนเองมาโดยตลอดต่อให้ต้องเริ่มทำขึ้นมาตามวิธีแบบโบราณนางก็ไม่กลัวแล้ว เพราะมีวัตถุดิบที่มากมายใช้ได้ไม่หมด นางไม่ต้องไปแสวงหาจากที่อื่นให้ยุ่งยากหลินเยว่วิ่งเข้าไปในบ้านของนางด้วยความดีใจ ข้าวของด้านในล้วนแต่มีเช่นเดียวกับที่ภพเดิม ไหนจะอาหารแห้งอาหารสดที่นางมักจะซื้อตุนไว้ตลอด และเมื่อออกไปดูวัตถุดิบนอกเมืองนางยังซื้อของชาวบ้านกลับมาเก็บไว้ไม่น้อยต่อให้ที่เรือนตระกูลจางไม่ให้นางก
หากเป็นชาวบ้านที่มาร่วมงานคงไม่กล้าเข้ามาในห้องเจ้าสาวอย่างแน่นอน ถึงจะเข้ามาคนที่อยู่ด้านนอกก็ต้องรู้กันบ้างละ“เพ้ย ข้าไม่ใช่ผี ไม่ใช่คน แต่เป็นเทพชะตา” เขายืดอกขึ้นอย่างภูมิใจยิ่งทำให้หลินเยว่มึนงงมากขึ้นกว่าเดิมไปอีก “แล้วท่านมาพบข้าด้วยเรื่องอะไร อย่าบอกนะว่า...” นางลากเสียงยาวจ้องจับผิดเขา ทั้ง ๆ ที่ตัวนางก็ไม่รู้หรอกว่าเขามาพบนางด้วยเรื่องอะไร“เอ่อ คือว่า...” เขามีพิรุธจริงอย่างที่นางคิดไว้เทพชะตาไม่กล้าที่จะบอกนางเรื่องที่เขาดึงตัววิญญาณมาผิดคน ความจริงแล้วหลินเยว่นางยังไม่ถึงฆาต คนที่ต้องตายเป็นสตรีอีกคนที่อยู่ในรถคันหลังต่อจากคันที่นางนั่งมาเพราะความผิดพลาดที่นำวิญญาณมาผิดคน เทพชะตาได้ตรวจดูแล้วพบว่า เกาหลินเยว่นางกำลังจะสิ้นใจ ชะตาของทั้งสองคนช่างประหลาดนัก ราวกับว่าเป็นคนคนเดียวกัน เขาจึงได้พาวิญญาณของนางมาสวมร่างแทนเสียเลยหากไม่ยอมมาเจรจากับนาง เขาต้องถูกลงโทษด้วยการยึดอายุบำเพ็ญเพียรถึงห้าร้อยปี จึงได้แต่ลงมาพบนางในครั้งนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้“ท่านจะพาข้ากลับไปที่ภพเดิมใช่หรือไม่” ดวงตาของหลินเยว่เปล่งประกายขึ้นมาทันที“เอ่อ เรื่องนี้ เห็นทีจะไม่ได้ ร่างของเจ้าถู