กาลเวลาผันผ่านจากหนึ่งเดือนเป็นหนึ่งปี เหมันตฤดูเวียนมาบรรจบกันอีกครั้ง กงจื่อเย่ยังคงเป็นดังเช่นวันวาน นัยน์ตาสีม่วงแดงของจอมมารเหม่อมองสรรพสิ่งรอบตัวถวิลหาคนที่จากไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้พยายามลบเลือนนางออกไปจากใจแต่สุดท้ายกลับทำไม่ได้อย่างที่คิดจึงได้รู้ซึ้งความทรมานที่ฝังลึกถึงแก่นวิญญาณ โหยหาอยากพบเจอนางอีกครั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการกลับมาพบกันในครานี้นางมีหน้าที่ต้องสังหารมารปีศาจอย่างเขา
ขณะปล่อยความทรงจำโลดแล่นราวกับยินดีติดอยู่ในอดีตของช่วงเวลาที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าคือความสุขหนึ่งเดียว
“เสด็จพี่ เทศกาลชมจันทร์ค่ำคืนนี้ เราสองคนออกไปนอกวังได้หรือไม่เพคะ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
กงจื่อเย่หันไปมองทางด้านหลังแต่กลับไม่พบเจอใครเพราะที่แห่งนั้นมีเพียงซากปรักหักพังของตำหนักจันทราที่เขาเคยพำนักอาศัยยามสวมรอยดำรงชีวิตเป็นหลินซีเวยเท่านั้น
รอยยิ้มเศร้าปรากฏบนใบหน้าของจอมมาร เสียงพึมพำเอ่ยขึ้นมา “เป็นเพราะข้า ทุกอย่างถึงได้พังทลาย”
ช่วงแรก ๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์มารปีศาจบ้าคลั่ง บางครั้งขบวนพเนจรคนอดอยากมักแอบแทรกตัวเข้ามายังเมืองร้างแห่งนี้บ้างเพื่อหาเสบียงหรือของมีค่าที่คนตายทิ้งเอาไว้
หากแต่เสียงร้องไห้โหยหวนกลับดังก้อง หมาป่าหอนเกรียวทั้งคืนจนทำเอาขนลุกขวัญผวาจึงเกิดเสียงลือไปทั่วเมืองใกล้เคียงในแคว้นนั้นว่าเมืองไท่หยางที่เคยรุ่งโรจน์กลายเป็นเพียงเมืองร้างผีสิงที่ไม่มีใครกล้าเฉียดผ่านเข้ามาเพราะกลัวว่าข้างในจะมีวิญญาณของชาวเมืองที่ถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมวนเวียนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดหลอกหลอน
ใครเล่าจะรู้ว่าต้นเหตุของเสียงร่ำไห้จะมาจากคนที่ลงมือทำลายทุกอย่างด้วยตนเอง
บางครา กงจื่อเย่เองนึกสงสัยว่าเหตุใดตัวเขาจึงมีความรู้สึกกับนางมากเพียงนี้
“เจ้าทำอันใดกับข้ากันแน่ ในแก่นวิญญาณของข้าคงไม่ได้มีเพียงเมล็ดพันธุ์ที่เจ้าฝังเอาไว้กระมัง”
คำตอบที่อยากรู้กลับไม่มีผู้ใดตอบได้
“ข้าไม่เคยรักเจ้า ทุกสิ่งที่ข้ารู้สึกในเวลานี้เป็นแค่สิ่งที่เจ้าเล่นเล่ห์ทำให้ข้าหลงกล เฮอะ... เจ้าคงไม่รู้ว่าแผนการของเจ้ามันไม่ได้ผล เจ้าเผลอทำให้เมล็ดพันธุ์ปริแตกก่อนเวลาอันควร อีกทั้งยังไม่รู้ว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าจะรู้ตัวจนทำลายมันได้อย่างง่ายดาย”
แม้จะไม่รู้คำตอบของเรื่องอื่นใด แต่กลับมั่นใจว่าความรู้สึก รักและคิดถึง ในเวลานี้เป็นเพียงสิ่งเหลวไหลทั้งเพ
“เฮอะ... ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำ ทุกอย่างที่เจ้าเสียสละมันไร้ค่าสิ้นดี”
เจ้าตัวแสยะยิ้มเย็นชาพลางร่ายพลังมารเพื่อดึงเอาสิ่งที่อยู่ในกายออกมาทำลายอย่างที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
“เสด็จพี่ ถุงหอมกลิ่นนี้ พระองค์โปรดหรือไม่เพคะ”
“ซีเวย พระองค์จะให้หม่อมฉันเรียกพระนามไปตรง ๆ ได้อย่างไร”
“ซีเวย ข้ารักเจ้า”
ความทรงจำที่แสนอบอุ่นเหล่านั้นกำลังถูกลบเลือนหายไป หัวใจที่เคยว่างเปล่ามาเป็นร้อยปีเต้นรัวด้วยความเจ็บปวดจนน้ำตาไหลพราก
จอมมารฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด “ทำไมข้าถึงทำไม่ได้ จะไปสนใจใยดีคนเช่นนั้นทำไมกัน เจ้าคิดสังหารข้า เจ้าไม่ได้รักข้า เทพอย่างเจ้าก็โป้ปดอย่างนั้นหรือ เช่นนั้น การที่เจ้าทำให้ข้าทุกข์ทรมานคงเป็นอีกหนึ่งวิธีการของเจ้าใช่หรือไม่”
กงจื่อเย่ยังคงดันทุรังทำต่อไป เพียงแต่ว่ายิ่งฝืนทำเช่นนั้นเพื่อทำลายและลบเลือน เขายิ่งทุรนทุรายไม่มีสิ้นสุด กระแสพลังที่ร่ายออกมาเริ่มเบาบางลง เสียงพึมพำไม่ได้ศัพท์เอ่ยซ้ำไปมา
“เยว่ชิง เจ้าอยู่ที่ใด เคยบอกไม่ใช่หรือว่าอยากฆ่าข้าถึงเพียงนั้น แล้วเจ้าหายไปอยู่ที่ใด”
เวลานั้น กงจื่อเย่หยิบถุงหอมที่นางให้ไว้ออกมาดูพลันตัดสินใจได้แล้วว่า “ความทรงจำของเจ้าอยู่ที่ข้า เพราะเหตุนั้นเจ้าจึงไม่รีบกลับมาหาข้าใช่หรือไม่”
แม้จะนั่งอยู่ในศาลาหน้าตำหนักเพียงลำพังแต่หูกลับได้ยินเสียงหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
“เสด็จพี่ หม่อมฉันรักพระองค์ยิ่งนัก”
ในชั่วพริบตา คำหวานซึ้งแปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ใบหน้าผิดหวังเสียใจของนางในวันสุดท้ายก่อนแตกสลายยังคงฝังใจจอมมาร
“เพราะเหตุใดจึงทำเช่นนี้...”
“แม้แต่ลูกของเรา เจ้าก็ละเว้นไม่ได้หรือ”
“พบเจอกันคราหน้า คงได้จบสิ้นวาสนากับเจ้าเสียที”
เขาส่ายหน้าไล่ความทรงจำนั้นออกไปราวกับไม่อยากจดจำว่านางต้องการตัดเขาอย่างไร้เยื่อใย ความคิดในใจสับสนอยู่บ่อยครั้ง
“หากรักข้าถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงคิดจะลาจากกันชั่วนิรันดร์”
กงจื่อเย่เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้า “ข้ารอเจ้าอยู่นาน ไม่เคยคิดไปที่ไหน แต่ข้าคงไม่อาจทนอยู่เฉย ๆ อย่างนี้ได้ ในเมื่อเจ้าไม่กลับมาหาข้าเสียที ข้าคงต้องขึ้นไปตามหาเจ้าด้วยตัวเองกระมัง เยว่ชิง”
หลังจากคิดได้อย่างนั้นแล้ว จอมมารจึงหายลับไปยังภพสวรรค์แอบพรางตัวอย่างแนบเนียนเพื่อเข้าไปเสาะหานาง ผู้คนบนนั้นกำลังง่วนกับการฟื้นฟูและวุ่นวายเตรียมพร้อมรับมือจึงไม่ได้สังเกตเลยว่าเวลานี้มีจอมมารหนึ่งตนกำลังทำตัวประหนึ่งเทพเซียนปะปนอยู่กับพวกเขา
สองหูสดับฟังเสียงเซียนน้อยจากหลายตำหนักพูดคุยกันอยู่เงียบ ๆ สองขาก้าวเดินไปตรงโน้นทีตรงนี้ทีอย่างไร้จุดหมายอยู่ครึ่งค่อนวัน
“ทำไมจึงไม่มีผู้ใดพูดถึงเจ้าเลยเล่า” น้ำเสียงหงุดหงิดพึมพำอยู่คนเดียวคิดอยากใช้พลังบังคับใครสักคนมาไต่ถามให้สิ้นเรื่อง แต่หากทำเช่นนั้นแล้วเทพเซียนคงแตกตื่นแห่มาจับตัวเขาก่อนจะได้เจอนาง
กรุ้งกริ้ง กรุ้งกริ้ง
เสียงกระดิ่งแก้วกระทบกันดังมาจากทางหนึ่งข้างหน้า เซียนน้อยสองนางถือโคมไฟกำลังเดินมาทางเขา
“ข้ารู้มาว่าเทพหลายองค์มิอาจกลับสวรรค์เพราะแก่นวิญญาณแตกสลาย” เซียนน้อยกล่าวกับคนข้างกาย “หน้าที่ของเทพสวรรค์อย่างไรก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง หากจอมมารรบชนะขึ้นมา สามภพคงจะปั่นป่วนมากกว่านี้”
“เป็นดังเจ้าว่า แต่เหตุใดเทพดาราจึงหายไปอย่างนั้นหรือ” นางนึกสงสัย นามของผู้ที่จากไปแล้วจะปรากฏอยู่บนศิลาบรรพชน คนที่ยังอยู่กลับสู่ภพสวรรค์ตามเดิม แต่นางไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย”
“เฮ้อ หากแม้แต่เทพวายุยังไม่รู้ ก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้วว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ที่ใด” เซียนน้อยส่ายหน้า “แปลกยิ่งนัก หรือว่าด่านเคราะห์ยังไม่จบลงหรือ”
“มิใช่หรอก เขาเคยลงไปตามหานางที่แดนมนุษย์แล้ว แต่กลับไม่เจอร่องรอย เวลานี้จึงได้แต่กักตัวอยู่ที่ตำหนักเพื่อใช้พลังตามหานาง”
กงจื่อเย่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก เขาเห็นนางสลายไปด้วยตาตนเอง ไม่มีทางที่ด่านเคราะห์ของนางจะยังคงอยู่ และในเมื่อนางไม่ได้อยู่ในภพสวรรค์ เช่นนั้นแล้วนางอยู่ที่ใดกันแน่
“ไหนบอกว่าจะมาฆ่าข้าอย่างไรเล่า เหตุใดจึงปล่อยให้ข้ารอนานถึงเพียงนี้” เขาพึมพำแล้วเดินไปยังตำหนักที่นางเคยประทับยามมีชีวิตอยู่ “แม้แต่ที่แห่งนี้ก็ยังไร้เงาของเจ้า”
จู่ ๆ กลับคิดได้ว่าบางทีใครบางคนอาจจะช่วยเขาตามหานางได้จึงรีบหายตัวกลับมายังภพมารทันที
การปรากฏตัวของเขาทำให้ลูกน้องทั้งสามตกอกตกใจไม่น้อย รีบกุลีกุจอเข้ามาทำความเคารพด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเพราะไม่รู้ว่ายามนี้อารมณ์ของเขาเป็นอย่างไร
“นายท่าน มีเรื่องอันใดหรือขอรับ” เฉินซือหยางรีบถามทันทีที่เห็นหน้าเขา
“อีนั่ว เป็นอย่างไรบ้าง” เขากลับเอ่ยถามหลิวอิงอิงผู้รับหน้าที่ร่ายพลังมาร พลันสายตาเหลือบเห็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในแก่นวิญญาณของร่างลูกชายหนึ่งเดียว
รอยยิ้มมุมปากแสดงถึงความเจ้าเล่ห์เพราะรู้ว่ามันคือสิ่งเดียวกันกับที่อยู่ในแก่นวิญญาณของเขา
รากต้นไม้แห่งชีวิตกำลังหยั่งลึกในใจของบุตรจอมมารกลายเป็นสิ่งยืนยันที่ทำให้กงจื่อเย่ไม่อาจปฏิเสธและหลอกตัวเองได้อีกต่อไป
“มารปีศาจอย่างข้าน่ะหรือหลงรักเจ้า เยว่ชิง” จอมมารพึมพำ
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้