โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนาน
พ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาด
คนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้ว
เจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่
กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย
“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว
“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเจอมาไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น “หมู่บ้านข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น วันเกิดเรื่อง คนในหมู่บ้านข้าได้ยินเสียงคำรามดังมาจากทางนั้นด้วย ไม่ว่าจะฟังอย่างไรก็ดูรู้ว่าไม่ใช่เสียงสัตว์ป่า”
“...” ทุกคนที่นั่งล้อมวงตั้งใจฟังสิ่งที่คนตรงหน้าเล่าตาไม่กระพริบ ในใจพลอยหวาดกลัวไปด้วย
“ข้ามาหลบอยู่ใต้ถุนบ้านเพราะกลัวว่าพวกสัตว์ดุร้ายจะบุกเข้ามา แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเห็นอะไรในคืนนั้น” หัวใจของเขาเต้นตึกตักก่อนยกเหล้ามาซดอีกครั้งหนึ่งเพราะความทรงจำในตอนนั้นยังกระจ่างชัด
“ข้ากลัวแต่ว่าข้าก็อยากรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทนไม่ไหวแอบมองผ่านช่องไม้ ข้ามั่นใจว่าข้าไม่ได้ตาฝาด รูปร่างของมันเหมือนหมีตัวใหญ่ราวหนึ่งจั้ง ร่างหนากำยำค่อย ๆ เดินเข้ามาในหมู่บ้านของข้า” น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ “มันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว ข้าเห็นบางตัวมีเขี้ยวแหลม มีเขายาว ดวงตาของมันสีแดง ขะ...ข้าได้กลิ่นเลือด แล้วตอนนั้นก็มีเสียงร้องของคนในหมู่บ้าน”
“...”
“ข้ากลัวจนขยับตัวไม่ได้ ข้าได้ยินเสียงร้องของพวกเขา แต่ข้าไม่กล้าออกไปช่วย” สายตาของเขาหลุดลอย น้ำตาหยดเพราะความเศร้าใจ “โชคดีที่ตอนนั้นเซียนสำนักหนึ่งผ่านมาพอดีจึงช่วยข้ากับคนในหมู่บ้านที่เหลือได้ พวกเขาบอกว่าให้รีบเดินทางออกจากที่นั่นทันทีที่ฟ้าสางและอย่าได้กลับมาอีก”
อีกฟากหนึ่งของโรงเตี๊ยม
ชายผู้หนึ่งได้ยินเรื่องนั้นแล้วลอบยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่าทางเจ้าพวกนั้นทำงานได้ดีเลยนี่นา” เขาพูดกับสหายที่นั่งอยู่ใกล้กัน
“ไม่ได้เรื่องกันทั้งหมดนั่นแหละ เจ้าไม่รู้หรือว่าผ่านมาสิบแปดปีแล้ว” โจวเหวินหลงถอนหายใจกลัวว่าเจ้านายจะรู้สึกตัวว่าพวกเขาทำงานชักช้าเกินไปแล้ว
“โธ่ ขี้กลัวหัวหดไปได้” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาดูผ่อนคลาย “เวลาในภพสวรรค์ต่างจากแดนมนุษย์ นายท่านไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน”
เฉินซือหยางมั่นใจเพราะรู้ว่าเวลาในแดนมนุษย์หนึ่งร้อยปีเทียบได้กับเวลาในภพสวรรค์ที่ผ่านพ้นไปเพียงแค่หนึ่งปี
“ครั้งหน้าเราไปที่เมืองหลวงเลยดีหรือไม่” เฉินซือหยางเสนอขึ้นมา พวกเขาค่อย ๆ ไล่ตามหาสวีลู่ชิงมาสิบแปดปีแต่กลับไม่รู้เลยว่านางเกิดเป็นผู้ใดและอาศัยอยู่แห่งไหนถึงได้ตามหายากเย็นเพียงนี้
“เจ้าหมายถึงทำลายเมืองหนานน่ะหรือ” โจวเหวินหลงเข้าใจสิ่งที่สหายพูดเป็นอย่างดี โรงเตี๊ยมที่พวกเขาพักในคืนนี้ก็เช่นกัน พอผ่านพ้นวันใหม่ทั้งโรงเตี๊ยม ทั้งคนที่อยู่ที่นี่ย่อมไม่อาจมีชีวิตรอดไปได้
“สวีลู่ชิงผู้นั้นไม่มีทางมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาหรอกกระมัง นางครอบครองโชคชะตาของเทพบรรพกาลมิใช่หรือ อย่างน้อยนางน่าจะเป็นเซียนสำนักหนึ่งนั่นแหละ” เฉินซือหยางคาดเดาได้ถูกต้อง พวกเขาจึงไม่ตามหานางอย่างเงียบ ๆ เหมือนเคย แต่กลับสร้างความปั่นป่วนไปทั่วแดนเพื่อล่อให้นางออกมาติดกับ
“...” โจวเหวินหลงนั่งครุ่นคิดว่าเหตุการณ์ในภพสวรรค์เวลานี้คงวุ่นวายไม่น้อยไปกว่ากันถึงไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าแดนมนุษย์กำลังถูกเหล่าผีปีศาจก่อความไม่สงบ
หลังจากนั้นทั้งคู่จึงเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงตามแผนที่วางเอาไว้
อีกทางด้านหนึ่งบนภพสวรรค์
สวีต้าเฟิงสู้รบตบมือกับหลิวอิงอิงอย่างไม่มีใครยอมใคร นางมักหลอกล่อเขาด้วยมารยาปีศาจสารพัดอย่างจนเขาเกือบตกหลุมพรางหลายครั้ง
โชคยังดีที่อาวุธเทพคู่กายคอยเตือนสติเพราะไม่ถูกกับพลังปีศาจเช่นนาง การที่สวีต้าเฟิงรอดมาได้ทุกครั้งสร้างความเหนื่อยหน่ายใจให้คู่ต่อสู้เป็นอย่างยิ่งเพราะนางโดนรบเร้าจากเจ้านายไม่หยุดไม่หย่อน
“เจ้าจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เลยใช่หรือไม่” นางตะโกนถามคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม เสื้อผ้าหน้าผมสะบักสะบอมสมกับที่ต้องรับมือกับเทพระดับสูง
“...” อีกฝ่ายนิ่วหน้าเคร่งเครียด “ยอมแพ้ให้เจ้าทำลายดินแดนของข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าใช้สิ่งใดคิดกันเล่า”
“ปากเจ้านี่มันน่าตัดออกไปให้สัตว์อสูรกินเสียนี่ ข้าเกลียดจริง ๆ เลย” หลิวอิงอิงส่ายหน้าถอนหายใจ ไม่รู้ว่านางจะต้องทนฟังคำพูดของเทพปากเปราะไปอีกนานเท่าใด
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมแพ้แล้วถอยทัพมารกลับไปเล่า” ในเมื่อจอมมารเป็นฝ่ายบุกมา เขาจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เจ้าถามสิ่งที่รู้คำตอบอยู่แล้วหรืออย่างไร หากพวกเจ้าไม่ทำร้ายนายท่าน มีหรือทัพมารจะบุกมาถึงนี่” สายตาของนางเหยียดหยามสวีต้าเฟิง
“เหตุใดจึงรับบทผู้ถูกกระทำ ไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร” เทพวายุยิ้มมุมปาก “พวกข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น” แล้วสาดพลังเทพใส่นางเต็มกำลังจนร่างปีศาจลอยกระเด็นไปไกลได้ยินเพียงเสียงด่ากราดเกรี้ยวลอยมาตามสายลม
ครั้นสลัดหลิวอิงอิงไปได้ชั่วครู่ เขาจึงรุดหน้ามาดูความเสียหายของต้นไม้แห่งโชคชะตา
“ข้ากับพวกเขาช่วยกันผนึกม่านเอาไว้แล้ว แม้จอมมารจะเข้ามาแทรกแซงดวงชะตาของสวีลู่ชิงก็คงทำได้ไม่ง่าย” เทพองค์หนึ่งพูดกับเขาแล้วเอ่ยปากให้กำลังใจเพราะรู้ดีว่าวันหนึ่งน้องสาวของสวีต้าเฟิงต้องสละชีวิตตัวเอง
“อื้ม” เทพวายุพยักหน้า อยากลงไปดูสวีลู่ชิงที่โลกมนุษย์ยิ่งนักเพราะไม่รู้ว่าป่านนี้แล้วนางจะเป็นเช่นไรอย่างที่เคยทำเมื่อครั้งก่อน เพียงแต่เวลานี้ติดพันกับเหตุการณ์บนสวรรค์จนไม่อาจปลีกตัว
กระนั้นก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะเพราะเทพจันทราเคยเล่าเรื่องดวงชะตาของนางให้ฟังมาแล้วคร่าว ๆ ว่าด่านเคราะห์ของสวีลู่ชิงยังคงเป็นปกติทั่วไป
เขารู้ว่านางจะต้องเผชิญด่านเคราะห์เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตและเพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุด นางจะต้องพบเจอเรื่องราวหลากหลายอารมณ์ ทั้งยินดี โกรธ เศร้า กลัว เกลียด รัก ใคร่
แม้เรื่องราวในชีวิตจะต้องประสบทั้งทุกข์และสุข แต่นางจะมีชีวิตเซียนยืนยาวเกือบร้อยปี และเมื่อต้องกลับกลายเป็นมนุษย์เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ครั้งสุดท้าย นางจะได้อยู่กับครอบครัวที่มีความสุขและมีลูกชายที่น่ารักหนึ่งคน
ดังนั้น สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือปกป้องต้นไม้ของเทพจันทราเอาไว้ให้ดีที่สุดเพื่อที่ว่ากงจื่อเย่จะไม่เข้าไปยุ่งกับโชคชะตาของนาง
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้