แดนมนุษย์
เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพ
ตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตา
เมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กัน
เหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเอง
ครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วน
เด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรากฏตัวขึ้นในตะกร้าหน้าสำนักเซียนดาราสวรรค์ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส
ดอกจื่อเถิงสีม่วงอมชมพูบานสะพรั่ง สายลมพัดกลีบดอกไม้ปลิวไสวล่องลอยราวกับภาพวาด
เวลานั้นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากตำหนักต้นหลิว สีหน้าของนางรับรู้ได้ว่าเด็กทารกผู้มีดวงชะตาอาภัพกำลังรอนางอยู่ใต้ต้นจื่อเถิง
นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำใจให้ชินกับความเป็นไปทางโลกและพร้อมโอบรับชะตากรรมของนางด้วยเช่นกัน
ครั้นได้เห็นใบหน้าน่ารักน่าชังของทารกตัวน้อย นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้งแล้วยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“จื่อเถิง จนกว่าจะถึงวันนั้น เรามาใช้ชีวิตที่มีความสุขด้วยกันเถอะนะ” น้ำเสียงของนางแผ่วเบา เซียนผู้เป็นเจ้าสำนักดาราสวรรค์โอบอุ้มทารกน้อยพร้อมตั้งชื่อให้นางเหมือนกับดอกจื่อเถิงที่ผลิบานงดงามในเวลานี้
สวีลู่ชิงร่างใหม่ไร้ความทรงจำและพลังใด ๆ ยามเมื่อตนเป็นเทพดาราเพราะทุกสิ่งทุกอย่างถูกผนึกเอาไว้ในส่วนลึก นางจึงมองมนุษย์ที่พบเจอคนแรกด้วยรอยยิ้มไร้ความกังวล
หารู้ไม่ว่าการเผชิญด่านเคราะห์ครั้งนี้จะไม่เหมือนกับเมื่อครั้งก่อนเพราะมีตัวแปรอย่างจอมมารเข้ามายุ่งวุ่นวายกับโชคชะตาของนางด้วยตัวเอง
แทนที่จะเผชิญด่านเคราะห์ทั่วไปอย่างเคย ครานี้ชะตากรรมของนางจะเจ็บปวดแสนสาหัสเกินจะทนไหว
นอกจากสวีลู่ชิงแล้ว เหล่าเทพเซียนองค์อื่น ๆ ได้จุติลงมาในแดนมนุษย์ด้วยเช่นกัน โชคชะตาของแต่ละคนแตกต่างกันไปแต่ทุกคนล้วนต้องมาเกี่ยวข้องกับสวีลู่ชิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจ้าสำนักดาราสวรรค์พาทารกน้อยจื่อเถิงเข้ามาในตำหนักพลางเรียกอาจารย์สำนักคนอื่น ๆ เข้ามาหา ประกาศเรื่องรับนางมาอุปถัมภ์ดูแลและให้เฉาหมิงเป็นอาจารย์สายตรงคอยอบรมสั่งสอนนาง
“หากเจ้าสำนักเซียวเห็นควรเป็นเช่นนั้น ข้าจะทำตามคำสั่งของท่านอย่างสุดความสามารถ” เฉาหมิงรับปากพลางมองใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กน้อยผู้มาใหม่
เวลานั้นศิษย์น้องคนสุดท้ายของสำนักดาราสวรรค์เดินตรงเข้ามาหาจื่อเถิ่ง แม้ดวงตาของเขาจะบอดสนิททั้งสองข้างแต่ใจของเขากลับรับรู้สรรพสิ่งรอบกายได้เป็นอย่างดี
หยางซีอวิ๋นมองเห็นพลังที่แปลกจากที่เคยเห็นถูกผนึกอยู่ในร่างจื่อเถิงน้อย พลังบริสุทธิ์ที่เขาสัมผัสได้ทำให้ตัวเขาเองรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านอาจารย์เจ้าสำนัก นางเป็นผู้ใดหรือ” หยางซีอวิ๋นวัยเจ็ดขวบถามนางด้วยความสงสัย
“อืม รู้ลึกถึงเพียงนี้เชียวหรือ” นางคล้ายได้คำตอบแล้วว่าทำไมเขาถึงมองเห็นพลังที่ซ่อนเร้นในกายของทารกน้อยพลางคิดในใจว่า หยางซีอวิ๋นผู้นี้คงจะมาจากที่เดียวกันกับจื่อเถิงกระมัง
“ข้าจะดูแลศิษย์น้องของข้าเป็นอย่างดีขอรับ” รอยยิ้มบางผุดขึ้นมา เขาเอื้อมมือข้างซ้ายแตะปลายนิ้วก้อยน้อย ๆ ของจื่อเถิงเพื่อทำความรู้จักกัน
พลันเสียงหัวเราะของจื่อเถิงดังขึ้นเพราะสัมผัสของเขา “น่ารักน่าชัง” หยางซีอวิ๋นเอ่ยพึมพำ
“เฮ้อ... เห็นเช่นนี้แล้วข้าคงห้ามเจ้าไม่ได้กระมังเสี่ยวอวิ๋น” เจ้าสำนักเซียวส่ายหน้าแล้วบอกให้อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ “ลองอุ้มนางดูเถิด”
เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของศิษย์พี่ จื่อเถิงยิ้มให้เขาหน้าระรื่น ยื่นมือกลม ๆ น้อย ๆ คิดจะแตะใบหน้าที่กำลังมองตนเองอย่างอ่อนโยน
“ข้ามีศิษย์เพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วสินะ” เฉาหมิงถอนหายใจ เดิมทีคิดว่าจะรับหยางซีอวิ๋นเป็นศิษย์สายตรงคนสุดท้ายแล้วแท้ ๆ แต่หากดูจากท่าทางของศิษย์พี่มือใหม่เวลานี้แล้วคงไม่แคล้วขอร้องให้เขารับนางเป็นศิษย์ไปอีกคนแน่ ๆ
“ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือว่าให้เจ้าเป็นอาจารย์ของนาง” เจ้าสำนักเซียวเลิกคิ้วคิดว่าคนตรงหน้าลืมเรื่องที่พูดคุยก่อนหน้านี้ไปแล้ว “เจ้าคงจะไปฝากจางเจี๋ยหลุนดูแลใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอก” เสียงของเขาสูงปรี๊ดผิดปกติจนหยางซีอวิ๋นหัวเราะลั่น
“อาจารย์ขอรับ เรื่องดูแลศิษย์น้อง ศิษย์จะช่วยท่านเอง” เขาหลงรักเจ้าจื่อเถิงเต็มเปาจึงเอ็นดูน้องสาวคนนี้เป็นอย่างมาก “ในที่สุดก็จะมีคนเรียกข้าว่าศิษย์พี่แล้ว”
“นึกแล้วเชียว” เฉาหมิงส่ายหน้าแล้วขยี้ผมยาวสีดำขลับของศิษย์รักตามประสา
กาลเวลาผันผ่านไปอย่างสงบเรียบง่าย ทารกน้อยจื่อเถิงในวันนั้นค่อย ๆ เติบโตอย่างงดงามราวกับดอกจื่อเถิงที่บานสะพรั่ง
เวลานี้จื่อเถิงอายุครบสิบแปดปี ชีวิตรายล้อมด้วยความสุขที่ศิษย์พี่และอาจารย์มอบให้ ไม่เคยต้องประสบพบความยากลำบากใด ๆ มาก่อน
บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกพเนจรช่วยเหลือชาวประชาที่ตกทุกข์ได้ยาก เรียนรู้ความลำบากและผ่านด่านเคราะห์ที่กำหนดให้นางเผชิญ
“ศิษย์น้องจื่อเถิง” เสียงเรียกของหยางซีอวิ๋นทำให้นางรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาถือดอกไม้กลิ่นหอมนานาชนิดมามอบให้นางเป็นของขวัญวันที่บรรลุคัมภีร์เซียนขั้นที่สามหลังจากฝึกฝนมานานหลายปี
“ศิษย์พี่จื่อเถิง” อิงฮวาผู้เป็นศิษย์คนสุดท้ายของสำนักดาราสวรรค์เรียกนางด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “อาจารย์บอกว่าศิษย์พี่จะออกเดินทางใช่หรือไม่”
“อืม” นางตอบสั้น ๆ รู้ดีว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร
แม้อิงฮวาจะเป็นศิษย์สายตรงของจางเจี๋ยหลุน แต่อาจารย์อาไม่ได้เคร่งครัดห้ามปรามสิ่งใดกับอิงฮวาแม้แต่น้อย นางจึงมักจะมาเกาะติดจื่อเถิงและหยางซีอวิ๋นอยู่เป็นประจำ
หากจื่อเถิงต้องออกเดินทางไกล อิงฮวาจะต้องขอตามติดไปด้วยอย่างแน่นอน
“ศิษย์พี่จื่อเถิง คือว่าข้า... ข้า...” นางพูดตะกุกตะกักเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ “คือว่า ข้า..”
“เจ้าทำไมหรือ” จื่อเถิงเห็นท่าทางของนางจึงนึกอยากแกล้ง
“ข้า.. คือว่า..”
“เจ้าอยากร่วมเดินทางกับศิษย์พี่ใช่หรือไม่” หยางซีอวิ๋นเป็นคนถามนางตรง ๆ พลางมองหน้าจื่อเถิง
“เจ้าค่ะ” ศิษย์วัยสิบห้าพยักหน้ายอมรับ “ข้าอยากไปด้วย พวกท่านรอข้าอีกสักเจ็ดวันได้หรือไม่ ข้าจะรีบสอบคัมภีร์เซียนขั้นสองให้ผ่าน”
“หากเจ้ามุ่งมั่นถึงเพียงนั้น ศิษย์พี่จะใจร้ายไม่ให้เจ้าไปด้วยได้อย่างไร” จื่อเถิงลูบศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา “เช่นนั้นรีบเตรียมตัวสอบให้ผ่านดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” อิงฮวาพยักหน้าแล้วรีบวิ่งไปที่ตำหนักของอาจารย์ด้วยพลังเต็มเปี่ยม แววตามุ่งมั่นราวกับมีไฟลุกโชน
“ตามใจศิษย์น้องอีกแล้วจื่อเถิง” หยางซีอวิ๋นยิ้มให้นาง
“ศิษย์พี่เป็นคนอนุญาตนางแท้ ๆ” จื่อเถิงย้อนเพราะคนที่ตามใจศิษย์น้องมากที่สุดก็คือเขา
“เฮ้อ มีเด็กน้อยสองคนเดินทางอยู่ข้างกาย ข้าคงจะปวดหัวน่าดู” หยางซีอวิ๋นทำทีถอนหายใจ
“ศิษย์พี่ ข้าไม่ได้ดื้อถึงเพียงนั้นเสียหน่อย ท่านพูดเกินไปแล้ว” จื่อเถิงส่ายหน้าไม่ยอมรับว่านางคือคนที่ดื้อที่สุดในสำนักดาราสวรรค์
“จริงหรือ ถ้าศิษย์น้องยืนยันเช่นนั้น ข้าคงต้องเชื่อแล้วล่ะ” หยางซีอวิ๋นหัวเราะเบา ๆ
จากนั้นทั้งคู่จึงตั้งสมาธินั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ใต้ต้นหลิวรอคอยอิงฮวาสอบคัมภีร์เซียนด้วยความสงบเตรียมพร้อมออกเดินทางผจญภัยในดินแดนนอกสำนัก
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
สำนักเซียนดาราสวรรค์“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักคล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า &ld
ช่วงเวลานั้นเกิดเสียงหวีดร้องและเสียงปะทะพลังของทั้งสองฝ่ายกระหึ่มดังไปทั่วบริเวณเซียนหนุ่มหันไปมองสหายด้วยสายตากังวล“ไม่เป็นอันใดหรอก เลี่ยงหวง” เซียนสาวบอกศิษย์ร่วมสำนักด้วยท่าทีใจเย็นเพราะมีประสบการณ์เรื่องต่อสู้มามาก “จำที่อาจารย์สอนเจ้าได้หรือไม่”เลี่ยงหวงพยักหน้าแล้วรวบรวมพลังเซียนวิชาหนึ่งของสำนักตนเอง พลันแสงสีขาวก่อตัวพองโตเป็นลูกกลม ๆ ขึ้นทีละนิด เขาขมวดคิ้วกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าพร้อมแล้ว”เฉินซือหยางมัวแต่วอกแวกเพื่อกวนประสาทเซียนทั้งสองจึงไม่ทันระวังตัวโดนพลังเซียนขั้นสูงสาดใส่ร่างปีศาจเข้าเต็มเหนี่ยวกระเด็นทะลุบ้านเรือนไปหลายหลังเขายันตัวลุกขึ้นเอียงคอจัดกระดูกที่หักไปหลายท่อนกลับมาดังเดิมแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากพลางปัดฝุ่นดินบนเสื้อผ้า แสยะยิ้มที่ไม่ได้เจอผู้ใดมีฤทธิ์เดชรุนแรงเท่าสองคนข้างหน้ามานานมากแล้ว“เฉินซือหยาง เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขามิใช่เซียนธรรมดา”มังกรดำเอ่ยปากเตือนเพราะไม่อยากให้สหายเพลี่ยงพล้ำจนเสียการงาน
มังกรดำโผล่หน้าเหนือศีรษะของอิงฮวาอ้าปากรอเขมือบร่างบางที่มิอาจหลีกหนีได้ทัน หากแต่แสงจากกระบี่เซียนกำลังง้างปากของมังกรดำเอาไว้ไม่ยอมให้มันบดขยี้จื่อเถิงและหยางซีอวิ๋นยังไม่อาจผละจากกองทัพปีศาจที่อยู่รอบตัวได้ ครั้นกำจัดไปหนึ่งก็จะถูกอีกสองถ่วงแข้งขาเอาไว้อย่างรู้งานในเมื่อไม่อาจขย้ำเหยื่อตัวน้อยตรงหน้าได้ มังกรดำจึงเปลี่ยนวิธี ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังชีวิตของอิงฮวาแทนเส้นสายสีขาวจาง ๆ ถูกดึงยืดออกจากร่างเซียนน้อยทีละนิดจนนางไม่อาจกลั้นเสียงร้องเจ็บปวดได้ค่อย ๆ หมดแรงต้านทานจนปากของสัตว์อสูรเริ่มปิดลงได้เรื่อย ๆ“ศิษย์พี่...” เสียงหอบเหนื่อยล้าของอิงฮวาพึมพำอยู่ลำพัง คิดในใจว่าวันนี้ตนเองอาจจะไม่รอดจึงร่ายพลังน้อยนิดที่เหลืออยู่ส่งสัญญาณให้พวกเขาดวงไฟสีขาวพุ่งเข้าหาจื่อเถิงกับหยางซีอวิ๋นในพริบตาจึงทันได้หันรอยยิ้มสุดท้ายของศิษย์น้องเล็กที่กำลังจะถูกมังกรดำเขมือบอยู่รอมร่อเหตุการณ์นี้กระตุ้นให้จื่อเถิงเปิดผนึกเทพดาราออกส่วนหนึ่งเกิดรอยอักขระโบราณขึ้นที่แขนของนางพลันพลังเทพดาราส
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์นั้นแล้ว จื่อเถิงจึงไม่รอช้านั่งสมาธิรวบรวมพลังเซียนของตนเองไว้ใจกลางจุดกำเนิดพลังเพื่อเก็บเกี่ยวสรรพสิ่งรอบตัวหลอมรวมเมล็ดพันธุ์ให้สมบูรณ์เลี่ยงหวงมีสีหน้ากังวลที่เห็นนางทำเช่นนั้นจึงถามศิษย์พี่ของนาง “นางกดดันตนเองเกินไปหรือไม่ เดิมทีเมล็ดพันธุ์จะสมบูรณ์เมื่อครบกำหนดอายุขัยในชาตินั้น แต่นี่นางจะย่นเวลาเพื่อหลอมรวมมันเชียวหรือ”“พวกเรามีทางเลือกด้วยหรือ” หยางซีอวิ๋นกล่าวขึ้น “จอมมารที่ไม่ควรปรากฏตัวกลับอยู่แดนมนุษย์ในเวลานี้ ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามันจะคร่าอีกกี่ชีวิตเพื่อตามหานาง”จื่อเถิงรู้ดีว่าตนเองมีขีดจำกัดเท่าใด หากมีความมุ่งมั่นแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดนางก็จะทำให้สำเร็จจงได้ ในเมื่อมีชีวิตของทุกคนเป็นเดิมพัน นางจึงไม่อาจอยู่เฉยปล่อยให้ใครต่อใครถูกทำลายทว่า พวกเขาไม่อาจหลบซ่อนอยู่ในเมืองจิวหรงได้นานเพราะสัตว์อสูรหลายตนผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
ภพสวรรค์เทียนจวินและเทพอาวุโสถูกพลังมารกำบังตาชั่วขณะหนึ่งจึงไม่ทันสังเกตว่าจอมมารเล่นแร่แปรธาตุหลบหนีตามสังหารคนของตัวเองร่างมารของกงจื่อเย่ที่อยู่บนแดนมนุษย์ดูดกลืนพลังชีวิตผู้คนเป็นอาหารทำให้พลังความชั่วร้ายของเขาในร่างมารบนสวรรค์เพิ่มขึ้นด้วยแท่นเสาศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกมัดเขาเอาไว้ ถูกกงจื่อเย่สั่นสะเทือนเล็กน้อยให้อีกฝ่ายตกใจเล่น ในใจมองว่าพลังเทพเซียนเหล่านั้นช่างเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิดเขาสั่งการหลิวอิงอิงค้นหาคำตอบว่าเทพสงครามเล่นกลอันใดกับตัวเขาก่อนที่ร่างจะสลาย พลางจ้องหน้าเทพวายุด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“ดวงตาสีฟ้า เรือนผมสีขาว เหมือนกันมากทีเดียว” กงจื่อเย่หัวเราะลั่น แม้จะยังไม่เคยพบหน้าเทพดาราตัวจริงมาก่อน แต่ภาพที่เห็นจากรายงานของโจวเหวินหลงก็ทำให้เข้าใจอย่างหนึ่งไม่ว่านางจะลงมาเกิดเป็นผู้ใด หากแต่รูปลักษณ์ของนางไม่เคยเปลี่ยน
แดนมนุษย์หยางซีอวิ๋นประคองร่างบางของอิงฮวาไว้ข้างกาย มืออีกข้างที่เหลือกำด้ามกระบี่กวัดไกวสู้กับปีศาจสองสามตนที่กำลังล้อมหน้าล้อมหลังพวกมันเอื้อมมือสาวปลายผมยาวของอิงฮวาติดไปด้วยพลางยื้อหยุดฉุดกระชากตามใจหมายจะได้ดูดกลืนพลังชีวิตเซียนแสนบริสุทธิ์“ศิษย์พี่ ปล่อยข้าไว้เถิด” อิงฮวาเอ่ยปากบอกเขา สีหน้าจริงจังเพราะรู้สึกว่ากำลังเป็นตัวถ่วงทำให้เขาเหาะเหินเดินไม่สะดวก“ไม่ได้!” หยางซีอวิ๋นปฏิเสธทันควัน “หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้เมื่อครู่ คงเป็นข้าที่ถูกพวกมันทำร้ายจนสาหัสเพียงนี้”เช้าวันนี้ ทั้งสองคนเพียงแค่ออกมาตรวจดูลาดเลาพื้นที่ภายนอกเท่านั้นเพราะเห็นว่ามารปีศาจไม่สามารถเข้ามายังป่าสนแดงฝั่งตะวันออกได้ทว่า ความสงบเงียบกลับกลายเป็นภาพลวงตาที่ปีศาจตนหนึ่งสร้างเอาไว้ ศิษย์สำนักดาราสวรรค์ถูกหลอกเข้าเต็มเปาจนเพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในวงล้อมของ
เมื่อได้ยินศิษย์น้องพูดเช่นนั้น หยางซีอวิ๋นได้แต่ส่ายหน้าเพราะเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าปลายทางของโชคชะตาจะเป็นอย่างไร จึงเอ่ยปลอบใจจื่อเถิงว่า “เช่นนั้นข้าจะพยายาม”“แล้วเจ้าเล่าอิงฮวา” จื่อเถิงถามศิษย์น้องบ้าง“ข้าก็จะพยายามเจ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับปากเป็นอย่างดีจู่ ๆ ท้องฟ้าโปร่งกลับมีเค้าเมฆฝนราวกับพายุลูกใหญ่กำลังจะพัดผ่านมาทางนี้ หยางซีอวิ๋นพูดขึ้นมาว่า “ไม่ไกลจากที่นี่คงเป็นเมืองเป่ย พวกเรารีบไปหาที่พักก่อนฝนตกจะดีกว่า”หนึ่งก้านธูปต่อมาครั้นเข้ามายังใจกลางเมืองเป่ย ทหารอารักขาหลายสิบนายต่างกรูกันเข้ามาทำความเคารพพวกเขาราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน“เอ่อ... พวกท่าน...” จื่อเถิงทำตัวไม่ถูก มือไม้พันกันเป็นระวิง“ท่านเซียนสำนักดาราสวรรค์ใช่หรือไม่” หนึ่งในนั้นถามพวกเขาสีหน้
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง