จอมมารที่เหลือเพียงเงาดำจาง ๆ เดินทางร่อนเร่กลับภพมารตัวคนเดียว ระหว่างทางคอยสูบกินพลังชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาทีละนิดเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างมารปีศาจของตนเอง
หากแต่ครั้งนี้ทำไปเพื่อกลับคืนร่างเดิมให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ปกป้องครอบครัว
เวลานั้นเขาลืมนึกไปเลยว่าตำแหน่งผู้ปกครองภพมารสามารถสั่นคลอนได้ทุกเมื่อ มัวแต่เป็นห่วงกลัวว่าสวีลู่ชิงจะถูกอสนีบาตจนแหลกสลายจึงรีบไปห้ามนาง
ถ้าครั้งนี้กลับมาได้คงต้องวางแผนจัดการไม่ให้มีมารปีศาจตนใดคิดกระด้างกระเดื่องอยากชิงพลังอันกล้าแกร่งของอีนั่วหรือทำร้ายเขา
แม้ว่าจะต้องสลายไปอีกครั้งเพราะกฎของสวรรค์ที่มารปีศาจอย่างเขาไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ กงจื่อเย่คิดแล้วว่าแปลงร่างเป็นนกน้อยอยู่กับนางและลูกไม่ได้แย่สักเท่าใดนัก อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
เงาดำของจอมมารแอบอยู่มุมหนึ่งคอยดูสถานการณ์อย่างใจเย็น จดจำได้หมดว่าผู้ใดคิดล้มล้างอำนาจของเขาจึงหมายหัวเอาไว้แล้วว่าจะกลับมาจัดการในภายหลัง
“ยังตามหาไม่เจออีกรึ” เสียงทุ้มหยาบโพล่งถามใครบางคนไม่สบอารมณ์ “ทำงานไม่ได้เรื่องจริง ๆ”
“พวกข้าตามหาทุกที่แล้วขอรับนายท่าน มารน้อยนั่นอาจจะตายไปแล้วก็ได้จึงทำให้หาไม่เจอเสียที” ลูกสมุนของเขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กกลัวเจ้านายจะจับตัวเองกินเป็นอาหารเย็น
“เป็นไปไม่ได้ พวกสวรรค์ยังไม่รู้ว่าสายเลือดจอมมารยังคงอยู่ คงไม่มีผู้ใดทำอันตรายเขาหรอกเพราะฉะนั้น มารน้อยนั่นต้องหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งแน่ ๆ” ปีศาจตัวใหญ่ขบคิดด้วยสีหน้าจริงจังพลางมองไปรอบโต๊ะไม้ยาวที่มีบรรดามารปีศาจและสัตว์อสูรที่รู้ความนั่งอยู่ราวกับกำลังร่วมมือกันหาวิธีกำจัดมารน้อยอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เราช่วยกันกวนน้ำให้ขุ่นดีหรือไม่” สัตว์อสูรเขายาวแสยะยิ้มคิดว่าแผนของตนดีที่สุด “ถึงจะชิงพลังนั่นมาได้แต่ว่าให้พวกสวรรค์กำจัดมารน้อยก็ดีเหมือนกัน”
“ข้าเห็นด้วย ต่อให้ไม่ได้พลังมา มารน้อยนั่นก็จะได้ไม่กลายเป็นเสี้ยนหนามคอยขัดขวางพวกเราปกครองภพมาร” ปีศาจตนหนึ่งลูบคางแหลมยาวของตนเองรอดูท่าทีของผู้อื่น
“เช่นนั้น เจ้าไปปั่นหัวพวกชาวสวรรค์เสียว่าจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ยังหลงเหลือสายเลือดหนึ่งเดียวเอาไว้ วันข้างหน้าที่เขาเติบโตขึ้นมา สวรรค์จะถูกถล่มราบเป็นหน้ากลอง”
เสียงหัวเราะร่าดังก้องจนไม่รู้ตัวเลยว่าเวลานี้เงาดำทะมึนของจอมมารที่ว่ากำลังคืบคลานเข้าใกล้เพราะรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่พวกมันคิดหาทางยืมมือเทพสวรรค์มากำจัดบุตรชายของตนเอง
พรึ่บ!
จู่ ๆ สมุนปีศาจหนึ่งตนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เจ้านายก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีผู้ใดสังเกตเลยว่าบนพื้นตรงนั้นมีเลือดหยดซึมลงไปใต้ดิน
กงจื่อเย่เช็ดปากหลังกินอาหารเสร็จเรียบร้อย สีหน้าเหยเกเล็กน้อยเพราะรสชาติไม่ถูกปากเหมือนเลือดเนื้อของพวกเทพเซียน พลันนึกถึงเลือดและกลิ่นหอมหวานของสวีลู่ชิงขึ้นมาทันใด
“เฮ้อ จากกันไม่นานก็คิดถึงเจ้าเสียแล้ว ไม่รู้ว่าข้าโดนคำสาปอันใดถึงได้ยึดติดกับเจ้าผู้เดียวมากถึงเพียงนี้” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่นึกอยากหายตัวกลับหมู่บ้านดอกท้อเสียตั้งแต่ตอนนั้น
ทว่า จอมมารที่ร่างกายอ่อนแอทำได้แค่หลบซ่อนอยู่ในภพมารคอยสูบกินพลังที่ล่องลอยอยู่ในแดนนี้ทีละนิดเพื่อฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาเป็นดังเดิม ทั้งยังคอยกำจัดมารปีศาจที่คิดเล่นงานบุตรชายของตนโดยไม่ออมมือ
หากคิดกำจัดให้หมดควรต้องไล่ล่าตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ เพื่อสะสมพลังแล้วค่อย ๆ ทำลายพวกดึกดำบรรพ์ที่อาศัยมานาน
มารปีศาจและสัตว์อสูรในตำนานล้วนหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ไม่อยู่ใต้อำนาจผู้ใดและมีบริวารเป็นของตนเอง คงเป็นเพราะได้ข่าวว่ากองกำลัง
สวรรค์อ่อนแอตอนถูกกงจื่อเย่โจมตี พวกมันเลยนึกได้ใจฉวยจังหวะนี้ปรากฏตัวยกให้ตัวเองเป็นผู้เหมาะสมที่จะปกครองภพมารแล้วสั่งการกองทัพกระหายเลือดถล่มแดนสวรรค์ซ้ำอีกครั้ง
ประวัติศาสตร์ของพวกนี้ไม่มีบันทึกเป็นกิจจะลักษณะ ไม่มีใครรู้สักเท่าใดนักว่ามารปีศาจตนใดมีพลังอำนาจกล้าแกร่งมากที่สุด พวกที่เขาเห็นในเวลานี้เป็นเพียงแค่ปลาซิวปลาสร้อยที่คิดว่าตนเองคือผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น
กงจื่อเย่พลันนึกถึงสัตว์อสูรเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหุบเขาสีชาด พวกมันดำรงชีวิตตามสัญชาตญาณ หากมีผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขต จ่าฝูงจะส่งสัญญาณให้บริวารลอบโจมตีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว
จอมมารเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางคำนวณถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับหากเขาสังหารมันเพราะในตอนนี้เขาคือมารปีศาจที่อยู่ชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร ไม่มีแรงใด ๆ จะต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามได้เลย กระนั้นยังคิดในใจว่า ข้าไม่มีวันพ่ายแพ้ง่าย ๆ หรอก
ระหว่างการเดินทางไปยังหุบเขาซ่อนเร้นทางตอนใต้ของภพมาร เขาค่อย ๆ สูบไอมารที่แผ่กระจายมาตลอดทาง ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังคว้าปีศาจตัวเล็กตัวน้อยติดมือมาด้วยเพื่อเก็บเอาใช้เป็นเกราะกำบังให้เขาหาจังหวะสังหารสัตว์อสูร
ทันทีที่เข้าสู่อาณาเขตของมัน บรรยากาศรอบตัวพลันมืดครึ้ม อากาศเย็นยะเยือกจนแทบขยับตัวไม่ได้ กลิ่นเลือดคละคลุ้งสมเป็นหุบเขาสีชาด
หากเป็นเพียงมารปีศาจทั่วไปคงจะรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลแต่เพราะความสามารถพิเศษของสัตว์อสูรตัวนี้จะทำให้กงจื่อเย่รู้ว่ามารตนใดคือมารผู้ยิ่งใหญ่ในเวลานี้จึงย่างกรายเข้าไปโดยไร้ซึ่งความกลัว
“เยว่ชิง อีนั่ว ข้าจะปกป้องพวกเจ้าให้ได้” เขาพึมพำฝากเสียงนั้นไปกับสายลม “รีบจัดการให้เรียบร้อยดีกว่า ข้าเริ่มคิดถึงไออุ่นของนางเสียแล้ว”
ไม่รู้ว่ามีรางวัลหอมหวานรอคอยอยู่หรืออย่างไร จอมมารจึงเดินดุ่มปะทะกับสัตว์อสูรตรง ๆ ไม่รีรอปล่อยให้เสียเวลา
“เจ้าบ้านั่น ไม่กลัวตายเรอะ พลังอ่อนแอปานนั้นยังจะทู่ซี้เข้าไปอีก” มารตนหนึ่งที่อยู่รอบนอกหุบเขายืนดูอย่างใจจดใจจ่อ
“ข้าว่าไม่ทันนับถึงสิบ มันคงได้ตายสมใจ” มารอีกตนเกาคางไม่รู้เหตุผลของกงจื่อเย่และไม่รู้ด้วยว่าเจ้ามารพลังอ่อนแอตนนั้นเคยเป็นถึงจอมมารที่บุกถล่มสวรรค์
“หนึ่ง สอง อ้าว!” พวกมันนั่งนับเวลาถอยหลังอยู่ดี ๆ ก็ประหลาดใจที่เหยื่อกลับกลายเป็นผู้ล่า “โอ้!”
เวลานั้นกงจื่อเย่ปล่อยปีศาจที่จับมาในหุบเขาร่ายอาคมสั่งให้มันวิ่งพล่านไปทั่วดึงดูดความสนใจของบริวารสัตว์อสูร
“ข้านึกว่าพวกมันเป็นสหายกันเสียอีก” มารที่สังเกตการณ์พูดกับคู่หูของตน “แต่ทำไมไอ้เจ้าดวงตาสีม่วงแดงนั่นจึงกินพวกเดียวกันเล่า”
“ดวงตาสีม่วงแดงเรอะ” มันครุ่นคิดเหมือนเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน เผ่าพันธุ์มารปีศาจไม่มีผู้ใดดวงตาสีม่วงแดงยกเว้นแต่ว่า “เจ้านั่น...เจ้านั่น...”
“ทำไม”
“กงจื่อเย่ไม่ใช่เรอะ ใครบอกว่ามันตายไปแล้วเล่า ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ามันยืนอยู่ตรงนั้น”
เพียงแค่เอ่ยชื่อเขาผู้นั้น จอมมารหันมาทางต้นเสียง แสยะยิ้มชั่วร้าย หรี่ตามองราวกับเตือนให้พวกมันรู้ว่าอะไรควรไม่ควร หากมีผู้ใดล่วงรู้ว่าข้ามีชีวิตอยู่ พวกเจ้าคงต้อง...
ไม่ทันที่เขาจะได้พูดจนจบประโยคดี มารสองตนก็สั่นกลัวลนลานพากันหายวับจากตรงนั้นในพริบตาเดียว จอมมารจึงหันกลับมาสนใจจ่าฝูงของสัตว์อสูรที่กำลังหายใจฮึดฮัด ขวิดเท้าตะกุยดินพร้อมพุ่งชนเข้าเต็มที
แม้เป็นการปะทะกันระหว่างสองฝั่งที่พลังต่างกันลิบลับแต่กงจื่อเย่มีแต้มเป็นต่อมากกว่าเพราะคู่ต่อสู้ของเขา “ช่างโง่เง่าเสียจริง มิน่าเล่าถึงได้ใกล้สูญพันธุ์อยู่ร่ำไป”
เขาปรายตามองพวกมันอย่างไม่แยแส ร่ายพลังมารเรียกดาบเขี้ยวอสูรของตนเองออกมาจัดการมัน แต่ถึงไม่มีความคิดอ่าน สัญชาตญาณของมันกลับแม่นยำยิ่งนัก จอมมารถูกพุ่งชนไม่รู้กี่ครั้งจนกระอักเลือด ร่างกายยามนี้เลือนรางราวกับจะหายไปอีกครั้ง
สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนได้ยินเสียงหนึ่งในใจ “ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย พวกมันจับท่านแม่ไปแล้ว อ๊าก!”
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้