Share

บทที่ 3

Author: ดอกถังร่วงหล่น
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัว

นางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้

นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ

“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน

“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน

“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย

“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน

“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า

“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต่ตอนนั้น

“ดังนั้นตอนที่ทราบว่าข้าจะได้แต่งงานกับท่านอ๋อง ข้าก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยเพคะ!”

หลินหว่านถิงได้ยินสิ่งที่นางพูดก็ใจหายวาบ นางรู้เรื่องแผนการทั้งหมดได้อย่างไร?

หลินหว่านถิงกล่าวแทรกอย่างร้อนรน “น้องสาว เจ้าจะหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงก็ช่างเถิด ทำไมจะต้องใส่ร้ายป้ายสีข้าด้วย!

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จวนสกุลหลินเลี้ยงดูปูเสื่อเจ้าเป็นอย่างดี คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะตอบแทนด้วยการทรยศกันเช่นนี้!”

เฟิ่งชูอิ่งคลี่ยิ้มเย็นชา “จวนสกุลหลินเลี้ยงดูปูเสื่อข้าเป็นอย่างดี? ให้ข้ากินแค่หมั่นโถวเย็นชืดกับผักดองเค็มเรียกว่าเลี้ยงดูอย่างดีหรือ?

“แล้วดูคนสกุลหลินสิ ตั้งแต่ข้าขนทรัพย์สมบัติมาอาศัยที่จวนสกุลหลิน พวกเจ้าก็กินดีอยู่ดี มีชีวิตสมบูรณ์พูนสุข พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

“เรื่องที่พวกเจ้าพากันสูบเลือดสูบเนื้อข้าก็แล้วไปเถิด แต่ยังคิดจะเอาชีวิตข้าเพราะเรื่องการแต่งงานอีก พวกเจ้ายังมีความเป็นคนหลงเหลือบ้างไหม?”

นางกล่าวจบก็หันมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยท่าทางน่าสงสาร “ท่านอ๋อง คืนวันแต่งงานของพวกเรา ข้าจะต้องหอบทรัพย์สินทั้งหมดที่มีไปแต่งงานกับท่านแน่นอนเพคะ”

หากนางต้องเลือกระหว่างแตกหักกับหลินหว่านถิงหรือล่วงเกินจิ่งโม่เยี่ย นางย่อมเลือกข้อแรกอย่างไม่ลังเล

แม้การทำเช่นนี้จะทำให้นางใช้ชีวิตในจวนสกุลหลินลำบากมากกว่าเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตดวงน้อยๆ เอาไว้ได้

ตอนนี้ต้องผ่านวิกฤตตรงหน้าไปให้ได้ก่อน เรื่องหลังจากนั้นค่อยคิดหาทางอีกที

คิ้วเรียวของจิ่งโม่เยี่ยยกขึ้นเบาๆ “งั้นหรือ? ข้าจะตั้งตารอก็แล้วกัน”

เขากล่าวจบก็เดินเข้ามาหาเฟิ่งชูอิ่ง ก้มกระซิบข้างหูของนางว่า “ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเปลี่ยนใจเพราะอะไร...”

เฟิ่งชูอิ่งสีหน้าแข็งค้าง จิ่งโม่เยี่ยกล่าวต่อว่า “แต่เห็นแก่ที่เจ้าแสดงละครได้น่าสนใจอยู่บ้าง ข้าจะยังไม่เอาชีวิตเจ้าตอนนี้

“จำไว้ให้ดี ครั้งหน้าที่เจอกันอย่างลืมทำให้ข้าประหลาดใจด้วยล่ะ มิฉะนั้นข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าแบบทบต้นทบดอกเลย”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

แปลว่าเขาไม่เชื่อเรื่องที่นางเล่าออกมาตั้งแต่ประโยคแรกเลยสินะ?

ทว่าตอนนั้นเอง สุนัขจรจัดตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก ส่งเสียงเห่าพวกเขาไม่หยุด

จิ่งโม่เยี่ยสบถอย่างไม่สบอารมณ์ “หนวกหูเสียจริง”

ครู่ต่อมา ทหารองครักษ์ด้านหลังก็ยิงธนูทะลุศีรษะของสุนัขจรจัดตัวนั้น ก่อนจะเอาตัวไปตอกตะปูติดกับต้นไม้แถวนั้น ทำเอาบรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดจนวังเวงเลยทีเดียว

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”

นางนึกย้อนคำพูดที่จิ่งโม่เยี่ยพูดก่อนเฉินเยี่ยนเซิงจะโดนเชือดสด ขนอ่อนทั่วร่างก็ลุกเกรียวขึ้นมาพร้อมกัน

จิ่งโม่เยี่ยเห็นสีหน้าของนางก็ยิ้มอย่างผ่อนคลาย “โลกใบนี้สมควรจะสงบเงียบเช่นนี้แหละถึงจะดี เจ้าคิดแบบนั้นไหม คุณหนูเฟิ่ง?”

เฟิ่งชูอิ่ง “...เพคะ! ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!”

จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเบาๆ ยกมือข้างหนึ่งไพล่หลังแล้วเดินจากไปอย่างสุขุม ท่าทางบริสุทธิ์ผุดผ่องเหนือคาวโลกีย์ ประหนึ่งเทพเซียนลงมาจุติ

มีเพียงรอยเลือดจุดเล็กๆ ที่เปื้อนบนอาภรณ์สีขาวของเขา ที่ช่วยเตือนสตินางว่าเขาเพิ่งจะทำอะไรลงไปบ้าง

นางหันกลับไปมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อหนังออกมาทั้งตัว ทว่ายังตายไม่สนิท ก่อนจะตัวสั่นเทิ้ม

หลินหว่านถิงที่เป็นคุณหนูในห้องหอ ย่อมไม่เคยเห็นฉากน่าสะเทือนขวัญเช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกมือไม้อ่อนแรง แข็งขาสั่นจนแทบยืนไม่อยู่

พอจิ่งโม่เยี่ยจากไป นางก็สั่งให้คนประคองออกจากอารามทันที ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรกับเฟิ่งชูอิ่งทั้งนั้น

เฟิ่งชูอิ่งก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานเหมือนกัน นางกวาดก้อนตำลึงและของมีค่าทั้งหมดลงในย่าม ยกสายสะพายคล้องแขนแล้วแจ้นออกจากที่นี่ทันที

แต่ตอนที่นางเดินออกมาถึงด้านหน้าอาราม ก็บังเอิญพบกับเจ้าอาวาสของอารามแห่งนี้

เจ้าอาวาสเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “โยมเฟิ่งมีจิตคิดห่วงอ๋องฉู๋ เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อไหว้พระขอพรให้เขา พระโพธิสัตว์จะต้องอวยพรให้อ๋องฉู่อายุมั่นขวัญยืน อยู่ได้เป็นร้อยปีอย่างแน่นอน”

เฟิ่งชูอิ่ง “......”

หลังจากประสบพบเจอเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ แม้นางจะทราบดีว่าเงินทองจำนวนนี้ไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าอาวาสจะมาดักทวงเงินนางโต้งๆ เช่นนี้

หลังจากร่างเดิมหอบสมบัติไปขออยู่อาศัยในจวนสกุลหลิน ทรัพย์สินทั้งหมดก็ยกให้คนของจวนหลินเป็นผู้ดูแล เงินทองที่สามารถหยิบจ่ายใช้สอบได้ล้วนขนติดตัวมาด้วยทั้งหมด

นางปลอบใจตัวเองว่าเงินทองเป็นของนอกกาย ขอแค่ไม่ตายอย่างไรก็หาใหม่ได้เสมอ แต่ชีวิตดวงน้อยของนางมีแค่ดวงเดียว ไม่อาจหามาทดแทนได้

นางมอบย่ามสะพายที่เต็มไปด้วยทรัพย์สินมีค่าให้เจ้าอาวาสด้วยสีหน้าเลื่อมใสศรัทธา ทว่ามือข้างหนึ่งกลับแอบหยิบไข่มุกสองเม็ดออกมาจากมุมย่าม ปล่อยให้มันกลิ้งจากกลางฝ่ามือหายเข้าไปในแขนเสื้อ

จิ่งโม่เยี่ยที่อยู่หลังหน้าต่างฉลุลายใกล้ๆ บริเวณนั้น มองเห็นทุกอย่างเต็มสองตา แววตาของเขาหม่นแสงลง ทว่ามุมปากกลับยกสูงเล็กน้อย “เป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ดีแต่พูดโกหกพกลมจริงๆ!”

หลังจากเจ้าอาวาสได้ย่ามมาจากเฟิ่งชูอิ่งก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ของมีค่าพวกนี้ต้องแบ่งข้าครึ่งหนึ่งนะ”

เขากล่าวจบก็เปิดย่ามออกเตรียมจะหยิบของ ทว่าจิ่งโม่เยี่ยพลิกมือกดทับย่ามเอาไว้ ก่อนจะใช้นัยน์ตาดอกท้อจ้องเจ้าอาวาสตรงหน้าอย่างเย็นชา

เจ้าอาวาสที่ถูกเขาจ้องก็ขนลุกขนพอง ดึงมือกลับมาอย่างเซื่องซึม ทว่าปากยังพยายามทวงผลประโยชน์ “ท่านเล่นฮุบไปหมดคนเดียวแบบนี้มันเป็นบาปนะ!”

จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “พระปลอมที่มือสกปรกอย่างเจ้า ยังกล้าพูดเรื่องบาปบุญกับข้าอีกหรือ?”

เจ้าอาวาสเดือดดาลจัด “อาตมาถือกำเนิดในชาติตระกูลดี ศึกษาพระธรรมคำสอนจนบรรลุเป็นภิกษุผู้ตรัสรู้ มิใช่พระปลอมอย่างที่ท่านกล่าวอ้าง!”

จิ่งโม่เยี่ยปรายสายตาเหนื่อยหน่ายมองเขาแวบหนึ่ง เขาก็สงบจิตสงบใจเอ่ยถามทันทีว่า “ท่านอ๋อง ว่าที่พระชายาของท่านน่าสนใจมิเบาเลย ท่านคิดจะแต่งกับนางจริงๆ หรือ?”

จิ่งโม่เยี่ยเสียงเนือยๆ “ขอแค่นางมีชีวิตรอดจนถึงวันแต่งงาน ทำไมข้าจะแต่งกับนางไม่ได้ล่ะ?”

เจ้าอาวาสมองเขาด้วยท่าทางตื่นตระหนกเล็กน้อย “ว่าที่ภรรยาเจ็ดคนก่อนของท่านล้วนตายกันหมด หากนางตายไปอีกคน เกรงว่าท่านอ๋องจะได้เป็นกลายตัวอัปมงคลของแท้เลยล่ะ”

จิ่งโม่เยี่ยล้วงไข่มุกสองเม็ดออกมาจากย่ามแล้ววางบนโต๊ะ “ข้าพนันด้วยไข่มุกสองเม็ดนี้ เดิมพันว่านางจะมีชีวิตรอดจนถึงวันแต่งงาน”

เจ้าอาวาสยิ้มแล้วหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาจากอกเสื้อหนึ่งแผ่น “ท่านอ๋องถึงกับมองว่านางมีค่าเท่ากับไข่มุกสองเม็ดนี้ แปลว่านางคงจะพิเศษมากจริงๆ สินะ”

“ในเมื่อท่านอ๋องพนันว่านางจะรอด ข้าก็คงพนันว่านางจะตายได้อย่างเดียว”

“ข้าไม่ได้แช่งนางหรอกนะ แต่เพราะมีคนไม่อยากให้ท่านอ๋องแต่งพระชายาได้อย่างราบรื่น ดังนั้นนับตั้งแต่ตอนที่ถูกกำหนดให้แต่งงานกับท่าน นางก็ถูกผู้อื่นหมายหัวแล้ว!”

จิ่งโม่เยี่ยหยิบผ้าเช็กหน้าออกมาแล้วไอโขลกๆ ก่อนจะก้มมองผ้าเช็ดหน้าที่มีสีแดงเข้มเปรอะเปื้อนอยู่ ความเย็นชาปกคลุมไปทั่วนัยน์ตา

เขาถามเจ้าอาวาส “หาวิธีคลายคำสาปได้หรือยัง?”

เจ้าอาวาสส่ายหน้า “คนที่ทำพิธีสาปแช่งท่านมีฝีมือร้ายกาจมาก หากหาของต้องสาปไม่เจอ ก็ไม่มีทางคลายคำสาปได้หรอก”

จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยถาม “ข้ายังมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน?”

เจ้าอาวาสตอบว่า “คำสาปที่ท่านโดนช่างอำมหิตยิ่งนัก...”

“นานเท่าไหร่” จิ่งโม่เยี่ยพูดตัดบท

เจ้าอาวาสจำใจตอบ “อย่างมากที่สุดก็สามเดือน ดวงชะตาของท่านถูกช่วงชิงไปหมดแล้ว ถึงตอนนั้นท่านก็จะ...”
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 997

    เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 996

    ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 995

    สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 994

    แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 993

    ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ

  • ยอดชายานักพยากรณ์ : ท่านอ๋อง ชายาท่านเลี้ยงผี   บทที่ 992

    หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status